War for the Planet of the Apes (Matt Reeves, 2017) คะแนน B+

By Form Corleone
"ปิดฉากมหาพิภพวานร" ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับวานรที่หนังเรื่องพยายามอธิบายผ่านมาจนถึงภาคสุดท้ายได้ปิดตำนานไตรภาคลงอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับบทภาพยนตร์ที่สรรค์สร้างประเด็นต่อจุดกำเนิดของอารยธรรม ความคิด ความเชื่อ และการดำรงชีวิตรอดต่างสายพันธุ์ รวมไปถึงความหวังในการเริ่มต้นใหม่ ครั้งเมื่อลิงฉลาดขึ้นแต่มนุษย์นั้นกลับโง่ลง ตัวหนังจึงสะท้อนให้เราสงสารเหล่าฝูงลิงที่รักสันติและความสงบสุขปราศจากการรุกรานฆ่าเพื่อนร่วมโลกอย่างมนุษย์ ผิดถนัดกับฝั่งมนุษย์ที่โหดเหี้ยมและป่าเถื่อนไม่ต่างอะไรจากสัตว์ร้ายที่ขาดสติ การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดระหว่างวานรกับมนุษย์จึงเสมือนการสลับขั้วให้คนดูตั้งคำถามถึงพฤติกรรมทางฝั่งมนุษย์ตลอดช่วงระยะเวลาทั้งสามภาคจึงถูกสรุปและส่งท้ายในภาคนี้ได้อย่างสวยงาม แม้จะมีฉากที่เรารู้สึกขัดใจหลายๆฉากก็ตามที แต่ด้วยข้อความหรือประเด็นที่หนังพยายามบ่งชี้ให้เราเห็นนั้นมีคุณค่าและสามารถพาให้เรารู้สึกเอาใจช่วยเหล่าวานรอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละครอย่าง 'ซีซ่า' ยังสามารถสร้างมิติได้ครบทุกองค์ประกอบตลอดระยะเวลาทั้งสามภาค และในภาคนี้เป็นเหมือนบททดสอบครั้งสำคัญของตัวซีซ่าในการก้าวข้ามความป่าเถื่อนไปสู่ความมีอารยะ สภาวะที่ตัวซีซ่าพบเจอจึงเป็นความขัดแย้งภายในใจของตัวเองระหว่างความดีงามกับความโกรธแค้น ซึ่งตัวหนังเองสามารถพาเราไปถึงจุดนั้นและสะท้อนภาพทั้งหมดในตัวของซีซ่าได้อย่างแจ่มชัด จึงไม่น่าแปลกใจที่วานรตัวอื่นๆจะรักและเคารพตัวซีซ่าเพราะไม่เฉพาะแค่ซีซ่าจะฉลาดที่สุดในสายพันธุ์เท่านั้น ซีซ่ายังมีความเป็นผู้นำและมีมโนสำนึกรู้ผิดชอบในการกระทำอีกด้วย ทั้งหมดนั้น จึงเปรียบเสมือนจุดยิ่งใหญ่ของสัตว์ประเสริฐที่เราใช้เรียกแทนตัวเราเองเพื่อให้แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นที่ไม่มีความคิดรู้ผิดรู้ถูก และในที่นี้ก็คงเป็นมนุษย์ในเรื่องนั่นเองที่ขาดความคิดผิดชอบไปโดยปริยาย

ทั้งนี้หากใครคิดว่าตัวภาพยนตร์มีชื่อเรื่องขึ้นต้นด้วยคำว่า 'War' แล้วคาดหวังว่าจะต้องมีฉากสงครามมันส์ๆ คงจะต้องเปลี่ยนความคาดหวังลงสักหน่อย เพราะตัวหนังไม่ได้มีฉากรบที่เร้าใจหรือฉากยิงถล่มกันสะใจมากจนรู้สึกว่ากลายเป็นสมรภูมิกลางสนามรบ หนังเพียงเรียกใช้ประเด็นของสงครามระหว่างมนุษย์กับวานรเพื่อดำเนินเรื่องตามแบบฉบับหนังบล็อกบัสเตอร์ทั่วๆไป ฉะนั้นเราจึงสามารถมองเห็นข้อเสียของเหตุการณ์ต่างๆในเรื่องได้อย่างชัดเจนและส่วนข้อเสียที่ตัวหนังมีนั้นก็คงเป็นเพียงการตอบสนองความบันเทิงให้ครบรสเพียงเพื่อสนองการเข้าถึงคนดูทุกเพศทุกวัย และนอกเหนือจากประเด็นแก่นสารของการก้าวไปสู่ยุคสมัยของความเป็นผู้เจริญแล้วของเหล่าวานร ความขัดแย้งที่ตัวหนังนำเสนอ อาทิ เด็กสาวตาฟ้าที่อยู่กับเหล่าวานรนั้นยังสามารถสอดแทรกการอยู่ร่วมกันได้ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่ต่างเผ่าพันธุ์ หรือกระทั่ง ตัวละครใหม่อย่าง 'Bad Ape' ที่สร้างเสียงหัวเราะในจังหวะที่ตึงเครียดได้อย่างสร้างสรรค์ มิติโดยรวมของ 'War for the Planet of the Apes' จึงเต็มไปด้วยรายละเอียดชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่หลอมรวมกันกลายเป็นประเด็นชิ้นใหญ่ จนสามารถมองข้ามจุดที่ไม่ชอบไปได้หลากหลายส่วน เช่น ความมหัศจรรย์ใจในฉากบางฉาก ในส่วนของบรรยากาศและงานภาพอยู่ในระดับมาตรฐานและถือเป็นงานสร้างที่สามารถใช้วัดระดับคุณภาพเพื่อใช้เทียบเคียงกับงานเรื่องอื่นๆได้เลย ดังนั้น ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้จึงสามารถตอบสนองคนดูได้ทุกเพศทุกวัย ไม่สุดโต่งในด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป และตัวภาพยนตร์ทั้งสองภาคก่อนรวมภาคนี้คงถือเป็นไตรภาคของโลกภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคสมัยนี้เลยครับ

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ

ตัวอย่างหนัง

ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: War for the Planet of the Apes (Matt Reeves, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"ปิดฉากมหาพิภพวานร" ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับวานรที่หนังเรื่องพยายามอธิบายผ่านมาจนถึงภาคสุดท้ายได้ปิดตำนานไตรภาคลงอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับบทภาพยนตร์ที่สรรค์สร้างประเด็นต่อจุดกำเนิดของอารยธรรม ความคิด ความเชื่อ และการดำรงชีวิตรอดต่างสายพันธุ์ รวมไปถึงความหวังในการเริ่มต้นใหม่ ครั้งเมื่อลิงฉลาดขึ้นแต่มนุษย์นั้นกลับโง่ลง ตัวหนังจึงสะท้อนให้เราสงสารเหล่าฝูงลิงที่รักสันติและความสงบสุขปราศจากการรุกรานฆ่าเพื่อนร่วมโลกอย่างมนุษย์ ผิดถนัดกับฝั่งมนุษย์ที่โหดเหี้ยมและป่าเถื่อนไม่ต่างอะไรจากสัตว์ร้ายที่ขาดสติ การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดระหว่างวานรกับมนุษย์จึงเสมือนการสลับขั้วให้คนดูตั้งคำถามถึงพฤติกรรมทางฝั่งมนุษย์ตลอดช่วงระยะเวลาทั้งสามภาคจึงถูกสรุปและส่งท้ายในภาคนี้ได้อย่างสวยงาม แม้จะมีฉากที่เรารู้สึกขัดใจหลายๆฉากก็ตามที แต่ด้วยข้อความหรือประเด็นที่หนังพยายามบ่งชี้ให้เราเห็นนั้นมีคุณค่าและสามารถพาให้เรารู้สึกเอาใจช่วยเหล่าวานรอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละครอย่าง 'ซีซ่า' ยังสามารถสร้างมิติได้ครบทุกองค์ประกอบตลอดระยะเวลาทั้งสามภาค และในภาคนี้เป็นเหมือนบททดสอบครั้งสำคัญของตัวซีซ่าในการก้าวข้ามความป่าเถื่อนไปสู่ความมีอารยะ สภาวะที่ตัวซีซ่าพบเจอจึงเป็นความขัดแย้งภายในใจของตัวเองระหว่างความดีงามกับความโกรธแค้น ซึ่งตัวหนังเองสามารถพาเราไปถึงจุดนั้นและสะท้อนภาพทั้งหมดในตัวของซีซ่าได้อย่างแจ่มชัด จึงไม่น่าแปลกใจที่วานรตัวอื่นๆจะรักและเคารพตัวซีซ่าเพราะไม่เฉพาะแค่ซีซ่าจะฉลาดที่สุดในสายพันธุ์เท่านั้น ซีซ่ายังมีความเป็นผู้นำและมีมโนสำนึกรู้ผิดชอบในการกระทำอีกด้วย ทั้งหมดนั้น จึงเปรียบเสมือนจุดยิ่งใหญ่ของสัตว์ประเสริฐที่เราใช้เรียกแทนตัวเราเองเพื่อให้แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นที่ไม่มีความคิดรู้ผิดรู้ถูก และในที่นี้ก็คงเป็นมนุษย์ในเรื่องนั่นเองที่ขาดความคิดผิดชอบไปโดยปริยาย
ทั้งนี้หากใครคิดว่าตัวภาพยนตร์มีชื่อเรื่องขึ้นต้นด้วยคำว่า 'War' แล้วคาดหวังว่าจะต้องมีฉากสงครามมันส์ๆ คงจะต้องเปลี่ยนความคาดหวังลงสักหน่อย เพราะตัวหนังไม่ได้มีฉากรบที่เร้าใจหรือฉากยิงถล่มกันสะใจมากจนรู้สึกว่ากลายเป็นสมรภูมิกลางสนามรบ หนังเพียงเรียกใช้ประเด็นของสงครามระหว่างมนุษย์กับวานรเพื่อดำเนินเรื่องตามแบบฉบับหนังบล็อกบัสเตอร์ทั่วๆไป ฉะนั้นเราจึงสามารถมองเห็นข้อเสียของเหตุการณ์ต่างๆในเรื่องได้อย่างชัดเจนและส่วนข้อเสียที่ตัวหนังมีนั้นก็คงเป็นเพียงการตอบสนองความบันเทิงให้ครบรสเพียงเพื่อสนองการเข้าถึงคนดูทุกเพศทุกวัย และนอกเหนือจากประเด็นแก่นสารของการก้าวไปสู่ยุคสมัยของความเป็นผู้เจริญแล้วของเหล่าวานร ความขัดแย้งที่ตัวหนังนำเสนอ อาทิ เด็กสาวตาฟ้าที่อยู่กับเหล่าวานรนั้นยังสามารถสอดแทรกการอยู่ร่วมกันได้ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่ต่างเผ่าพันธุ์ หรือกระทั่ง ตัวละครใหม่อย่าง 'Bad Ape' ที่สร้างเสียงหัวเราะในจังหวะที่ตึงเครียดได้อย่างสร้างสรรค์ มิติโดยรวมของ 'War for the Planet of the Apes' จึงเต็มไปด้วยรายละเอียดชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่หลอมรวมกันกลายเป็นประเด็นชิ้นใหญ่ จนสามารถมองข้ามจุดที่ไม่ชอบไปได้หลากหลายส่วน เช่น ความมหัศจรรย์ใจในฉากบางฉาก ในส่วนของบรรยากาศและงานภาพอยู่ในระดับมาตรฐานและถือเป็นงานสร้างที่สามารถใช้วัดระดับคุณภาพเพื่อใช้เทียบเคียงกับงานเรื่องอื่นๆได้เลย ดังนั้น ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้จึงสามารถตอบสนองคนดูได้ทุกเพศทุกวัย ไม่สุดโต่งในด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป และตัวภาพยนตร์ทั้งสองภาคก่อนรวมภาคนี้คงถือเป็นไตรภาคของโลกภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคสมัยนี้เลยครับ
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/