ผมจะเรียนแพทย์จนจบได้อย่างไร ในเมื่อโรคมะเร็งปอดของแม่ส่งผลกระทบกับคนทั้งบ้าน จนรู้สึกท้อแท้

สวัสดีครับ ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 แต่ตอนนี้พักการเรียนอยู่ เนื่องจากมีปัญหาความเครียดจนไม่สามารถเรียนได้

ขอเล่าเรื่องที่บ้านก่อนนะครับ บ้านผมอยู่กันแค่ 3 คน มีผม พ่อ และแม่ ผมมีพี่สาว 1 คน ตอนนี้ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ กลับมาที่บ้านนาน ๆ ครั้ง พ่อผม อายุ 56 ปี ปัจจุบันเป็นข้าราชการ แม่ผม อายุ 65 ปี ก่อนหน้านี้ทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลจนเกษียณอายุราชการ

1 ปีก่อนแม่เกษียณ แม่ผมตรวจร่างกายประจำปีตามปกติเหมือนทุกปี แต่ครั้งนี้ผลฟิล์มเอกซเรย์ปอดมีความผิดปกติ แพทย์สงสัยติดเชื้อวัณโรคปอดจึงรักษาด้วยยาวัณโรคประมาณ 2 สัปดาห์ แต่อาการไม่ดีขึ้น ได้ส่งตรวจเพิ่มเติม เจาะชิ้นเนื้อปอดไปตรวจ ผลออกมาว่าเป็นมะเร็งปอด

แม่ผมตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดทันที และกลับมาบอกที่บ้าน ซึ่งยอมรับว่าตอนนั้นทุกคนตกใจและไม่คาดคิดว่าจะเป็นมะเร็ง เพราะแม่เป็นคนสุขภาพแข็งแรง อารมณ์ดี ไม่เคยป่วยหรือมีอาการอะไรให้เห็น และไม่มีใครในบ้านสูบบุหรี่

ตอนนั้นผมกำลังขึ้น ม.6 วางแผนสอบเข้าเรียนแพทย์มาตลอดตั้งแต่ขึ้นเรียนชั้นมัธยม แต่แม่ไม่ค่อยอยากให้เรียนแพทย์ เพราะเห็นการทำงานหนักของแพทย์ในโรงพยาบาลมาตลอด ไม่อยากให้ผมเหนื่อย แต่ผมมีความตั้งใจอยากเป็นแพทย์จริง ๆ จึงขอทำตามความต้องการของตัวเองซึ่งแม่ก็ไม่ได้บังคับ

พอรู้ว่าแม่เป็นมะเร็ง แน่นอนว่าก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา และทั้งบ้านต้องดูแลแม่มากขึ้นจากผลข้างเคียงของการรักษา  ผมต้องวางแผนตัวเองมากขึ้น ไหนจะเรื่องเรียนพิเศษ การอ่านหนังสือ การเตรียมตัวสอบต่าง ๆ เวลาอิสระของตัวเองน้อยลงไปบ้าง แต่ก็พยายามจัดการทุกอย่างให้ดี ผ่อนคลาย ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง

การรักษาเป็นไปด้วยดีทุกครั้ง ทั้งการให้ยาเคมีบำบัด การทานยาต้านมะเร็ง และยาต่าง ๆอีกหลายแขนงที่แพทย์ให้ทานจนแม่ของผมแข็งแรงขึ้นมาก ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทำงานพยาบาลต่อจนเกษียณอายุราชการได้ จนบางครั้งผมลืมไปเลยว่าแม่ป่วยเป็นมะเร็งปอดอยู่

ผมจบ ม.6 ก็สอบเข้าคณะแพทย์ได้ แต่ผมคิดมาตลอด เรียนแพทย์ก็หนัก ไม่ค่อยมีเวลา ไหนจะเรื่องอาการป่วยของแม่ที่อาจแย่ลงตามระยะเวลา ที่บ้านจะดูแลไหวมั้ย ผมจะเรียนไปดูแลไปได้มั้ย

ผมใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ทำกิจกรรมตามปกติ มีเพื่อนฝูง ช่วยกันเรียน เล่นบ้าง เที่ยวบ้าง แค่ในบางครั้งก็ต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน เพื่อนชวนไปไหนก็ไม่สะดวกใจที่จะไป หอพักก็นอนในเวลาที่ต้องทำงานกับเพื่อน ใจจริงก็อยากนอนหอ ติวหนังสือกัน หรือไปเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่นยามค่ำคืนบ้าง แต่ผมเป็นห่วงที่บ้าน คือถ้าไม่มีธุระอะไรผมก็กลับบ้านทุกครั้ง

เวลาเพื่อนชวนไปไหน ไปกิน ไปเที่ยวหรืออะไรต่าง ๆ ส่วนมากแล้วผมมักจะปฏิเสธ เพื่อนๆก็เข้าใจเพราะรู้ดีว่าแม่ผมป่วย เพื่อนบางคนก็บอกว่าการไปเที่ยว คุยกัน จะได้ผ่อนคลายบ้าง ผมก็ไปบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมผ่อนคลายมาก เพราะผมห้ามความกังวลของตัวเองเรื่องที่บ้านไม่ได้

แม้จะมีพ่อที่กลับจากที่ทำงานมานอนที่บ้านทุกวัน แต่บางครั้งพ่อก็กลับบ้านช้า หรือมีธุระต้องไปต่างจังหวัดทำให้ไม่มีใครหาอาหารให้แม่กิน หรือจัดการดูความเรียบร้อยต่าง ๆ ที่บ้าน

ผมทำเช่นนี้มาตลอดการเรียนแพทย์จนถึงช่วงปลายปี 3 มีการสอบ National License หรือที่รู้จักกันว่า NL ซึ่งเป็นการวัดระดับความรู้ทางการแพทย์ที่ได้เรียนไป ผมเตรียมตัวเหมือนเพื่อนๆคนอื่น ต้องนอนหอมากขึ้น กลับบ้านน้อยลงเพราะต้องอ่านหนังสือ ติวกับเพื่อน จัดตารางเวลาตัวเองใหม่เพื่อทุ่มเทให้กับการสอบนี้อย่างเต็มที่

ก่อนผมสอบ 2 อาทิตย์ ผมพาแม่ไปหาหมอตามนัดปกติ แต่พอถึงบ้าน แม่ผมเริ่มมีอาการพูดไม่ชัด ผมสังเกตเห็นว่าแม่ใช้มือซ้ายจับส้อมไม่ได้เหมือนทุกครั้ง ลักษณะเหมือนอ่อนแรงซีกซ้าย ผมตัดสินใจพามาโรงพยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน ยังไม่ทันได้เข้าห้องฉุกเฉิน แม่ผมก็เกิดอาการชัก

จากการชักครั้งนี้ทำให้รู้ว่ามีเซลล์มะเร็งลุกลามเข้าไปในสมอง นั่นทำให้ผมเครียดมากขึ้น เพราะแม่ผมต้องนอนโรงพยาบาล ไหนผมจะต้องสอบ NL1 นั่นอีก

ตารางเวลาโค้งสุดท้ายของการอ่านหนังสือสอบเปลี่ยนไปทันที ผมยังจำได้ถึงบรรยากาศการต้องอ่านหนังสือสอบในหอผู้ป่วยข้างเตียงแม่ได้ดี สมาธิก็ไม่มี นอนก็ไม่สามารถหลับได้อย่างสะดวกสบาย สลับเวรกันกับพ่อบ้าง กับพี่สาวบ้างที่จำเป็นต้องลางานกลับบ้านมาช่วยเหลือ ซึ่งผมก็ไม่อยากให้พ่อหรือพี่สาวป่วยจากการนอนเฝ้าแม่ไปอีกคน มีเรื่องให้ทำเพิ่มขึ้นทั้งที่จริง ๆ ควรจะเป็นการเตรียมตัวเองให้พร้อมกับการสอบที่สุด

แม่ผมต้องได้รับการฉายแสงบริเวณศีรษะเพื่อป้องกันการชักซ้ำ และต้องกินยากันชักไปตลอดชีวิต ตอนนั้นนอนอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวัน และออกจากโรงพยาบาลก่อนผมสอบไม่กี่วัน

พอถึงวันสอบ ผมก็ยอมรับในความไม่พร้อมของตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ผมไม่สามารถทำข้อสอบได้ตามที่หวังไว้ ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะไม่ผ่าน ผลออกมาก็คือไม่ผ่าน

ช่วงที่ผมใกล้จะเปิดเทอมขึ้นปี 4 แม่ผมชักซ้ำอีกครั้งและต้องนอนโรงพยาบาลอีก ปรับยากันชักจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีชักซ้ำแล้ว

ผมขึ้นปี 4 ต้องฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาล เริ่มเรียนหนักขึ้น ตื่นเช้าขึ้น นอนดึกขึ้น อยู่เวร ง่าย ๆ คือหนักมากขึ้นแทบจะเหมือนพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
เรื่องเรียนก็หนักแล้ว เรื่องที่บ้านก็หนักเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากระยะเวลาผ่านไป การดำเนินของโรคก็มากขึ้น ทำให้แม่อ่อนแอลงมาก ผมต้องกลับบ้านบ่อยมากขึ้น พี่สาวต้องทิ้งงานมาดูแลทางนี้เช่นกัน บางวันผมต้องอยู่เวร ราวด์ตั้งแต่หัวรุ่ง แต่ก็ต้องกลับบ้านมาดูอาการแม่แทบทุกวัน

ช่วงกลางปี 4 ผมแทบไม่ได้กลับบ้านเลย เรียนหนักมากขึ้นจนไม่มีเวลาดูแลที่บ้านได้เหมือนเดิม จนมารู้ทีหลังว่าแม่ผมปวดสะโพกข้างขวามากจนเดินแทบไม่ได้ จึงมาพบแพทย์ ตรวจเพิ่มเติม ผลออกมาคาดว่าน่าจะเป็นเซลล์มะเร็งลุกลามเข้ากระดูกข้อต่อสะโพก

ผมและพ่อพยายามคิดว่าพวกเราสองคนคงดูแลแม่ได้ในระดับนึง โดยไม่ต้องให้พี่สาวลาออกมาจากงานที่ทำอยู่ที่กรุงเทพฯ แม้พี่สาวจะถามอยู่บ่อยครั้งว่าจะให้ลาออกมาอยู่ที่บ้านถาวรมั้ยก็ตาม พี่สาวผมทำงานเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่น แน่นอนว่าอาชีพนี้รายได้ค่อนข้างดี จนผมกับพ่อไม่อยากให้พี่ทิ้งงานไปในตอนนี้

การรักษาอาการปวดสะโพก คือการฉายแสงอีก แม้จะไม่ได้ทำให้หาย แต่ก็บรรเทาปวดลงไปได้บ้าง และต้องกินยาระงับปวดตลอด ติดตามอาการกับแพทย์เฉพาะทางกระดูกด้วย ส่วนในเรื่องการผ่าตัดนั้น ทั้งจากโรคมะเร็งและความอ่อนแอของแม่ ทำให้เสี่ยงเกินไปที่จะผ่าตัด

ตั้งแต่วันนั้นแม่ผมก็ไม่สามารถเดินได้ตามปกติอีก แต่ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เดินได้ด้วยอุปกรณ์ช่วยเดิน Walker อย่างช้า ๆ เข้าห้องน้ำเองได้ ดูแลตัวเองได้ สามารถอยู่บ้านคนเดียวได้

ผมก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เรียนไป ดูแลแม่ไป แม้จะเรียนหนักขึ้น อาการของแม่หนักขึ้น ผมก็ต้องไหว เรียนๆ สอบๆ เตรียมสอบ NL1 รอบแก้ตัว ครอบครัวและเพื่อนๆก็ให้กำลังใจดีมาก และช่วยผมเต็มที่

ผมสอบ NL1 รอบแก้ตัวจนผ่านมาได้ และสามารถเรียนจนจบปี 4 โดยไม่มีปัญหาอะไร ถือว่าเป็นเรื่องโชคดี

ขึ้นปี 5 แน่นอนว่าเรียนหนักขึ้นไปอีก ภาระงานหนักขึ้น และยังไม่พอ อาการของแม่ก็หนักมากขึ้นไปตามเวลาของโรค ผมทั้งเครียดทั้งกังวลมาก เพราะไม่สามารถดูแลที่บ้านได้เหมือนเดิม พ่อของผมก็ดูแลคนเดียวไม่ไหว แม้พ่อจะบอกว่าไหว แต่ผมรู้ดีว่าคำพูดนี้เพื่อให้ผมสบายใจ พ่อก็ต้องทำงาน ไหนพ่อจะต้องช่วยพี่น้องดูแลปู่ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงอีก 1 คนที่อยู่คนละบ้านกันอีก พี่สาวก็ต้องแวะกลับมาที่บ้านบ่อยครั้ง มาช่วยดูช่วยเฝ้าทั้งปู่และแม่บ้าง แต่ทั้งผมและพ่อก็ยังไม่อยากให้พี่สาวลาออกมาอยู่ที่บ้านอยู่ดี เพราะพวกเราคิดว่ายังสามารถดูแลกันได้อยู่

จนกระทั่ง เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ความเครียดที่เกิดขึ้นในตัว กระทบทั้งระบบร่างกาย ผมกินอะไรไม่ได้ เบื่ออาหารมาก นอนไม่หลับ ถึงหลับก็ได้แค่ประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็สะดุ้งตื่นด้วยความกังวล กระวนกระวาย นอนน้อยลงขึ้นทุกวัน กระทบกับการเรียนจนเรียนไม่รู้เรื่อง สมองเริ่มเบลอ สับสน หัวคิดวนเวียนแต่เรื่องที่บ้าน ทำให้ผมมีปัญหาตอนวันสอบรายวิชาแรกของปี 5 เกิดภาวะ Hyperventilation ครั้งแรกในชีวิต ถึงกับต้องเข้าห้องฉุกเฉิน แม้จะกลับมาสอบต่อได้ แต่ผมไม่มีสติสำหรับการสอบครั้งนี้อีกแล้ว

ขึ้นรายวิชาต่อไปในอีก 2 วัน ผมพยายามพักผ่อนเพื่อให้พร้อมเรียนต่อ แต่พอเริ่มเรียน ผมก็รู้ตัวว่าไม่พร้อมจริง ๆ สมองเบลอ เรียนไม่รู้เรื่อง พูดอะไรไม่เข้าใจ หลงลืม อาการเบื่ออาหาร กินไม่ได้ นอนไม่หลับยังคงมี รู้สึกคราวนี้ร่างกายไม่ไหวแล้วจริง ๆ

ขึ้นเรียนได้ 3 วัน ระหว่างอยู่เวร ผมตัดสินใจลาเวรตอนนั้นทันที รู้สึกกระสับกระส่าย ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกตัวเองไม่มีสติจะทำอะไรแล้ว ไม่ไหวแล้ว ผมโทรศัพท์ปรึกษาอาจารย์ทันทีเพื่อจะขอลาและต้องการพบจิตแพทย์

ผมไปพบจิตแพทย์ในวันถัดไป ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Depression ต้องได้รับยารักษาอาการซึมเศร้า และยาคลายกังวลและต้องหยุดเรียน 2 อาทิตย์

ผมตัดสินใจดรอปเรียนรายวิชานั้นไปเลย แล้วค่อยเรียนใหม่ปีหน้า ยอมเรียนจบช้ากว่าเพื่อน ทั้งที่อยากเรียนให้จบตามระยะเวลา แต่ตอนนั้นสภาพร่างกายและจิตใจผมไม่ไหวแล้วจริง ๆ ขอรักษาตัวเองและดูแลแม่ที่บ้านไปก่อนในช่วงที่หยุดเรียน ตอนนี้ผมมีเวลา 2 เดือน ก่อนจะขึ้นรายวิชาใหม่

( มีต่อ ความเห็นที่ 1 )

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่