เรียนรู้การรักษามะเร็งเต้านมจากการสูญเสียแม่

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้เป็นการเล่าเนื้อเรื่องละเอียดพอสมควร ถ้าใครไม่อยากอ่านประวัติยาวๆ ไปอ่านสรุปในคอมเม้นที่ ๓ ได้นะคะ

       สวัสดีค่ะ กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาจากประสบการณ์การรักษามะเร็งเต้านมของแม่ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ -๒๕๖๐ ซึ่งมีทั้งวิธีที่ถูกที่ทำให้แม่อยู่กับเรามาได้มากกว่า ๖ ปี และความเชื่อผิดๆ ที่แม่ได้กินได้ปฎิบัติตามสื่ออินเตอร์เน็ต คนว่ามา พวกขายอาหารเสริม จนเราต้องเสียแม่ไปในที่สุด  เราจึงอยากบอกแนวทางในการรักษามะเร็งที่ถูกต้องตามความเข้าใจของเราจากที่เห็นแม่รักษาเพื่อที่บางสิ่งบางอย่างจะได้เป็นประโยชน์และกำลังใจกับผู้ที่กำลังต่อสู้มะเร็งได้
        การตรวจพบมะเร็งครั้งแรกของแม่คือเป็นมะเร็งระยะที่ ๔ ก้อนใหญ่มากกว่า ๖ เซนติเมตร ซึ่งคุณหมอยังไม่รักษาให้เพราะมันสายเกินไปแล้ว หมอได้แต่บอกว่าอาจจะอยู่ได้ประมาณ ๖ เดือน มากสุดก็ ๑ ปี  แต่ด้วยความที่แม่เป็นนักสู้และตอนนั้นพี่สาวท้องหลานคนแรกของแม่ แกคิดว่าแกต้องไม่ตายง่ายๆ เพราะแกยังรู้สึกว่าตัวเองยังแข็งแรงอยู่  แกต้องเห็นหน้าหลานแกก่อนสิ เริ่มจากเปลี่ยนแปลงการกินอย่างหนักจนเป็นที่มาของการสู้มะเร็งเพื่ออยู่รอหลานและรอดูความสำเร็จของลูกซึ่งก็คือเราเอง สิ่งที่แกยังห่วงยังกังวลอีกเรื่องคือตัวเรา เพราะเรายังไม่มีงานประจำ ทำงานลูกจ้างเรื่อยๆ ยังไม่มีแฟนยังไม่แต่งงาน อยากเห็นเราถึงฝั่งฝากับคนดีๆ ดูแลเราได้ เพราะแกหมดห่วงกับพี่สาวเราแล้ว มีครอบครัวทีดีสามีดีแล้วก็เหลือแต่เราเพราะกลัวเราจะโดนหลอก ได้ผู้ชายไม่ดีมาเป็นสามี ถ้าหมดห่วงแม่ก็ตายตาหลับ แม่บอกเราแบบนี้   เราจะขอเล่าเป็นเรื่องราว แยก ๆ เป็นลำดับเหตุการณ์แต่ล่ะช่วงไปนะคะ และจะมีข้อคิดเป็นสปอยซ่อนอยู่ในแต่ล่ะข้อด้วย แต่ถ้าใครขี้เกียจอ่านเราจะลงข้อสรุปให้ข้างล่างเป็นข้อๆ ว่าอะไรควรไม่ควร รักษาแบบไหนดีที่สุดในช่วงท้ายนะคะ ย้ำว่ากระทู้นี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลจากที่เคยเห็นมาไม่มีอะไรถูกหรือผิด ร้อยเปอร์เซน คนอ่านก็ลองใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ ถ้ามีข้อสงสัยหรือขัดแย้งก็เสนอข้อคิดเห็นเข้ามาได้เลยค่ะ
ระยะเริ่มต้น สงสัยว่าเป็นมะเร็ง
ปี ๒๕๔๓ แม่คลำนมและตรวจพบว่าตัวเองมีก้อนที่นมข้างซ้าย จากที่จับมันจะเป็นแค่ลูกเล็กๆ ประมาณ ๑-๒ เซนติเมตร เพราะบางวันมันก็ก้อนเล็กบางวันมันก็ก้อนโต ให้พ่อช่วยจับก็เห็นตรงกันว่ามีก้อน ซึ่งตอนนั้นการรณรงค์เรื่องมะเร็งเต้านมและความรู้เรื่องมะเร็งเต้านมยังไม่มีมากนักในต่างจังหวัด ไม่มีแพทย์เฉพาะทางที่ให้คำปรึกษาได้  จึงได้ไปหาหมอคลีนิครักษาโรคทั่วไป หมอก็ตรวจแล้วก็บอกว่าให้เอายาไปลองกิน จับดูแล้วมันไม่ได้แข็งมากอาจจะเป็นก้อนเนื้อนมที่มันแข็งตัวพอแม่เอายามากินก็เหมือนก้อนจะยุบลง ไปหาหมออีกหมอก็บอกคงไม่ใช่มะเร็งให้เอายาไปกินอีกจนกว่าจะยุบ ซึ่งแม่ก็เบาใจว่าหมอบอกไม่ใช่คงไม่ใช่แหละ แต่มันก็ไม่ยุบหายไปเลยซะทีเดียว ซักพักก้อนก็โตขึ้นมาเหมือนเดิม แม่เลยเปลี่ยนหมอไปหาหมออีกคน หมอคนนี้ฉีดยาให้แม่ให้ยามากินไปตรวจอีกหมอก็บอกว่าเนี่ยยุบแล้ว มันไม่ใช่มะเร็งหรอกป้า ป้าไม่ต้องคิดมากถ้ามันเป็นมะเร็งมันจะไม่ยุบปล่อยมันไปแบบนั้นแหละ มันคงเป็นก้อนเนื้อนมที่จับตัวกันเป็นไตแข็งๆ  ซีงเมื่อคุณหมอพูดแบบนี้ก็ทำให้แม่สบายใจขึ้นมากเลยไม่ได้คิดเลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของโรคร้ายคุณแม่ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ แบบปกติ แต่ก็พยายามลดการกินเค็มของหมักดอง ปลาร้าดิบ กินผัก นมเต้าหู้ทุกวันที่เค้าบอกว่าป้องกันมะเร็ง เรื่อยมาจนอีก ๑๐ปี ต่อมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ระยะเจอตัว มั่นใจว่ามันคือมะเร็ง
ปี  ๒๕๕๓ อย่างที่บอกอีก ๑๐ ปีต่อมา ก้อนมันก็ใหญ่เรื่อยมาจนแม่จับได้ว่ามันน่าจะขนาด ๓-๔ เซนติเมตร แต่ก็ยังคิดว่ามันคือก้อนนมแข็งเป็นไตตามที่หมอบอก ต่อมา แม่ได้ไปเจอหมอจีนจับชีพจร ที่เพื่อนอาจารย์ที่โรงเรียนเค้าชอบไปตรวจโรคและรักษา ตอนแรกแม่ไปกับเพื่อนไม่คิดจะตรวจ แต่เพื่อนครูเค้าแนะนำให้แม่ลองคุยลองปรึกษา หมอจีนก็จับชีพจร และคลำก้อนที่เต้านม แกถึงกับตกใจและบอกแม่ว่ามันน่าจะเป็นมะเร็งเต้านม และให้ยาแม่มากินเป็นยาจีน คือยาตัวนี้เราไปหาข้อมูลมา มันเป็นยากรักษาความสมดุลในต่อมน้ำเหลือง และระบุในประเทศจีนเลยว่ารักษาได้แค่มะเร็งเต้านมระยะแรกหรือซีทเท่านั้น  และหมอจีนก็บอกให้แม่ไปตรวจกับหมอมะเร็งอีกที  แต่มันทำให้แม่กลัวว่าแม่จะตรวจเจอมะเร็งจริงๆ แกก็กลัวว่าแกจะรับไม่ได้เบาๆ ว่าแกจะรับรู้ว่าแกเป็นมะเร็งจริงๆ  จนในที่สุดคนในบ้านก็กล่อมให้แกไปตรวจที่ศรีนครินทร์ขอนแก่นจนได้
ปี ๒๕๕๔ แม่ได้ไปตรวจมะเร็งเต้านมที่ศูนย์มะเร็งศรีนครินทร์ที่ขอนแก่น เมื่อตรวจเสร็จ หมอก็เรียกแต่พ่อเข้าไปฟัง แต่แม่ไม่ยอมแม่บอกให้หมอบอกมาตรงๆ เค้าทำใจแล้วเค้าจะอึดอัดใจมากกถ้าไม่รู้อะไรเลย หมอถึงกับถอนหายใจ แล้วบอกว่าแม่เป็นมะเร็งเต้านมระยะ ๔ ก้อนใหญ่จนจะ ๖ เซนแล้ว และมันคงจะกระจายไปเรื่อยๆ และคงจะรักษาไม่ทันแล้ว อยากจะทำอะไรให้ไปทำ อยากจะเคลียอะไรให้ไปเคลีย มีเวลาประมาณ ๖เดือน หรอมากสุด ๑ ปี  ณ ตอนนั้นแม่เถียงตัวเองในใจ แม่มั่นใจและมีเซนว่าฉันจะอยู่ได้มากว่า ๑ ปีแน่ๆ แม่ไม่เสียใจไม่ร้องไห้ไม่เสียน้ำตา ในใจนึกแต่ว่าฉันจะพยายามอยู่ให้นานที่สุดด้วยตัวเอง ลูกสาวกำลังจะมีหลาน เค้าจะต้องไปหาหลาน แต่คนที่รับไม่ได้มากกว่าคือพ่อ พ่อร้องไห้ตลอดทางที่กลับบ้าน ไม่อยากคุยกับใครร้องไห้วันสองวันต่อกันจนแม่ต้องดุว่าแม่ยังไม่ร้องเลย อย่ามาร้องไห้ให้แม่ต้องเครียดไปมากกว่านี้  พ่อจึงพยายามหยุด หลังจากนั้น แม่ก็หมั่นออกกำลังกายทุกวัน ปรับการกินให้มากที่สุด งดกินของทอดน้ำมันเด็ดขาด ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ กินแต่ปลากับไข่เท่านั้น พยายามกินผักริมรั้ว ออแกนิค ปรุงอาหารแบบจืดๆ กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว ยาที่แม่กินไปด้วยคือยาจีนที่หมอจีนให้มากินแรกๆ ซึ่งยาตัวนี้มันแพงมากบางคนน่าจะรู้แหละว่ายาตัวนี้คือยาอะไร มีเวียนหัวอ้วกปรับตัวอยู่ซักพักก็หายเราก็ไม่รู้ว่ามันช่วยรึป่าวนะยาตัวนี้ แต่ด้วยแกมีความเชื่อในหมอจีนและแกก็รู้สึกว่ากินแล้วมันดี เหมือนก้อนลดลง ในใจเราคิดว่าที่ก้อนแม่ลดลงเพราะว่าแม่ปรับพฤติกรรมการกินมากกว่า แต่ถ้าสบายใจที่จะเชื่อแบบนั้นเราก็ไม่อยากจะไปขัดแม่ในเมื่อแม่รู้สึกดี ผ่านมา ๖ เดือน แม่ก็ยังแข็งแรงดี มีผอมลงนิดหน่อยอาจจะเพราะกินน้อยลง และแม่ได้ไปตรวจกับหมอมะเร็งคนเดิมในปลายปี ๒๕๔๔  พอหมอตรวจหมอก็แปลกใจว่ามะเร็งมันเป็นแค่มะเร็งระยะ ๓ แล้ว หมอเลยรีบ จับแม่นัดทำคีโมและถ้าคีโมผ่านไปด้วยดีจึงจะผ่าออก
ปี ๒๕๕๕ แม่เริ่มทำคีโมทำให้แม่แพ้มากจนต้องเกษียณราชการครูก่อน กำหนด แต่แม่ก็สู้ทั้งการกินด้วย สิ่งที่ได้รู้หลังจากให้คีโม คือ นมถั่วเหลือง ถั่วเหลืองทั่วไปตามท้องตลาดมันเป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก รวมถึงพวกถั่วลิสงด้วย ซึ่งถ้าคนไม่มีเชื้อมะเร็งหรือผู้ชายการรับประทานถั่วเหลืองคือช่วยต้านมะเร็ง แต่การรับประทานถั่วเหลืองที่ไม่ถูกต้อง บางตัวอาจจมีสารก่อมะเร็ง  และยังเป็นตัวช่วยดันให้มะเร็งเติบโตได้ดีด้วย ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาแม่พยายามกินนมถั่วเหลืองมาโดยตลอดเพราะคิดว่ามันต้านมะเร็งและก็ซื้อถุงตามตลาดกินด้วยสิผสมน้ำตาลนิดๆ น้ำตาลนี่ก็อาหารมะเร็งด้วยเหมือนกัน แม่เลยเลิกกินถั่วเหลือและถั่วลิสงโดยเด็ดขาด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปลายปี ๒๕๕๕  แม่ได้ทำการผ่าตัดมะเร็ง ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี แม่เอานมออก ๑ ข้าง  อยู่โรงพยาบาล ๑ เดือนเราก็ไปเฝ้าแม่ทั้งเดือน ลางานไป ๑ เดือนโชคดีที่เราไม่เคยใช้วันลาเลย แถมทำงานล่วงเวลาตลอดเราเลยเอาล่วงเวลากับการที่ทำงานในวันหยุด มาเป็นวันลาฟรีเพิ่ม ก็ยังคงได้รับเงินเดือนเต็มเดือน ช่วงนั้นแม่มีกำลังใจมากเพราะมีเราและพ่ออยู่ข้างๆ ตลอด และก็คุยวีดีโอกับพี่สาวที่เพิ่งคลอดลูกชายแกก็มีกำลังใจขึ้นมากเมื่อได้เห็นหลานคุยกับหลาน หลังจากนั้นก็ออกมาอยู่บ้าน แม่ก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับนัดไปพบแพทย์ทุกเดือนเพื่อการฉายแสงรังสี ช่วงนั้นเรากลับบ้านทุกเดือนเพื่อพาแม่ไปหาหมอ เราทำงานที่ กทม. ก็นั่งรถทัวร์กลับทุกเดือน ตอนนี้ยังคิดเสียดายในใจว่าเราน่าจะกลับไปดูแลท่านทุกสัปดาห์ และเราน่าจะกลับไปหาท่านให้บ่อยกว่านี้
ปลายปี  ๒๕๕๖ พี่สาวก็กลับประเทศไทยเอาหลานน้อยอายุเก้าเดือนมาให้แม่อุ้ม แม่มีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาอยู่กับหลานร่วมสองเดือน พ่อตัดสินใจออกจากงานมาอยู่ดูแลแม่เป็นเพื่อนแม่ในทุกๆ วัน เรามีแฟนและนำมาแนะนำให้แม่รู้จักและแม่ก็เหมือนจะเข้ากับแฟนเราได้ดีแต่ก็ขอให้เราดูนานๆ ให้มั่นใจ  เหมือนอะไรในปีนั้นอะไรๆ มันจะเริ่มดีขึ้น  หลังจากข่าวที่แม่ผ่าตัดมะเร็งเป็นที่รู้ถึงก็จะมีเพื่อนแม่ ญาติ คนรู้จักเซลขายของ เอาอาหารเสริม ยาต้านมะเร็ง มาขายให้แม่กินเพียบ บางคนไม่ได้เอามาขายแต่ก็แนะนำจากที่เคยได้ยินว่า โดยคำพูดที่ว่า “เค้าว่ากันว่ามันดี”
ซึ่งด้วยตอนนั้นยังฉายแสงอยู่แม่ก็ซื้อแต่บางตัวมากิน  เป็นอาหารเสริม เพราะแม่ผอมมากตอนนั้น  กับกินยาสมุนไพรไทยต้มร่างกายแม่ก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ กินอาหารได้มากขึ้น ผมเกิดหนาขึ้นมาก มีน้ำมีนวลดีขึ้น และใช้ชีวิตเรื่อยมาก
ปลายปี ๒๕๕๗ เมื่อครั้งกำลังจะฉายแสงครั้งสุดท้าย อยู่ๆ ร่างกายแม่ก็มีผื่นขึ้นที่แผลผ่าตัด  ณ ตอนนั้น ทุกคนและแม่ก็กังวลว่ามะเร็งจะกลับมาหรือแพร่ไปอีกข้างเลยตัดสินใจตรวจหามะเร็งอีกรอบ ซึ่งหมอบอกว่ามะเร็งกลับมาและอาจจะกระจายไปข้างขวา ก็จะให้แม่คีโมเหมือนเดิมและตัดข้างขวาออก แต่สุดท้ายแม่ก็ไม่อยากกลับไปคีโมอีกเพราะมันทรมาณมาก แม่จึงหนีหมอไม่ไปหาหมอตามนัด โดยอ้างหมอว่าจะไปหาหลานก่อนที่ต่างประเทศแล้วจะกลับมารักษาแต่หมอก็อยากให้รีบรักษาเดียวมันจะไม่ทัน แต่สุดท้ายแม่ก็ดื้อ ไม่ยอมแม่อยากไปหาพี่สาวที่ต่างประเทศ เราจึงได้ลางาน ๒๕ วัน เพื่อพาพ่อกับแม่ไปหาพี่สาวอยู่ต่างประเทศ  ให้พ่อแม่อยู่ ๖เดือน เรากลับไทยมาทำงานก่อน แม่ก็มีความสุขที่ได้อยู่กับพี่สาวและได้ดูแลหลานคนที่สองที่เพิ่งเกิด แต่พออยู่ได้ ๔ เดือนแม่ก็ป่วยเป็นหวัดเหมือนจะขาดใจ แม่อยากกลับบ้านหลังจากอาการป่วยไข้หวัดแม่ดีขึ้นพวกเราจึงได้รีบเปลี่ยนตั่วเครื่องบินให้แม่กลับไทย เพราะแม่ขอร้องเรา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่