ผ่าแทคติคเกมรับอันสุดเฟี้ยวของ โค้ชมิโล เวอร์ชั่น ไทยแลนด์

ขออนุญาตแชร์บทความที่ผมเขียนเองนะครับ

Dynamic Three Back Lining ของโค้ชมิโล กับเกมรับของทีมไทย-เกาหลีเหนือ

ฝ่าแทคติคเกมรับอันสุดเฟี้ยวของ โค้ชมิโล เวอร์ชั่น ไทยแลนด์

อ่านฉบับเต็มได้ที่ http://soccerrecap.com/story/33

แก้เพรสซิ่งของทีมชาติไทย

ในเกมวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น เราได้เห็นนักเตะไทยแก้เพรสซิ่งจากฝั่งเกาหลีเหนือได้อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ ทีมชาติไทยมักจะแพ้ทางการเล่นเพรสซิ่งโดยเฉพาะการเล่นกับทีมจากเอเชียตะวันออก เช่น ทีมชาติเกาหลี หรือทีมชาติญี่ปุ่น เพราะทีมชาติไทยติดนิสัย คิดช้า ทำช้า และเล่นช้า

แต่อย่างไรก็ตาม เกมเมื่อวานที่เราได้เห็นนั้น ทีมชาติไทย คิดเร็ว ส่งเร็ว ผ่านบอลไปมาหน้าโกล์ตัวเองอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นสักเท่าไหร่ ที่สำคัญเรายังได้เห็น โค้ชมิโล วางแผนและสั่งการยืนตำแหน่ง (Position) นักเตะในการแก้เพรสซิ่งอีกด้วย


จากรูปเราเห็น Position ของพรรษาและเฉลิมพงษ์ที่ยืนถ่างออกด้านข้าง และให้อดิศรและพีรพัฒน์ขยับไปยืนริมเส้น ทั้งนี้ ก็เพราะว่าหลักการแก้เพรสซิ่ง เราต้องให้นักเตะยืนห่างกันที่สุด และจะทำให้เกาหลีเหนือไล่บอลได้ยากและเหนื่อยไปในที่สุด จะว่าไปแล้ว อาจจะเป็นมิติใหม่ของไทยในการแก้เพรสซิ่งก็ได้ เพราะเราไม่เคยเห็นไทยแก้เพรสซิ่งได้จริง ๆ จัง ๆ เสียที

การเทนักเตะ (Superior Number of players)

อีกแทคติกหนึ่งที่น่าสนใจคือ การเทนักเตะไปยังฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เราได้เห็นซีดานเคยใช้ในเกมนัดชิง ระหว่าง มาดริด กับ ยูเว่ ตอนนี้โค้ชมิโลได้นำมาใช้กับไทยซึ่งก็ได้ผลดีด้วย ความจริงแทคติกนี้ เราเห็นมาตั้งแต่ นัดคัดบอลโลกระหว่าง ไทย กับ ยูเออีแล้ว เล่นซะอับดุลมานไปไม่เป็นเลยทีเดียว

ในเชิงแทคติคฟุตบอลสมัยใหม่นั้น การบีบพื้นที่แบบนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะตามธรรมชาติฟุตบอลแล้ว ฟุตบอลเป็นเกม 4 มิติ ซึ่งมีเรื่องเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง (ซึ่งต่างจากการแข่งวิ่ง หรือว่ายน้ำซึ่งถือว่าเป็นเกม 2 มิติ การกระจัดเป็นแนวเดียวคือไปข้างหน้า เร็วกว่าก็ชนะไป) แต่การเล่นฟุตบอลนั้น ในการสู้ การแย่งบอลนั้น แต่ละครั้ง บางครั้ง เรามีนักเตะน้อยกว่า บางครั้งเรามีมากกว่า เช่น 2 รุมแย่ง 1 หรือ 4 รุมแย่ง 2 ดังนั้น ไม่ว่าจะสถาณการณ์ใด ๆ การมีนักเตะเยอะกว่าในพื้นที่นั้นย่อมมีโอกาสแย่งบอลได้มากกว่าหรือย่อมได้เปรียบกว่านั่นเอง เพราะมีความน่าจะเป็นที่บอลจะติดเท้าฝั่งเรามากกว่า (ใครเรียน Stat มาจะรู้ดี) ในขณะเดียวกันถ้ามีการเข้าแย่งบอลจากฝั่งตรงข้ามและในบริเวณนั้นมีนักเตะของเรามากกว่า โอกาสเอาตัวรอด หรือ win the ball ของฝั่งเราก็มีโอกาสมากกว่า

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า โค้ชมิโล จัดตำแหน่งให้ Double Six ( ฐิติพันธ์กับธนบูรณ์ ) เทไปฝั่งซ้ายและฝั่งขวาพร้อม ๆ กันบ่อยมาก หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า สร้างสถานการณ์คนเยอะกว่า (Superior Number of players) เพิ่มโอกาสการแย่งบอลได้สำเร็จเพิ่มขึ้น ดังนั้นหน้าที่ของโค้ชคือ วางตำแหน่งยังไงก็ได้ให้ทีมมีโอกาสสร้าง Superior Number of players ให้บ่อยที่สุด โอกาสครองบอลก็จะมากกว่านั่นเอง

และนี่ก็เป็นที่มาของคำพูดที่กล่าวกันในวงการว่า "ผมรู้สึกว่าทีมตรงข้ามมีนักเตะมากกว่าเรา 1 คนอยู่ตลอดเวลา หรือ เรากำลังแข่งกับทีมที่ มี 12 คนอยู่รึเปล่า"

ปราการหลังสามคนสุดท้ายที่ไม่ตายตัว (Dynamic back three)

ไม่ว่าเราจะบุกอยู่ หรือ เรากำลัง Counter Attack อยู่ หลังเรายังไงก็ต้องมี 3 คน (center 2 และแบค อีก 1) โดยปกติ ในยุคซิโก้เราจะเหลือหลัง 2 คน ดังนั้นเราจะเห็นว่า เกาหลีเหนือโต้กลับเราไม่ได้เลยเพราะหลังเราแน่นและเยอะกว่านั่นเอง

เราเห็นลักษณะการยืนแบบนี้ตั้งแต่เกมกับยูเออีแล้ว เทคนิคคือ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง ไลน์สุดท้าย ต้องยืนหน้า โกล์ 3 คนดังภาพ


หรือไม่ก็เกาหลีเหนือบุก


จากภาพเราจะเห็นได้ว่า ถ้าเกาหลีเหนือบุกมาทางซ้าย อดิศร จะวิ่งขึ้นไปบีบพื้นที่ และ double six  และ มงคลจะวิ่งเข้ามาบีบพื้นที่เพื่อสร้าง Superior number of players situation และแน่นอน เกาหลีเหนือ เล่นยาก เปิดไม่ค่อยได้ หรือถ้าเปิดได้ เราจะเหลือ ปราการหลังสามคนคอยดักบอลอยู่ตลอดเวลา และในกรณีนี้ก็จะเหลือ พรรษา  เฉลิมพงษ์ และ พีรพัฒน์ เป็นหลังสามคนสุดท้าย


ในทางกลับกัน ถ้า เกาหลีเหนือขึ้นบอลมาทางด้านขวา พีรพัฒน์ จะวิ่งขึ้นมาบีบพื้นที่ แน่นอน คนที่เข้ามาช่วย ก็จะมี Double six และ อุ้ม หลังสามคนสุดท้ายจะเป็น พรรษา  เฉลิมพงษ์ และอดิสร และนี่ก็เป็นที่มาของ Dynamic Three back Lining หลังสามที่ไม่ตายตัว

การวางตำแหน่งกองหลังในลักษณะนี้ ทำให้ทีมไทยมีการคุมพื้นที่ ได้เป็นระเบียบและแน่นขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เรายังเห็น ธิฐิพันธิ์ วิ่งลงไปยืนเป็นแบ็คขวา

การวางแทคติคของโค้ชมิโลนี่ต้องบอกเลยว่า โค้ชทำการบ้านมาดีมาก ๆ ดึงศักยภาพนักเตะทุกคนออกมาได้ดี เราได้เห็นการตัดสินใจเอาอุ้มไปยืนบัญชาเกมรุก ทั้ง ๆ ที่โดยปกติ เราเห็นอย่างมากอุ้มก็แค่ไปยืนเป็นตัวโฮลบอลตรงกลาง อันนี้ต้องบอกเลยว่า โค้ชมิโลนี่เห็นเงียบ ๆ พี่แกเก็บเรียบนะครับ ทุกรายละเอียดเลย

ติดตามบทความอื่นได้ที่ http://soccerrecap.com/#_=_
-------------------------------
ตามอ่านการวิเคราะห์ฟุตบอลแนวความรู้เจาะลึกได้ใน www.soccerrecap.com
สำหรับผู้ที่อยากติดตามผลงานเขียนของผม สามารถสมัครสมาชิกแล้ว follow ผมได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ

ปล.  ผมยืมไอดีมาโพสต์นะครับ (กำลังรอ approve ไอดีของตัวเองอยู่ครับผม)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่