สวัสดีค่ะ เมื่อหลายปีก่อน เราได้เคยเขียนกระทู้เกี่ยวกับชีวิต และการเรียนในเป่ยต้ามาแล้ว
แล้วก็ดีใจที่ เป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆหลายคนคน ดีใจที่ได้เจอน้องๆที่รู้จักเราผ่านพันทิป และแชทเฟสมาถามข้อมูล จนได้มาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันที่เป่ยต้า
เราตัดสินใจเขียนกระทู้อีกครั้ง ในวันนี้ที่เราจบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งแล้ว
4 กรกฏาคม 2560 ที่ผ่านมา เป็นอีกวันหนึ่ง ที่เราภูมิใจที่สุดในชีวิต เพราะมันคือวันที่เรารอคอยมาตลอด 5 ปี
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนที่เพิ่งเข้าปี1 เราได้เข้าไปนั่งในสนามกีฬา 邱德拔(ชิวเต๋อป๋า) ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามกีฬาที่ใช้แข่งขันปิงปองโอลิมปิกตอนปี 2008
ตอนนั้นแค่รู้สึกว่า สถานที่ใหญ่โตดีนะ แต่ว่าพิธีการไม่ขลังเท่าที่ไทยเลย
แต่เมื่อ 4 ปีให้หลัง ในวันที่เราได้กลับเข้าไปนั่งบนอัฒจรรย์ในสนามกีฬาชิวเต๋อป๋าอีกครั้ง พิธีจบที่ไม่มีการซ้อม ไม่มีพิธีการอะไร นอกไปจากก่อนงานเริ่มไม่กี่นาที มีคนบอกคิวให้แต่ละคณะพูดคำขวัญของตัวเองเท่านั้นเอง พิธีจบที่ง่ายๆ มีคลิปสั้นๆ คนขึ้นมาพูดสองสามคน และร้องเพลงร่วมกัน ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ขลัง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เราเชื่อว่า ท่ามกลางวันสนุกสนา เฮฮาในวันงานพิธีจบนี้ เราทุกคนต่างภูมิใจในความเป็นเด็กเป่ยต้าด้วยกันทั้งนั้น
ชีวิตหนึ่งปีสุดท้ายก่อนจะจบ
ในช่วงเวลา ปีสี่
เทอม1 เราต้องหาที่ฝึกงาน เราเลือกที่จะฝึกงาน กับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับแอพฯภาษา ซึ่งมีมากกว่า60กว่าภาษา และภาษาไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น บริษัทเป็นบริษัทขนาดไม่ใหญ่มาก มีพนักงานประมาณ30-40คน เราเข้าไปทำตำแหน่ง บรรณาธิการ ภาษาไทย
ก่อนอื่นก็เกริ่นก่อนว่า เราเรียนด้านโฆษณามา แต่ว่าที่เป่ยต้า อาจจะไม่ได้เน้นเป็นโฆษณาเพรียวๆ เพราะค่อนข้างจะเน้นด้าน การวิจัย เก็บข้อมูล การทำการตลาด การทำสื่อ ต่างๆพวกนี้เข้าไปด้วย
ตอนนี้ก็มาดูกันว่า ด้านบรรณาธิการ ภาษาไทย ที่เราเข้าไปทำเนี่ย ต้องทำอะไรบ้าง
สิ่งทีเ่ราได้ทำก็คือ เขียนคอนเทนต์ WeChat ทำบทเรียนภาษาไทยลงแอพฯของบริษัท ทำรายการภาษาไทย คลิปข่าว ฯลฯ
เราดีใจ ที่เราได้เข้ามาฝึกงานในบริษัทที่ไม่ใหญ่ มันทำให้เราได้ลองทำงานหลายๆอย่าง และได้ครีเอทงานเอง บอสของเราค่อนข้างจะเปิดกว้างทางความคิด และเปิดอิสระให้พนักงานในการคิดโปรเจ็ค รายการต่างๆ ซึ่งแน่นอน ต้องเกี่ยวกับภาษา
มีช่วงหนึ่ง ที่บอสให้พนักงานทุกคนทำบทเรียนภาษาลงในแอพ เพื่อที่จะอัพยอดจำนวนบทเรียนให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีเกณฑ์ว่า ใครที่ทำได้เท่าไหร่ ก็จะได้เงินรางวัลตามเกณฑ์เท่านั้นไป
ซึ่งงานก็เข้าเราตอนนี้แหละ เพราะเราไม่คิดว่าทุกคนต้องทำ เราคิดว่า ใครอยากทำก็ทำ ไม่ทำก็ไม่เป็นไร เราก็ไม่ได้อยากจะกดดันตัวเองเพือ่เอาเงินรางวัลอยู่แล้ว เพราะปกติ อัตราการทำของเรา อยู่ที่วันละ 1 บท แต่เหมือนสิ่งที่เราได้ยินจากเพื่อนร่วมงานคือ เราต้องทำให้ได้ 100 บทกันนะเดือนนี้ แล้วเพื่อนๆก้จะมาถามเราว่าเราทำได้เท่าไหร่แล้ว ตอนนั้นเราก็เงิบเท่านั้นแหละ ว่าเราต้องทำด้วยหรอ ปรากฏว่าใช่ต้องทำ เราก็คิดว่ามันจะไปทำทันได้ยังไงตั้ง 100 บท แล้ววิธีการที่เพื่อนร่วมงานบอกก็คือ "บอสบอกว่า จริงๆเราไปก๊อปจากแหล่งอื่นมาก็ได้ ทำยังไงก็ได้ ให้ปั่นบทเรียนให้ได้เยอะๆ"
เอาจริงๆตอนที่ได้ยินอย่างงั้น เรารู้สึกไม่โอเค รู้สึกแย่มากๆ ถ้าจะต้องทำอย่างงั้น ฟิลลิ่งก็เหมือนเราไปขโมยของคนอื่นมา อีกด้านหนึ่ง คำพูดนี้ก็เป็นแรงผลักดันให้เรา ยอมทำบทเรียนภาษาไทยเอง 50 กว่าบทเรียน ในช่วงเวลาสิ้นเดือนที่เหลืออีก 8 วัน
ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ ตั้งแต่เช้ายันเย็น ตื่นนอนมา นั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน เราเอาแต่คิดเรื่องงาน คิดเนื้อหาบทเรียน ว่าเราจะทำบทเรียนอะไรต่อ มันเป็นอะไรที่โหดดี เสาร์อาทิตย์เราก็นั่งคิดบทเรียน นั่งอัดเสียงอยู่ที่บ้าน
อ้อ บทเรียนภาษาที่เราว่า คือ ในหนึ่งบทเรียน จะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย 10 คลิปสอน 1คลิปสอน อย่างน้อย 1 นาที เป็นคลิปเสียง
สิ่งที่เราต้องทำก็คือ คิดเนื้อหาบทเรียน อัดเสียง ตัดต่อเสียง ใส่เพลง จนได้ออกมาหนึ่งคลิป ฉะนั้น ถ้าเราจะทำ 50 บทเรียน เราต้องทำให้ได้ 500 คลิปจ้า
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อมันเกิดขึ้น เราทำสำเร็จ 50 บทเรียน ใน 8 วัน
นั่นหมายความว่า เดือนนึงเราสามารถทำได้มากกว่า 150 บทเรียน
สุดท้าย ผลที่ออกมาคือ เงินรางวัลที่เค้าให้ ไม่ใช่ให้กับทุกบทเรียนที่เอามาลง แต่จะต้องเป็นเฉพาะบทเรียนที่ทำเองเท่านั้น และปรากฏว่า รางวัลที่หนึ่งของคนที่ทำบทเรียนเองเยอะที่สุดก็คือเรา เงินรางวัลที่เราได้มา ก็พอๆกับเงินเดือนฝึกงานเดือนนั้นของเราเลย ตอนแรกเราไมไ่ด้คิดด้วยซ้ำว่าจะได้ เราตั้งเป้าไว้น้อยกว่าคนอื่นครึ่งนึง เราทำเพียงเพราะไม่อยากจะโดนเจ้านายว่า
เราดีใจ ที่ 8 วันก่อนเราตัดสินใจเชื่อตัวเอง เชื่อที่จะเลือกทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง
เราเองก็ดีใจ ที่เราได้รางวัล แต่นั่นเป็นเพียงแค่ผลพวง เพราะสิ่งที่เราได้ตั้งแต่แรกในตอนที่เราเลือกทางของเราเอง นั่นคือ ความสบายใจ
นอกจากนี้ ประสบการณ์ในการฝึกงานของเรา เรายังได้เข้าร่วมงานเซ็นสัญญา ของแอพฯบริษัทเรา กับองค์กรยูเนสโกด้วย
ส่วนในด้านเพื่อนร่วมงาน บริษัทนี้ เพื่อนร่วมงานน่ารัก เป็นกันเอง เราอยู่แผนกบรรณาธิการ ภาษา ก็จะมีเพื่อนๆ ที่ทำด้าน ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อาหรับ เกาหลี ญี่ปุ่น แต่ว่า เป็นคนจีนหมดเลย มีเราเพียงคนเดียวในบริษัทที่เป็นชาวต่างชาตินี่แหละ ส่วนภาษาที่ใช้ในการทำงาน แน่นอน ภาษาจีนค่ะ
เราเป็นพวกชอบกินขนม ทานข้าวเสร็จ ก็ต้องหาน้ำ ขนมกิน ถ้าเป็นที่ไทย ก็จะนึกถึง คนในที่ทำงานถือขนมติดไม้ติดมือเข้ามา แต่ที่นี่ไม่มีเลย
อ้อออ แต่สวัสดิการก็เยี่ยมอยู่ มีขนม น้ำ แจกฟรี ช่วงที่กำลังจะถึงเดทไลน์โปรเจ็กใหญ่ๆ ไม่ต้องกลับบ้านกันล่ะค่ะ มีบริการโรงแรมชั้นข้างล่างบริษัท หรือไม่ก็นอนเต้นท์มันซะในบริษัทเลย อาหารเที่ยง อาหารเย็น มีให้ฟรี แถมตอนเย็น มีครูฟิตเนสมานำออกกำลังกาย
แต่ทว่า ความโหดสำหรับคนชอบการตื่นเช้านอนแต่หัวค่ำอย่างเราอยู่ตรงที่ ช่วงแรกในการฝึกงาน เราต้องเข้างาน 10โมงเช้า เลิกงาน3ทุ่ม (ซึ่งเวลาทำงานจริงๆคือ เข้างาน 9 โมง เลิกงาน 6โมงเย็น)
ยังดีที่ หลังจากที่เราทำบทเรียนได้เยอะ เราขอเข้างานและเลิกงานตามเวลางาน นั่นก็คือ 6 โมงเย็น โดยให้เหตุผลไปว่า การอยู่ดึกขึ้นไม่ได้ทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น เราสามารถทำงานเลิก 6 โมง แต่ประสิทธิภาพเราได้เท่ากับคนเลิก สามทุ่ม
และก็ต้องขอบคุณเจ้านาย ที่ฟังเสียงเด็กตัวเล็กๆ ขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่เห็นใจ เพราะเราคิดว่า ถ้าเราอยู่ในสังคมไทย เราให้เหตุผลแบบนี้ไป เราอาจจะโดนว่ากลับมา และหาว่าชิ่งกลับบ้านก่อน ซึ่งประเด็นนี้ ก็แล้วแต่ความคิดคนจริงๆ
เราใช้เวลาฝึกงานกับบริษัทนี้ 4 เดือน
นับว่าเป็นช่วงเวลาสนุกๆ ของเราเลย และมันก็ทำให้เราค้นพบความชอบของเราเหมือนกัน
สุดท้ายของกระทู้นี้ อยากจะบอกว่า จงเชื่อตัวเอง หากความเชื่อนั่น เราพิจารณาแล้ว ว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องและทำให้เราสบายใจ
และผลลัพธ์ จะใหญ่หรือเล็ก ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราตั้งเป้าหมายขนาดใหญ่แค่ไหน
พลังของมนุษย์เรา มันจะเกินขีดจำกัดที่เราคิดว่ามันมีได้เสมอ
<<ประสบการณ์ชีวิตนักเรียนในเป่ยต้า>>ตอนที่10 ปีสุดท้ายชีวิตมหาลัย : เมื่อต้องฝึกงาน
แล้วก็ดีใจที่ เป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆหลายคนคน ดีใจที่ได้เจอน้องๆที่รู้จักเราผ่านพันทิป และแชทเฟสมาถามข้อมูล จนได้มาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันที่เป่ยต้า
เราตัดสินใจเขียนกระทู้อีกครั้ง ในวันนี้ที่เราจบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งแล้ว
4 กรกฏาคม 2560 ที่ผ่านมา เป็นอีกวันหนึ่ง ที่เราภูมิใจที่สุดในชีวิต เพราะมันคือวันที่เรารอคอยมาตลอด 5 ปี
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนที่เพิ่งเข้าปี1 เราได้เข้าไปนั่งในสนามกีฬา 邱德拔(ชิวเต๋อป๋า) ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามกีฬาที่ใช้แข่งขันปิงปองโอลิมปิกตอนปี 2008
ตอนนั้นแค่รู้สึกว่า สถานที่ใหญ่โตดีนะ แต่ว่าพิธีการไม่ขลังเท่าที่ไทยเลย
แต่เมื่อ 4 ปีให้หลัง ในวันที่เราได้กลับเข้าไปนั่งบนอัฒจรรย์ในสนามกีฬาชิวเต๋อป๋าอีกครั้ง พิธีจบที่ไม่มีการซ้อม ไม่มีพิธีการอะไร นอกไปจากก่อนงานเริ่มไม่กี่นาที มีคนบอกคิวให้แต่ละคณะพูดคำขวัญของตัวเองเท่านั้นเอง พิธีจบที่ง่ายๆ มีคลิปสั้นๆ คนขึ้นมาพูดสองสามคน และร้องเพลงร่วมกัน ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ขลัง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เราเชื่อว่า ท่ามกลางวันสนุกสนา เฮฮาในวันงานพิธีจบนี้ เราทุกคนต่างภูมิใจในความเป็นเด็กเป่ยต้าด้วยกันทั้งนั้น
ชีวิตหนึ่งปีสุดท้ายก่อนจะจบ
ในช่วงเวลา ปีสี่
เทอม1 เราต้องหาที่ฝึกงาน เราเลือกที่จะฝึกงาน กับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับแอพฯภาษา ซึ่งมีมากกว่า60กว่าภาษา และภาษาไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น บริษัทเป็นบริษัทขนาดไม่ใหญ่มาก มีพนักงานประมาณ30-40คน เราเข้าไปทำตำแหน่ง บรรณาธิการ ภาษาไทย
ก่อนอื่นก็เกริ่นก่อนว่า เราเรียนด้านโฆษณามา แต่ว่าที่เป่ยต้า อาจจะไม่ได้เน้นเป็นโฆษณาเพรียวๆ เพราะค่อนข้างจะเน้นด้าน การวิจัย เก็บข้อมูล การทำการตลาด การทำสื่อ ต่างๆพวกนี้เข้าไปด้วย
ตอนนี้ก็มาดูกันว่า ด้านบรรณาธิการ ภาษาไทย ที่เราเข้าไปทำเนี่ย ต้องทำอะไรบ้าง
สิ่งทีเ่ราได้ทำก็คือ เขียนคอนเทนต์ WeChat ทำบทเรียนภาษาไทยลงแอพฯของบริษัท ทำรายการภาษาไทย คลิปข่าว ฯลฯ
เราดีใจ ที่เราได้เข้ามาฝึกงานในบริษัทที่ไม่ใหญ่ มันทำให้เราได้ลองทำงานหลายๆอย่าง และได้ครีเอทงานเอง บอสของเราค่อนข้างจะเปิดกว้างทางความคิด และเปิดอิสระให้พนักงานในการคิดโปรเจ็ค รายการต่างๆ ซึ่งแน่นอน ต้องเกี่ยวกับภาษา
มีช่วงหนึ่ง ที่บอสให้พนักงานทุกคนทำบทเรียนภาษาลงในแอพ เพื่อที่จะอัพยอดจำนวนบทเรียนให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีเกณฑ์ว่า ใครที่ทำได้เท่าไหร่ ก็จะได้เงินรางวัลตามเกณฑ์เท่านั้นไป
ซึ่งงานก็เข้าเราตอนนี้แหละ เพราะเราไม่คิดว่าทุกคนต้องทำ เราคิดว่า ใครอยากทำก็ทำ ไม่ทำก็ไม่เป็นไร เราก็ไม่ได้อยากจะกดดันตัวเองเพือ่เอาเงินรางวัลอยู่แล้ว เพราะปกติ อัตราการทำของเรา อยู่ที่วันละ 1 บท แต่เหมือนสิ่งที่เราได้ยินจากเพื่อนร่วมงานคือ เราต้องทำให้ได้ 100 บทกันนะเดือนนี้ แล้วเพื่อนๆก้จะมาถามเราว่าเราทำได้เท่าไหร่แล้ว ตอนนั้นเราก็เงิบเท่านั้นแหละ ว่าเราต้องทำด้วยหรอ ปรากฏว่าใช่ต้องทำ เราก็คิดว่ามันจะไปทำทันได้ยังไงตั้ง 100 บท แล้ววิธีการที่เพื่อนร่วมงานบอกก็คือ "บอสบอกว่า จริงๆเราไปก๊อปจากแหล่งอื่นมาก็ได้ ทำยังไงก็ได้ ให้ปั่นบทเรียนให้ได้เยอะๆ"
เอาจริงๆตอนที่ได้ยินอย่างงั้น เรารู้สึกไม่โอเค รู้สึกแย่มากๆ ถ้าจะต้องทำอย่างงั้น ฟิลลิ่งก็เหมือนเราไปขโมยของคนอื่นมา อีกด้านหนึ่ง คำพูดนี้ก็เป็นแรงผลักดันให้เรา ยอมทำบทเรียนภาษาไทยเอง 50 กว่าบทเรียน ในช่วงเวลาสิ้นเดือนที่เหลืออีก 8 วัน
ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ ตั้งแต่เช้ายันเย็น ตื่นนอนมา นั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน เราเอาแต่คิดเรื่องงาน คิดเนื้อหาบทเรียน ว่าเราจะทำบทเรียนอะไรต่อ มันเป็นอะไรที่โหดดี เสาร์อาทิตย์เราก็นั่งคิดบทเรียน นั่งอัดเสียงอยู่ที่บ้าน
อ้อ บทเรียนภาษาที่เราว่า คือ ในหนึ่งบทเรียน จะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย 10 คลิปสอน 1คลิปสอน อย่างน้อย 1 นาที เป็นคลิปเสียง
สิ่งที่เราต้องทำก็คือ คิดเนื้อหาบทเรียน อัดเสียง ตัดต่อเสียง ใส่เพลง จนได้ออกมาหนึ่งคลิป ฉะนั้น ถ้าเราจะทำ 50 บทเรียน เราต้องทำให้ได้ 500 คลิปจ้า
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อมันเกิดขึ้น เราทำสำเร็จ 50 บทเรียน ใน 8 วัน
นั่นหมายความว่า เดือนนึงเราสามารถทำได้มากกว่า 150 บทเรียน
สุดท้าย ผลที่ออกมาคือ เงินรางวัลที่เค้าให้ ไม่ใช่ให้กับทุกบทเรียนที่เอามาลง แต่จะต้องเป็นเฉพาะบทเรียนที่ทำเองเท่านั้น และปรากฏว่า รางวัลที่หนึ่งของคนที่ทำบทเรียนเองเยอะที่สุดก็คือเรา เงินรางวัลที่เราได้มา ก็พอๆกับเงินเดือนฝึกงานเดือนนั้นของเราเลย ตอนแรกเราไมไ่ด้คิดด้วยซ้ำว่าจะได้ เราตั้งเป้าไว้น้อยกว่าคนอื่นครึ่งนึง เราทำเพียงเพราะไม่อยากจะโดนเจ้านายว่า
เราดีใจ ที่ 8 วันก่อนเราตัดสินใจเชื่อตัวเอง เชื่อที่จะเลือกทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง
เราเองก็ดีใจ ที่เราได้รางวัล แต่นั่นเป็นเพียงแค่ผลพวง เพราะสิ่งที่เราได้ตั้งแต่แรกในตอนที่เราเลือกทางของเราเอง นั่นคือ ความสบายใจ
นอกจากนี้ ประสบการณ์ในการฝึกงานของเรา เรายังได้เข้าร่วมงานเซ็นสัญญา ของแอพฯบริษัทเรา กับองค์กรยูเนสโกด้วย
ส่วนในด้านเพื่อนร่วมงาน บริษัทนี้ เพื่อนร่วมงานน่ารัก เป็นกันเอง เราอยู่แผนกบรรณาธิการ ภาษา ก็จะมีเพื่อนๆ ที่ทำด้าน ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อาหรับ เกาหลี ญี่ปุ่น แต่ว่า เป็นคนจีนหมดเลย มีเราเพียงคนเดียวในบริษัทที่เป็นชาวต่างชาตินี่แหละ ส่วนภาษาที่ใช้ในการทำงาน แน่นอน ภาษาจีนค่ะ
เราเป็นพวกชอบกินขนม ทานข้าวเสร็จ ก็ต้องหาน้ำ ขนมกิน ถ้าเป็นที่ไทย ก็จะนึกถึง คนในที่ทำงานถือขนมติดไม้ติดมือเข้ามา แต่ที่นี่ไม่มีเลย
อ้อออ แต่สวัสดิการก็เยี่ยมอยู่ มีขนม น้ำ แจกฟรี ช่วงที่กำลังจะถึงเดทไลน์โปรเจ็กใหญ่ๆ ไม่ต้องกลับบ้านกันล่ะค่ะ มีบริการโรงแรมชั้นข้างล่างบริษัท หรือไม่ก็นอนเต้นท์มันซะในบริษัทเลย อาหารเที่ยง อาหารเย็น มีให้ฟรี แถมตอนเย็น มีครูฟิตเนสมานำออกกำลังกาย
แต่ทว่า ความโหดสำหรับคนชอบการตื่นเช้านอนแต่หัวค่ำอย่างเราอยู่ตรงที่ ช่วงแรกในการฝึกงาน เราต้องเข้างาน 10โมงเช้า เลิกงาน3ทุ่ม (ซึ่งเวลาทำงานจริงๆคือ เข้างาน 9 โมง เลิกงาน 6โมงเย็น)
ยังดีที่ หลังจากที่เราทำบทเรียนได้เยอะ เราขอเข้างานและเลิกงานตามเวลางาน นั่นก็คือ 6 โมงเย็น โดยให้เหตุผลไปว่า การอยู่ดึกขึ้นไม่ได้ทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น เราสามารถทำงานเลิก 6 โมง แต่ประสิทธิภาพเราได้เท่ากับคนเลิก สามทุ่ม
และก็ต้องขอบคุณเจ้านาย ที่ฟังเสียงเด็กตัวเล็กๆ ขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่เห็นใจ เพราะเราคิดว่า ถ้าเราอยู่ในสังคมไทย เราให้เหตุผลแบบนี้ไป เราอาจจะโดนว่ากลับมา และหาว่าชิ่งกลับบ้านก่อน ซึ่งประเด็นนี้ ก็แล้วแต่ความคิดคนจริงๆ
เราใช้เวลาฝึกงานกับบริษัทนี้ 4 เดือน
นับว่าเป็นช่วงเวลาสนุกๆ ของเราเลย และมันก็ทำให้เราค้นพบความชอบของเราเหมือนกัน
สุดท้ายของกระทู้นี้ อยากจะบอกว่า จงเชื่อตัวเอง หากความเชื่อนั่น เราพิจารณาแล้ว ว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องและทำให้เราสบายใจ
และผลลัพธ์ จะใหญ่หรือเล็ก ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราตั้งเป้าหมายขนาดใหญ่แค่ไหน
พลังของมนุษย์เรา มันจะเกินขีดจำกัดที่เราคิดว่ามันมีได้เสมอ