"depression isnt always suicide notes and pill bottles. sometimes, its all smiles and fake laughter depression isnt always easy to notice."
ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็น
'โรคซึมเศร้า'
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมานานเท่าไหร่
ฉันรู้แต่ว่า ช่วงระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ฉันวนเวียน แต่คิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ที่ทำให้ฉันเจ็บปวด ฉันไม่มีความสุข หมดความสุขในชีวิต สำหรับฉันโลกไม่น่าอยู่อีกต่อไป
เมื่อปี พ.ศ 2552 ฉันมีเรื่องทำให้ 'หัวใจสลาย' ตอนนั้นฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ ฉันเก็บตัวอยู่แต่ในห้องมึดๆ ร้องไห้ตลอดเวลา ข้าวปลาไม่กิน ได้แต่ร้องไห้ และดูดบุหรี่อย่างหนัก ฉันจมอยู่กับความผิดหวัง อยู่กับคำถามว่า 'ทำไม' 'เพราะอะไร' แต่ฉันก็ไม่เคยได้คำตอบ
"แม่ต้องคอยเฝ้าระวังความคิดของฉันตลอดเวลา แทบจะป้อนข้าว ป้อนน้ำ จับอาบน้ำ แม่ต้องเปิดประตูมาดูทุกๆ 1 ชั่วโมง วันไหนแม่ไม่ว่าง แม่ก็จะให้ญาติๆ เวียนมาเฝ้า เวียนมาดู แม่เก็บทุกอย่างที่เป็นอันตราย หรือเป็นอาวุธ ที่ทำร้ายตัวเองได้ให้ห่างจากตัวฉัน ห้องนอนมึดๆ ของฉัน"
ต้นปี พ.ศ 2553 ฉันเริ่มออกจากห้องนอนมึดๆ นั้น สิ่งที่ฉันเห็น คือรอยยิ้มของแม่ แม่พูดกับฉันว่า 'ไปทำงานเถอะ ไปในที่ใหม่ๆ เจอผู้คน แล้วก็คิดว่าสิ่งที่เราเจอ มันเป็นเวรกรรมที่เราต้องมาชดใช้ให้เค้า อย่าอยู่แบบนี้เลยนะลูก ทำเพื่อแม่ได้มั้ย?'
ตอนนั้นฉันเริ่มมองดูแม่ แม่ดูแก่ลง จากเมื่อก่อนเยอะมาก แม่ดูเศร้า แม่ดูเหนื่อย ฉันเริ่มคิดได้ว่า ฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ รักฉันมากที่สุด แม่มักจะหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันเสมอ ตอนฉันเป็นเด็กเป็นลูกสาวที่สดใส มีชีวิตชีวา มองโลกในแง่ดี ขี้อ้อน เป็นคนตลก ให้แม่ได้หัวเราะตลอดเวลา เป็นกำลังใจที่ดีของแม่ เมื่อฉันมองในมุมแม่ ฉันคิดว่าแม่ฉันคงปวดใจน่าดูกับสภาพตอนนี้ของลูก แม่ต้องใช้พลังขนาดไหนเพื่อดูแลลูกสาว ที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ฉันเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่า จะไม่ให้แม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะสดใส ฉันจะเข้มแข็ง เพื่อแม่ เพื่อทุกคนในครอบครัว จะไม่ทุกข์ใจเพราะฉัน
แต่ความเป็นจริงฉันพยายามซ่อนทุกความรู้สึก จะปลดปล่อยออกมา ต่อเมื่ออยู่คนเดียว ฉันยังคงนอนร้องไห้ทุกคืน ยังแอบไปร้องให้ในห้องน้ำทุกวัน
ปี พ.ศ. 2554 ฉันยิ้มมากขึ้น ฉันหัวเราะมากขึ้น ฉันอยู่กับเพื่อนมากขึ้น แต่ฉันไม่เคยหัวเราะได้เต็มที่ ไม่เคยมีความสุขได้เต็มที่ ฉันออกไปเที่ยว ฉันดูสนุกมาก แต่ความเป็นจริงฉันไม่เคยสนุกเลย แต่ฉันบอกตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอให้ใครเห็น แต่ฉันก็ยังวนเวียนคิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำ ๆ เจ็บปวดซ้ำ ๆ ทุกวัน
ปี พ.ศ. 2555 อาการหดหู่ของฉันหนักขึ้น ฉันรู้สึกเหนื่อยกับทุกสิ่ง แต่ฉันก็ยังยิ้ม ยังทักทาย ยังหัวเราะ ให้กับทุกคน ยังตลก ให้เพื่อน ให้ครอบครัวได้สนุกสนาน ฉันรู้สึกฉันมีอีกคนที่อยู่ข้างในตัวฉัน ระหว่างที่ฉันหัวเราะฉันก็ยังเศร้า ระหว่างที่ฉันยิ้มฉันก็ยังร้องไห้
ปี พ.ศ. 2556 ฉันเริ่มหันหน้าเข้าธรรมะ ไปบวช ไปถือศีล มองตัวเอง หาตัวเอง ฉันรู้เริ่มที่จะปล่อยวาง แต่ฉันก็ยังไม่สามารถปล่อยได้หมด ฉันเริ่มรักษาตัวเอง ฉันเริ่มซื่อผ้า มาเย็บกระเป๋า handmade ฉันซื้อผ้ามาเยอะมากกก ฉันทำได้ 6-7 ใบ ฉันเริ่มกลับมาคิด กลับมาหดหู่ อีกแล้วในระหว่างที่ลงฝีเข็ม ฉันออกจากงาน หางานใหม่ เรียนรู้งานใหม่ๆ ทำงานให้ตัวเองดูยุ่งตลอดเวลา แต่ภายในใจฉันก็ยังหดหู่ เศร้าซึม อยู่ตลอด
ปี พ.ศ. 2557 ฉันหาวิธีรักษาตัวเองใหม่อีกครั้ง การระบายสี ฉันระบายไป 10 กว่าเล่มแรกๆ สนุกดี อยู่ในจินตนาการ จะใช้สีไหนสีไหนจะสวย แต่ระหว่างที่ระบายสี ฉันกลับเศร้า ต่อให้คิดเรื่องดีๆ ฉันก็ยังเศร้า หดหู่ เลิกจากงาน ฉันเก็บตัวอีกครั้ง นอนคิดวนเวียนเรื่องเดิม ๆ จมอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต พอนึกถึงเรื่องดี ๆ ก็เศร้า พอคิดถึงเรื่องแย่ ๆ ฉันก็ยังเศร้า แต่ฉันก็ยังยิ้ม ยังทักทาย ยังสนุกสนานต่อหน้าคนอื่น
ปี พ.ศ. 2558 ฉันเริ่มหาอะไรใหม่ ๆ ทำ ฉันขอพักเบรกจากงานที่ทำ 2 เดือน กลับมาใช้ชีวิตที่บ้าน เริ่มลงทุนกับการทำเบเกอรี่ เริ่มศึกษาด้วยตนเอง ฉันสนุกมากกับการเรียนรู้ใหม่ ๆ ทำให้ฉันคิดเรื่องในอดีตน้อยลง จนทำขนมทุกอย่างเป็น ในเวลา เดือนกว่าๆ ฉันกลับมาหดหู่อีกครั้ง กลับมาเศร้าซึมอีกครั้ง แต่ก็ยังยิ้มยังหัวเราะให้กับทุกคน
*บ้านที่ฉันกลับ ไม่ใช่บ้านที่ฉันเคยอยู่ในห้องมึดๆ ฉันย้ายมาอยู่บ้านอีกหลัง ข้าวของเครื่องใช้ยังวางที่เดิม เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ ยังอยู่แบบเดิม ฉันยังไม่กล้าพอที่จะกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้น ฉันกลัวเปลือกความเข้มแข็งที่ฉันสร้างมาทุกอย่างที่ฉันแสดงจะพังทลายลง
ปี พ.ศ 2560 เดือนมกราคม ฉันรักษาตัวเองด้วยการออกท่องเที่ยว ไปยังต่างแดน ไปในที่ไม่รู้จักใคร ภาษาก็ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิด เพื่ออาการมันจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ทุกอย่างกลับแย่ลง ฉันไปใจกลางเมืองที่คนพลุกพล่าน แต่ฉันกลับได้ยินเสียงความเสียใจ ความทุกข์ ความผิดหวัง ความสิ้นหวัง ได้อย่างชัดเจน ชัดเจนมากๆ กว่าครั้งไหน
เดือนกุมภาพันธ์ ฉันกลับมาทำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลุยงานอย่างคนบ้าคนบอ แต่ ฉันไม่อยากหายใจอีกต่อไปแล้ว ฉันเหนื่อย กับทุกอย่าง ฉันสั่งเสีย ฝากดูแลพ่อกับแม่ ไว้กับญาติพี่น้อง ฉันไม่คิดว่าแม่จะเสียใจแค่ไหน ฉันไม่สนใจใครแล้วนอกจากตัวเอง ฉันเหนื่อยมาก ฉันทนมามากพอแล้ว ฉันขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงท่าเรือปากเกร็ด ฉันดับเครื่อง ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนสะพานราม 4 ฉันมองเวลาจากในมือถือ 21.12 น. แต่ก่อนที่ฉันจะวางโทรศัพท์ลง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันมองหน้าจอ ❤️คุณแม่❤️ ฉันรับโทรศัพท์สายนั้น
แม่ - เป็นยังไงบ้างลูกเงียบหายไปเลย งานหนัก หรอ ไม่สบายหรือเปล่า
ฉัน - เปล่าค่ะ ช่วงนี้ยุ่งๆ นิดหน่อย เลยไม่ได้โทรหาแม่เลย คิดถึงแม่นะ
แม่ - แล้วกินอะไรหรือยัง พักผ่อนบ้างหรือเปล่า นอนเยอะๆ หน่อยนะลูก แม่ก็คิดถึงหนู แม่รักหนูนะลูก ยังไม่เข้าบ้านหรอ ดึกแล้วอันตรายนะลูก ระวังตัวด้วย วันนี้ประชุมทั้งวันปวดหัว ปวดตา เหมือนแม่จะไม่สบาย นี่กินยาไปแล้ว เดียวแม่หาหนังแขกดู แล้วก็จะนอนแล้ว อย่ากลับบ้านดึกมากนะลูก แม่รักหนูนะ คิดถึงจุ๊บๆ
ฉัน - รักแม่เหมือนกันนนน รักแม่มากๆ ด้วย คิดถึงน๊าา คนดีของฉันนน
แม่ดึงฉันจากความตายอีกครั้ง ฉันเริ่มร้องไห้เริ่มคิดถึงแม่ ฉันบอกกับตัวเองว่า
ฉันต้องหาหมอแล้วละ ฉันว่าฉันแย่มากๆ แล้วละ
ตอนฉันตัดสินใจจบชีวิต ฉันไม่ได้คิดถึงแม่แล้วว่าแม่จะอยู่อย่างไร ฉันคิดถึงแต่ตัวเองแล้ว ถ้าครั้งนี้แม่ไม่ดึงฉันจากความตายเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาละ แล้วถ้าฉันตาย แม่ไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้แน่นอน แล้วแม่ต้องดึงฉันจากความตายอีกกี่ครั้ง ?
วันพฤหัสที่ 6 กรกฎาคม 2560 ฉันกลับบ้านอีกครั้ง นัดเพื่อนออกมาดื่ม ยังหัวเราะ ยังเฮฮา กับเพื่อนเหมือนเดิม
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560 ฉันไปแผนกจิตเวช โรงพยาบาลประจำจังหวัด ทำแบบสอบถาม พบหมอ ใช้เวลาในการพูดคุย 2 ชั่วโมงกว่าๆ หมอบอกฉันเป็น โรคซึมเศร้า และฉันก็เก่งมากที่รักษา ตัวเองมาได้ถึง 8 ปี โดยที่ไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรที่รุนแรงลงไปกับตัวเอง ฉันบอกกับหมอว่า
สิ่งที่ยึดเหนี่ยวฉันไว้ กับโลกกลมๆ ใบนี้ คือ "แม่"
จนที่ฉันต้องมาหาหมอ เพราะตอนที่ฉันจะฆ่าตัวตายครั้งล่าสุด ฉันไม่ได้คิดถึงแม่อีกแล้ว
จนวันนี้เวลานี้ ยังไม่มีใครคิดว่าฉันเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง เพราะฉันไม่เคยอ่อนแอให้ใครเห็น ฉันยังหัวเราะ ฉันยังยิ้มให้กับทุกคน
ฉันต้องพบแพทย์ทุกเดือน และ ต้องใช้เวลารักษา อย่างน้อย 2 ปี
ฉันยังใช้ชีวิตปกติ ยิ้ม หัวเราะ เฮฮา ตลก ฉันเชื่อว่าสักวันฉันจะดีขึ้น และฉันอาจจะต้องไว้ใจใครซักคน พอที่ฉันจะสามารถ เล่าเรื่องต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องแสดงว่าตัวเองเข้มแข็ง อย่างน้อยตอนนี้ก็มีหมอ ที่ฉันไว้ใจที่จะทิ้งเปลือกความเข้มแข็งและเผชิญหน้ากับความอ่อนแอเพื่อที่จะเข้มแข็งได้อย่างแท้จริง
เมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องพบจิตแพทย์
ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็น
'โรคซึมเศร้า'
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมานานเท่าไหร่
ฉันรู้แต่ว่า ช่วงระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ฉันวนเวียน แต่คิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ที่ทำให้ฉันเจ็บปวด ฉันไม่มีความสุข หมดความสุขในชีวิต สำหรับฉันโลกไม่น่าอยู่อีกต่อไป
เมื่อปี พ.ศ 2552 ฉันมีเรื่องทำให้ 'หัวใจสลาย' ตอนนั้นฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ ฉันเก็บตัวอยู่แต่ในห้องมึดๆ ร้องไห้ตลอดเวลา ข้าวปลาไม่กิน ได้แต่ร้องไห้ และดูดบุหรี่อย่างหนัก ฉันจมอยู่กับความผิดหวัง อยู่กับคำถามว่า 'ทำไม' 'เพราะอะไร' แต่ฉันก็ไม่เคยได้คำตอบ
"แม่ต้องคอยเฝ้าระวังความคิดของฉันตลอดเวลา แทบจะป้อนข้าว ป้อนน้ำ จับอาบน้ำ แม่ต้องเปิดประตูมาดูทุกๆ 1 ชั่วโมง วันไหนแม่ไม่ว่าง แม่ก็จะให้ญาติๆ เวียนมาเฝ้า เวียนมาดู แม่เก็บทุกอย่างที่เป็นอันตราย หรือเป็นอาวุธ ที่ทำร้ายตัวเองได้ให้ห่างจากตัวฉัน ห้องนอนมึดๆ ของฉัน"
ต้นปี พ.ศ 2553 ฉันเริ่มออกจากห้องนอนมึดๆ นั้น สิ่งที่ฉันเห็น คือรอยยิ้มของแม่ แม่พูดกับฉันว่า 'ไปทำงานเถอะ ไปในที่ใหม่ๆ เจอผู้คน แล้วก็คิดว่าสิ่งที่เราเจอ มันเป็นเวรกรรมที่เราต้องมาชดใช้ให้เค้า อย่าอยู่แบบนี้เลยนะลูก ทำเพื่อแม่ได้มั้ย?'
ตอนนั้นฉันเริ่มมองดูแม่ แม่ดูแก่ลง จากเมื่อก่อนเยอะมาก แม่ดูเศร้า แม่ดูเหนื่อย ฉันเริ่มคิดได้ว่า ฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ รักฉันมากที่สุด แม่มักจะหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันเสมอ ตอนฉันเป็นเด็กเป็นลูกสาวที่สดใส มีชีวิตชีวา มองโลกในแง่ดี ขี้อ้อน เป็นคนตลก ให้แม่ได้หัวเราะตลอดเวลา เป็นกำลังใจที่ดีของแม่ เมื่อฉันมองในมุมแม่ ฉันคิดว่าแม่ฉันคงปวดใจน่าดูกับสภาพตอนนี้ของลูก แม่ต้องใช้พลังขนาดไหนเพื่อดูแลลูกสาว ที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ฉันเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่า จะไม่ให้แม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะสดใส ฉันจะเข้มแข็ง เพื่อแม่ เพื่อทุกคนในครอบครัว จะไม่ทุกข์ใจเพราะฉัน
แต่ความเป็นจริงฉันพยายามซ่อนทุกความรู้สึก จะปลดปล่อยออกมา ต่อเมื่ออยู่คนเดียว ฉันยังคงนอนร้องไห้ทุกคืน ยังแอบไปร้องให้ในห้องน้ำทุกวัน
ปี พ.ศ. 2554 ฉันยิ้มมากขึ้น ฉันหัวเราะมากขึ้น ฉันอยู่กับเพื่อนมากขึ้น แต่ฉันไม่เคยหัวเราะได้เต็มที่ ไม่เคยมีความสุขได้เต็มที่ ฉันออกไปเที่ยว ฉันดูสนุกมาก แต่ความเป็นจริงฉันไม่เคยสนุกเลย แต่ฉันบอกตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอให้ใครเห็น แต่ฉันก็ยังวนเวียนคิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำ ๆ เจ็บปวดซ้ำ ๆ ทุกวัน
ปี พ.ศ. 2555 อาการหดหู่ของฉันหนักขึ้น ฉันรู้สึกเหนื่อยกับทุกสิ่ง แต่ฉันก็ยังยิ้ม ยังทักทาย ยังหัวเราะ ให้กับทุกคน ยังตลก ให้เพื่อน ให้ครอบครัวได้สนุกสนาน ฉันรู้สึกฉันมีอีกคนที่อยู่ข้างในตัวฉัน ระหว่างที่ฉันหัวเราะฉันก็ยังเศร้า ระหว่างที่ฉันยิ้มฉันก็ยังร้องไห้
ปี พ.ศ. 2556 ฉันเริ่มหันหน้าเข้าธรรมะ ไปบวช ไปถือศีล มองตัวเอง หาตัวเอง ฉันรู้เริ่มที่จะปล่อยวาง แต่ฉันก็ยังไม่สามารถปล่อยได้หมด ฉันเริ่มรักษาตัวเอง ฉันเริ่มซื่อผ้า มาเย็บกระเป๋า handmade ฉันซื้อผ้ามาเยอะมากกก ฉันทำได้ 6-7 ใบ ฉันเริ่มกลับมาคิด กลับมาหดหู่ อีกแล้วในระหว่างที่ลงฝีเข็ม ฉันออกจากงาน หางานใหม่ เรียนรู้งานใหม่ๆ ทำงานให้ตัวเองดูยุ่งตลอดเวลา แต่ภายในใจฉันก็ยังหดหู่ เศร้าซึม อยู่ตลอด
ปี พ.ศ. 2557 ฉันหาวิธีรักษาตัวเองใหม่อีกครั้ง การระบายสี ฉันระบายไป 10 กว่าเล่มแรกๆ สนุกดี อยู่ในจินตนาการ จะใช้สีไหนสีไหนจะสวย แต่ระหว่างที่ระบายสี ฉันกลับเศร้า ต่อให้คิดเรื่องดีๆ ฉันก็ยังเศร้า หดหู่ เลิกจากงาน ฉันเก็บตัวอีกครั้ง นอนคิดวนเวียนเรื่องเดิม ๆ จมอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต พอนึกถึงเรื่องดี ๆ ก็เศร้า พอคิดถึงเรื่องแย่ ๆ ฉันก็ยังเศร้า แต่ฉันก็ยังยิ้ม ยังทักทาย ยังสนุกสนานต่อหน้าคนอื่น
ปี พ.ศ. 2558 ฉันเริ่มหาอะไรใหม่ ๆ ทำ ฉันขอพักเบรกจากงานที่ทำ 2 เดือน กลับมาใช้ชีวิตที่บ้าน เริ่มลงทุนกับการทำเบเกอรี่ เริ่มศึกษาด้วยตนเอง ฉันสนุกมากกับการเรียนรู้ใหม่ ๆ ทำให้ฉันคิดเรื่องในอดีตน้อยลง จนทำขนมทุกอย่างเป็น ในเวลา เดือนกว่าๆ ฉันกลับมาหดหู่อีกครั้ง กลับมาเศร้าซึมอีกครั้ง แต่ก็ยังยิ้มยังหัวเราะให้กับทุกคน
*บ้านที่ฉันกลับ ไม่ใช่บ้านที่ฉันเคยอยู่ในห้องมึดๆ ฉันย้ายมาอยู่บ้านอีกหลัง ข้าวของเครื่องใช้ยังวางที่เดิม เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ ยังอยู่แบบเดิม ฉันยังไม่กล้าพอที่จะกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้น ฉันกลัวเปลือกความเข้มแข็งที่ฉันสร้างมาทุกอย่างที่ฉันแสดงจะพังทลายลง
ปี พ.ศ 2560 เดือนมกราคม ฉันรักษาตัวเองด้วยการออกท่องเที่ยว ไปยังต่างแดน ไปในที่ไม่รู้จักใคร ภาษาก็ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิด เพื่ออาการมันจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ทุกอย่างกลับแย่ลง ฉันไปใจกลางเมืองที่คนพลุกพล่าน แต่ฉันกลับได้ยินเสียงความเสียใจ ความทุกข์ ความผิดหวัง ความสิ้นหวัง ได้อย่างชัดเจน ชัดเจนมากๆ กว่าครั้งไหน
เดือนกุมภาพันธ์ ฉันกลับมาทำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลุยงานอย่างคนบ้าคนบอ แต่ ฉันไม่อยากหายใจอีกต่อไปแล้ว ฉันเหนื่อย กับทุกอย่าง ฉันสั่งเสีย ฝากดูแลพ่อกับแม่ ไว้กับญาติพี่น้อง ฉันไม่คิดว่าแม่จะเสียใจแค่ไหน ฉันไม่สนใจใครแล้วนอกจากตัวเอง ฉันเหนื่อยมาก ฉันทนมามากพอแล้ว ฉันขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงท่าเรือปากเกร็ด ฉันดับเครื่อง ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนสะพานราม 4 ฉันมองเวลาจากในมือถือ 21.12 น. แต่ก่อนที่ฉันจะวางโทรศัพท์ลง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันมองหน้าจอ ❤️คุณแม่❤️ ฉันรับโทรศัพท์สายนั้น
แม่ - เป็นยังไงบ้างลูกเงียบหายไปเลย งานหนัก หรอ ไม่สบายหรือเปล่า
ฉัน - เปล่าค่ะ ช่วงนี้ยุ่งๆ นิดหน่อย เลยไม่ได้โทรหาแม่เลย คิดถึงแม่นะ
แม่ - แล้วกินอะไรหรือยัง พักผ่อนบ้างหรือเปล่า นอนเยอะๆ หน่อยนะลูก แม่ก็คิดถึงหนู แม่รักหนูนะลูก ยังไม่เข้าบ้านหรอ ดึกแล้วอันตรายนะลูก ระวังตัวด้วย วันนี้ประชุมทั้งวันปวดหัว ปวดตา เหมือนแม่จะไม่สบาย นี่กินยาไปแล้ว เดียวแม่หาหนังแขกดู แล้วก็จะนอนแล้ว อย่ากลับบ้านดึกมากนะลูก แม่รักหนูนะ คิดถึงจุ๊บๆ
ฉัน - รักแม่เหมือนกันนนน รักแม่มากๆ ด้วย คิดถึงน๊าา คนดีของฉันนน
แม่ดึงฉันจากความตายอีกครั้ง ฉันเริ่มร้องไห้เริ่มคิดถึงแม่ ฉันบอกกับตัวเองว่า
ฉันต้องหาหมอแล้วละ ฉันว่าฉันแย่มากๆ แล้วละ
ตอนฉันตัดสินใจจบชีวิต ฉันไม่ได้คิดถึงแม่แล้วว่าแม่จะอยู่อย่างไร ฉันคิดถึงแต่ตัวเองแล้ว ถ้าครั้งนี้แม่ไม่ดึงฉันจากความตายเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาละ แล้วถ้าฉันตาย แม่ไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้แน่นอน แล้วแม่ต้องดึงฉันจากความตายอีกกี่ครั้ง ?
วันพฤหัสที่ 6 กรกฎาคม 2560 ฉันกลับบ้านอีกครั้ง นัดเพื่อนออกมาดื่ม ยังหัวเราะ ยังเฮฮา กับเพื่อนเหมือนเดิม
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560 ฉันไปแผนกจิตเวช โรงพยาบาลประจำจังหวัด ทำแบบสอบถาม พบหมอ ใช้เวลาในการพูดคุย 2 ชั่วโมงกว่าๆ หมอบอกฉันเป็น โรคซึมเศร้า และฉันก็เก่งมากที่รักษา ตัวเองมาได้ถึง 8 ปี โดยที่ไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรที่รุนแรงลงไปกับตัวเอง ฉันบอกกับหมอว่า
สิ่งที่ยึดเหนี่ยวฉันไว้ กับโลกกลมๆ ใบนี้ คือ "แม่"
จนที่ฉันต้องมาหาหมอ เพราะตอนที่ฉันจะฆ่าตัวตายครั้งล่าสุด ฉันไม่ได้คิดถึงแม่อีกแล้ว
จนวันนี้เวลานี้ ยังไม่มีใครคิดว่าฉันเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง เพราะฉันไม่เคยอ่อนแอให้ใครเห็น ฉันยังหัวเราะ ฉันยังยิ้มให้กับทุกคน
ฉันต้องพบแพทย์ทุกเดือน และ ต้องใช้เวลารักษา อย่างน้อย 2 ปี
ฉันยังใช้ชีวิตปกติ ยิ้ม หัวเราะ เฮฮา ตลก ฉันเชื่อว่าสักวันฉันจะดีขึ้น และฉันอาจจะต้องไว้ใจใครซักคน พอที่ฉันจะสามารถ เล่าเรื่องต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องแสดงว่าตัวเองเข้มแข็ง อย่างน้อยตอนนี้ก็มีหมอ ที่ฉันไว้ใจที่จะทิ้งเปลือกความเข้มแข็งและเผชิญหน้ากับความอ่อนแอเพื่อที่จะเข้มแข็งได้อย่างแท้จริง