
ดูมาแล้วจ้า Spider-Man: Homecoming บอกเลย สนุกมากๆ สมกับที่โฆษณา และโปรโมทไว้ก่อนหน้าดีจริงๆ (น่าจะปล่อยให้มันกลับสู่ Marvel Studios ตั้งนานแล้วนะ) Peter Parker ที่แสดงโดย Tom Holland ภาคนี้ช่างเป็น Spider-Man ที่มีเอกลักษณ์ และจุดขายเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก ทั้งความฮา เกรียน ป่วน และรั่วในทุกกระเบียดนิ้วตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะบุคลิก character ของตัว Tom Holland ที่ดูท่าทางค่อนข้างจะเป็นตัวป่วน และตัวปัญหาอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ Jon Watts ในฐานะผู้กำกับเลยแทบไม่ต้องเร่ง หรือเค้นอะไรเอาจาก Holland มากนักในบทบาท Spidey นี้ ทำให้ทั้งบุคลิก character และภาพจำของ Spider-Man ในเวอร์ชั่นนี้สามารถทำออกมาได้ค่อนข้างใกล้เคียงกับในเวอร์ชั่น animation (ที่กวนโอ๊ย)เอามากๆ ไม่ว่าจะบทพูด หรือ ลักษณะท่าทางการพูด คำพูดคำจา ต่างๆ (ขณะที่ใส่ชุดไอ้โม่งแดงออกปฏิบัติการ) ในแบบฉบับที่หาไม่ได้เลยในเวอร์ชั่น live-action จำนวน 5 ภาคที่เคยทำออกมาโดยสตูดิโอของ Sony
คืออารมณ์ขันและมุขต่างๆที่แทรกมาในเรื่องนี้จึงถือว่าผ่าน อย่างสวยงาม แม้ว่าในบางมุมแล้วมุขอาจจะเหมือนถูกใส่มามากเกินไปก็ตาม
อย่างไรก็ดี แม้ความขำขัน ความเป็นตัวป่วนของ Holland จะช่วยสร้างสีสันให้กับ Peter Parker และ Spidey ในฉบับนี้ แต่เมื่อถึงเวลาในฉากที่ต้องดราม่า เคร่งเครียด หรือ จำเป็นต้องอยู่ในโหมดจริงจัง ตัว Holland เองก็กลั่นมันออกมาได้ดี คือ ฉากซีนที่ Parker ถูกกดดันจากตัวร้ายผ่านทางคำพูด สีหน้า แววตา และรอยยิ้มนั้น Holland ก็แสดงมันออกมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้า ทำตาแบบสะอึกกับความกลัว การพูดเริ่มพูดแบบตะกุกตะกุก แววตาของความกวนเกรียนเริ่มหายไป เมื่อตัวร้าย รู้ตัวว่า Peter Parker คือ Spider-Man ด้วยการเดาออกง่ายๆเมื่อเจอหน้ากันเพียงครั้งแรก และจากการพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค
ผมชอบนะ ภาคนี้ คือตัวร้าย The Vulture หรือ Adrian Toomes มันเป็นตัวร้ายที่ดูฉลาด มีไหวพริบ คืออย่างน้อยมันสามารถลบภาพความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครโง่ๆในหนัง Superheroes ที่ใส่หน้ากากลงได้บ้างอะ ฉากพวกนี้มันทำออกมาไม่เหมือนหนัง Superheroes ตัวอื่นๆ ที่ต่อให้เจอกันกี่ครั้งๆ หรือ ทำตัวน่าสงสัยอย่างไร ตัวละครนั้นๆก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า คนที่ตัวเองกำลังพูดด้วย คือ Ultraman, Masked Rider, หน้ากากเนียนด้า, หรือ Superman อะไรอย่างนี้อะครับ (อันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงนะครับ ผมเข้าใจสาเหตุที่ ว่าทำไมคนในจักรวาล DC มอง Clark Kent ไม่ออก เพราะทฤษฎีเรื่อง แว่น แต่แค่ยกตัวอย่างประกอบให้เห็นภาพเฉยๆ)
ในจุดนี้ Michael Keaton ทำให้ Adrian Toomes ดูมีความน่ากลัว และมีมิติในฐานะ familyman มากขึ้น ไม่ว่าจะการเล่นแสยะยิ้มใส่ Peter Parker และบทพูดที่แสดงออกถึงความหลากมิติในชีวิตที่สวมหมวกหลายใบของเขา
ส่วนป้า May (Marisa Tomei) นี่ผมรู้สึกขัดใจมากๆ ตรงที่ว่าเธอก็ยังคงติดอยู่ในกับดักเดิมๆของหนัง superheroes อยู่ดี คือ ทั้งๆที่เป็นคนใกล้ตัวที่สุด และแม้จะรู้สึกสงสัยถึงความแปลกๆไปของหลานชายตัวเอง แต่ก็ไม่เคยได้ล่วงรู้ หรือฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้เลย (จริงๆข้อนี้เป็นจุดที่มีร่วมกันเยอะที่สุดในบรรดาหนัง superheroes เลยนะ)
สำหรับ Ned (Jacob Batalon) ที่เป็นเพื่อนซี้สุดฮาของ Parker ก็ปล่อยมุขตลกออกมาได้ซื่อๆ แบบเด็กๆ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเจนจัดในการแก้สถานการณ์ และเหมาะกับ character ดี คือมันฉายภาพของแก๊งเด็ก nerd และบริบท ลักษณะการพูด การจา การเล่นมุขแบบเด็ก nerd ได้ดีอะ (อันนี้มันเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนะ แต่พอดูๆแล้วมันก็เออ เฮ้ยมันเก็บรายละเอียดดีว่ะ)
ในด้านของนางเอก(ของภาคนี้) Liz (แสดงโดย Laura Harrier) ผมว่าดูค่อนข้างเฉยๆนะ มันงั้นๆอะ ถ้าไม่นับสรีระ และแววตาอันดึงดูดเพศตรงข้ามคู่นั้นของ Harrier แล้ว ผมคิดว่าเธอแทบไม่มีอะไรเด่นเลยจริงๆนะ อินเนอร์มันไม่ค่อยแรงอะ มันดูเป็นตัวละครพวกประเภทเรียบๆเหมือนตัวละครธรรมดาๆเกินไปอะ ไม่ได้ไปถึงขั้นสาวสวย/ดาวประจำโรงเรียน เดินผ่านใครๆก็มองที่เกินเอื้อม แบบ Mary-Jane Watson ในภาคก่อนๆ (อาจจะเป็นเพราะบทที่เขียนกำกับไว้ไม่ให้มันเด่น หรือเปล่งรัศมีอะไรจนเกินขอบเขตไป)
แต่ในทางกลับกัน Michelle (แสดงโดย Zendaya) ซึ่งแต่งตัวปอนๆ ทรงผมพะรุงพะรัง หน้าตาดูๆหมอง และปรากฏตัวค่อนข้างบ่อย (แต่ไม่ใช่ฉากสำคัญๆ) กลับดูมีของมากกว่า มีอินเนอร์ อาจะมีเสน่ห์ปนบ้างแต่เล็กน้อย แต่มันก็ "ดูมีอะไร" มากกว่า Liz นะ (ตรงนี้อาจเถียงได้ว่าเพราะ Michelle ถูกวางให้มีบทในระยะยาว สำหรับ MCU อยู่แล้ว ในบท MJ) แถม Michelle (ซึ่งคาดว่าจะกลายเป็นนางเอกของภาคถัดๆไป) ยังเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งที่ไม่เคยตกอยู่ในอันตราย หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องร้องให้ Spider-Man วิ่งเข้ามาช่วยอีกต่างหาก (นับว่าฉีกแนวพอควร) (ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นความสำเร็จของผู้กำกับนะ และคนเขียนบทอยู่นะที่มันสามารถสร้าง setting อันนี้ขึ้นมาบน character ของทั้ง Liz และ Michelle จนเกิดภาพเปรียบที่เห็นชัดขนาดนี้ได้)
สำหรับ Tony Stark และ Happy Hogan ที่แม้ในตอนแรกจนถึงช่วงกลางๆเรื่องอาจจะดูเหมือนออกมาเพื่อเป็นมุขตัวขโมยซีนของ Parker แต่ในทางกลับกันมันกลับทำหน้าที่เป็นจิ๊กซอว์และบันไดในการให้คนดูเดินทางไปพบกับความสำเร็จของ Peter Parker
และในส่วนของ Flash Thompson ที่ภาคนี้ออกจะดูเปลี่ยนแนวสักหน่อย มันดูไม่ค่อยเด่นสะดุดตาซักเท่าไร คือถ้าสังเกตดีๆ สิ่งที่ Flash ทำ แทบจะไม่สร้าง damage หรือ แรงกระทบ อะไรกับตัว Peter Parker เลย ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียน การพูดจาประชดประชัน (ที่โดยปกติแล้วมักจะทำให้เกิดผลกระทบทางด้านจิตใจ) แต่ Peter Parker ก็ดูจะเฉยๆกับการกลั่นแกล้งของ Flash ไม่ค่อยได้แคร์ หรือเก็บไปคิดอะไรอะ (เหมือนก็แค่เจ็บใจเล็กๆน้อยๆ) อันนี้พูดในแง่ที่มันปรับเข้าสู่ยุคสมัย และมีความเป้นสมัยใหม่ ในฐานะลูกคนรวย แล้วนะ แต่มันก็ยังไม่ได้เด่น หรือ มีเวทีอะไรให้กับมันมากเท่าที่ควรอะ (บทมันน้อยซะจนไม่สัมพันธ์กับช่วงที่มันมี promote เกี่ยวกับ Flash Thompson ใน Spidey เวอร์ชั่นนี้เมื่อสัปดาห์ก่อนอะครับ
โดยภาพรวมผมว่า บทดีนะ บทพูดถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างคมคายไม่ว่าจะคำพูดที่แทรกการเมือง หรือคำพูดเชิงจิกกัดเกี่ยวกับแวดวงสังคมของ Superheroes ที่ทำงานร่วมกับรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา (military industrial complex) มันเข้าใจแทรกมากับบทพูดของตัวละครให้เห็นภาพดี คือมันไม่ได้มากเกินไป จนคนดูสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ "การเมือง" แต่ก็พอทำให้ "รู้สึกได้บ้าง" ดี มันทำออกมาค่อนข้างหลากรส หลากอารมณ์ดี มีทั้งบทตลก บทเคร่งเครียด กดดัน ฉากโรแมนติคอาจจะไม่ค่อยมีไปจนถึงระดับปริมาณน้อยไปเลย แต่ก็อยู่ในขั้นที่รับได้ เพราะจาก timeline ของตัวละครที่เพิ่งอายุเข้าสู่วัยรุ่น วัย teen ฉาก love scene ฉากดราม่าแบบโรแมนติค อะไรต่างๆถ้าเน้นใส่เข้ามา ก็อาจจะทำให้ดูเยอะหรือรกไป (ดังนั้น ทำน้อยๆ และปล่อยให้มีมุมน่ารักๆเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็ดูกลมกล่อมไปอีกแบบ)
นอกจากนี้ความสมเหตุสมผล และความสมจริงในหนังและบทยังมีให้เห็นอีกมากมายตลอดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรั่วแบบสมจริงของ Spidey ภาคนี้ ที่ยังเป็นเพียงเด็กมัธยมและยังไม่เชี่ยวชาญการเป็น Superhero มากนัก การออกไปช่วยเหลือชาวเมือง ในบทบาท "Friendly Neighborhood Spider-man" จึงค่อนข้างมีอุปสรรค ติดๆขัดๆเสมอ ไม่ว่าจะช่วยผิดคน การทำข้าวของพัง หรือ การไม่ประสบผลสำเร็จในการจับคนร้าย ฯลฯ แถมภาคนี้ Peter Parker ยังเป็น Spider-Man ที่ต้องการให้คนอื่นช่วยอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ไม่ว่าจะให้ Iron Man ให้ computer ให้ Ned ช่วย (ภาพของ Spider-Man ภาคนี้จึงค่อนข้างออกมาในแนวๆตลกรั่วๆซะมากกว่าเป็นฮีโร่แบบโชว์ฟอร์มเท่ๆ มาดเข้ม)
สำหรับภาพ ภาพดีมาก ไม่ว่าจะ CG และการออกแบบชุด คือ Hi-Tech ดูหรู ดูแพง เท่ (แต่บางมุมก็ดูเหมือนรับความเป็น Iron Man มามากไป ในเรื่องของชุดอะนะ) ดนตรีและเพลงประกอบหนังก็ดี ผมชอบที่สุดคือตอน end credit ที่มีเพลง Blitzkrieg Bop ของ Ramones (hey ho ! Let's Go !) คือมันให้อารมณ์ย้อนยุคดี
และท้ายสุดเรื่องของ Plot / Storyline ผมว่าในบางจุดมันเขียนให้ดูเป็นเส้นตรงและเดาเล่นกันง่ายเกินไป ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ของตัวละครภายในหนัง ไม่ว่าจะเรื่องของตอนจบ คือ plot มันค่อนข้างอ่อนไป ไม่ค่อยมีซิกแซก หรือความซับซ้อนเท่าไร แต่อย่างน้อยภายในความเถรตรง ความเป็นเส้นตรงของเนื้อเรื่องก็ยังซ่อนความดีงามอยู่บ้าง คือมันยังมีการตีความและสอดแทรกลูกไม้ ลูกเล่นอะไรใหม่ๆที่ไม่เหมือนภาคเก่าๆเข้าไปบ้าง โดยที่พยายามจะไม่ให้มันทิ้งร่องรอยของเวอร์ชั่นเก่าเอาไว้ ตรงนี้ผมว่ามันค่อนข้างดีนะ เป็นการเก็บรายละเอียดกับตัวหนังได้รอบคอบ คือ ไหนๆแทนที่จะใส่ฉาก climax และฉากแนวๆ epic แบบภาคเก่าเข้ามาแทรกแล้ว ก็นำเสนอไปในอีกรูปแบบหนึ่ง (เช่น ฉากเรือ หรือ ฉากลิฟต์) ที่มันแตกต่างออกไป อันนี้ชื่นชมในความครีเอทที่ยังทำให้ดูมีความแปลกออกไปจากภาคเก่าบ้าง
อย่างไรก็ตาม เรื่อง plot อาจจะไม่ได้ดูดีนัก แต่ theme ของหนังนับว่าทำออกมาได้น่าประทับใจอะครับ คือ theme หนังมันตั้งใจจะเสนอภาพวิวัฒนาการของเด็กน้อยจากที่พึ่งพาตัวเองแทบไม่ได้เลยถ้าไม่ได้เทคโนโลยีของ Tony Stark จนเติบโตและพึ่งพา แก้ปัญหาต่างๆด้วยตัวเองในตอนท้ายเรื่องเนี่ย สุดจะประทับใจ และมีความหมายสอนใจเอามากๆเลย นี่ก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ภาคนี้เขายังไม่ใส่ตัวร้ายที่ร้ายระดับโลก ร้ายอำมหิตเข้ามาให้เป็นคู่ต่อสู้ของ Spider-Man (The Vulture แม้ชุดและพลังจะดูอลังการยิ่งใหญ่ แต่จากบทสนทนาถ้าสังเกตดีๆแล้วก็จะพบว่า เขาเองก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรใหญ่ระดับโลก หรืออลังการอะไรนัก แค่ทำงานลักลอบค้าของผิดกฎหมายธรรมดาๆ ไม่ได้จะครองโลกแบบ Loki) เพราะ Parker ยังคงติดอยู่ในช่วงทดสอบ และพิสูจน์ตัวเองก่อนจะเข้า The Avengers อยู่ (ดูๆไปบางมุมก็ให้อารมณ์เหมือนดู Ant-Man นะ มาแนวๆเดียวกันเลย ไม่ได้ไปสู้วายร้ายอะไร แค่สู้กับตัวร้ายเล็กๆน้อยๆ)
ที่ผมชอบสุดๆก็คือการเล่าเรื่องของผู้กำกับ Jon Watts เนี่ยแหละครับ ภาคนี้ผู้กำกับได้เล่าเรื่องให้ฉีกไปจากภาคเก่าๆของ Sam Raimi คือมันไม่มีฉากแมงมุมกัด ไม่มีฉากลุง Ben ไม่มีการพูดหรือเล่าเท้าความถึงลุง Ben เลย เสมือนกับว่าในจักรวาลนี้มีกันแค่ป้า May กับหลานอยู่บ้านกัน 2 คน (ถ้าจำไม่ผิด เหมือนว่าในบ้านจะไม่มีรูปหรืออะไรที่สื่อไปถึงลุง Ben ด้วยนะ อันนี้ถ้าใครเห็นก็มาชี้แจงได้ครับ) และในชีวิตประจำวันของ Peter ก็ไม่ได้ "พังทลาย" หรือ กลายเป็น "loser" แบบจริงๆจังๆ เพราะการเป็น Spider-Man แบบของ Tobey Maguire หรือ Andrew Garfield อีกด้วย
Peter ในภาคนี้ยังคงมีที่ทาง มีตำแหน่งแห่งที่ที่แน่นอนในสังคมของตนเอง และในโรงเรียน (เป็นถึงระดับตัวแทนโรงเรียนไปแข่งตอบปัญหา) และไม่ใช่ Peter ในลักษณะที่สาวๆรังเกียจ / มองข้าม หรือเป็นพวก idiot อะ (อาจเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงเพิ่มเริ่มเป็น Spider-Man เลยยังไม่เจอโลกอันโหดร้ายของสังคมการทำงาน แบบหัวหน้านักข่าวในเวอร์ชั่น Sam Raimi) แถมภาคนี้ยังไม่มีการพูดถึง "พลังทั้งหมด" ของ Peter Parker ด้วย คนดูแทบไม่รู้เลยว่า Spidey เวอร์ชั่นนี้มีความสามารถอะไรติดตัวมาบ้างหลังจากกลายร่างเป็น Spider-Man ถ้าไม่นับพลังจากชุด Spider-Man ที่ได้มาจาก Tony Stark หนังแทบจะไม่บอกข้อมูลอะไรเลย เกี่ยวกับมิติด้าน Spider-Man ของ Peter Parker
ไม่เพียงแต่ Jon Watts จะรู้วิธีเล่าเรื่องให้มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เขายังรู้วิธีที่จะเล่าเรื่องให้เกิดการ contrast เปรียบเทียบใน 2 มิติระหว่าง Spidey ที่พึ่งพาแต่เทคโนโลยี/ชุดไฮเทค และ Spidey ที่พึ่งพา/แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้อย่างเห็นภาพอีกด้วย
ถ้าชอบก็ขอเรียนเชิญมากดไลค์ที่เพจนะครับ:
https://www.facebook.com/critiquesofeverything/
[SR] Spider-Man: Homecoming - รีวิวแบบละเอียด เป็นกลาง (มี Spoil เล็กน้อย)
ดูมาแล้วจ้า Spider-Man: Homecoming บอกเลย สนุกมากๆ สมกับที่โฆษณา และโปรโมทไว้ก่อนหน้าดีจริงๆ (น่าจะปล่อยให้มันกลับสู่ Marvel Studios ตั้งนานแล้วนะ) Peter Parker ที่แสดงโดย Tom Holland ภาคนี้ช่างเป็น Spider-Man ที่มีเอกลักษณ์ และจุดขายเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก ทั้งความฮา เกรียน ป่วน และรั่วในทุกกระเบียดนิ้วตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะบุคลิก character ของตัว Tom Holland ที่ดูท่าทางค่อนข้างจะเป็นตัวป่วน และตัวปัญหาอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ Jon Watts ในฐานะผู้กำกับเลยแทบไม่ต้องเร่ง หรือเค้นอะไรเอาจาก Holland มากนักในบทบาท Spidey นี้ ทำให้ทั้งบุคลิก character และภาพจำของ Spider-Man ในเวอร์ชั่นนี้สามารถทำออกมาได้ค่อนข้างใกล้เคียงกับในเวอร์ชั่น animation (ที่กวนโอ๊ย)เอามากๆ ไม่ว่าจะบทพูด หรือ ลักษณะท่าทางการพูด คำพูดคำจา ต่างๆ (ขณะที่ใส่ชุดไอ้โม่งแดงออกปฏิบัติการ) ในแบบฉบับที่หาไม่ได้เลยในเวอร์ชั่น live-action จำนวน 5 ภาคที่เคยทำออกมาโดยสตูดิโอของ Sony
คืออารมณ์ขันและมุขต่างๆที่แทรกมาในเรื่องนี้จึงถือว่าผ่าน อย่างสวยงาม แม้ว่าในบางมุมแล้วมุขอาจจะเหมือนถูกใส่มามากเกินไปก็ตาม
อย่างไรก็ดี แม้ความขำขัน ความเป็นตัวป่วนของ Holland จะช่วยสร้างสีสันให้กับ Peter Parker และ Spidey ในฉบับนี้ แต่เมื่อถึงเวลาในฉากที่ต้องดราม่า เคร่งเครียด หรือ จำเป็นต้องอยู่ในโหมดจริงจัง ตัว Holland เองก็กลั่นมันออกมาได้ดี คือ ฉากซีนที่ Parker ถูกกดดันจากตัวร้ายผ่านทางคำพูด สีหน้า แววตา และรอยยิ้มนั้น Holland ก็แสดงมันออกมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้า ทำตาแบบสะอึกกับความกลัว การพูดเริ่มพูดแบบตะกุกตะกุก แววตาของความกวนเกรียนเริ่มหายไป เมื่อตัวร้าย รู้ตัวว่า Peter Parker คือ Spider-Man ด้วยการเดาออกง่ายๆเมื่อเจอหน้ากันเพียงครั้งแรก และจากการพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค
ผมชอบนะ ภาคนี้ คือตัวร้าย The Vulture หรือ Adrian Toomes มันเป็นตัวร้ายที่ดูฉลาด มีไหวพริบ คืออย่างน้อยมันสามารถลบภาพความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครโง่ๆในหนัง Superheroes ที่ใส่หน้ากากลงได้บ้างอะ ฉากพวกนี้มันทำออกมาไม่เหมือนหนัง Superheroes ตัวอื่นๆ ที่ต่อให้เจอกันกี่ครั้งๆ หรือ ทำตัวน่าสงสัยอย่างไร ตัวละครนั้นๆก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า คนที่ตัวเองกำลังพูดด้วย คือ Ultraman, Masked Rider, หน้ากากเนียนด้า, หรือ Superman อะไรอย่างนี้อะครับ (อันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงนะครับ ผมเข้าใจสาเหตุที่ ว่าทำไมคนในจักรวาล DC มอง Clark Kent ไม่ออก เพราะทฤษฎีเรื่อง แว่น แต่แค่ยกตัวอย่างประกอบให้เห็นภาพเฉยๆ)
ในจุดนี้ Michael Keaton ทำให้ Adrian Toomes ดูมีความน่ากลัว และมีมิติในฐานะ familyman มากขึ้น ไม่ว่าจะการเล่นแสยะยิ้มใส่ Peter Parker และบทพูดที่แสดงออกถึงความหลากมิติในชีวิตที่สวมหมวกหลายใบของเขา
ส่วนป้า May (Marisa Tomei) นี่ผมรู้สึกขัดใจมากๆ ตรงที่ว่าเธอก็ยังคงติดอยู่ในกับดักเดิมๆของหนัง superheroes อยู่ดี คือ ทั้งๆที่เป็นคนใกล้ตัวที่สุด และแม้จะรู้สึกสงสัยถึงความแปลกๆไปของหลานชายตัวเอง แต่ก็ไม่เคยได้ล่วงรู้ หรือฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้เลย (จริงๆข้อนี้เป็นจุดที่มีร่วมกันเยอะที่สุดในบรรดาหนัง superheroes เลยนะ)
สำหรับ Ned (Jacob Batalon) ที่เป็นเพื่อนซี้สุดฮาของ Parker ก็ปล่อยมุขตลกออกมาได้ซื่อๆ แบบเด็กๆ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเจนจัดในการแก้สถานการณ์ และเหมาะกับ character ดี คือมันฉายภาพของแก๊งเด็ก nerd และบริบท ลักษณะการพูด การจา การเล่นมุขแบบเด็ก nerd ได้ดีอะ (อันนี้มันเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนะ แต่พอดูๆแล้วมันก็เออ เฮ้ยมันเก็บรายละเอียดดีว่ะ)
ในด้านของนางเอก(ของภาคนี้) Liz (แสดงโดย Laura Harrier) ผมว่าดูค่อนข้างเฉยๆนะ มันงั้นๆอะ ถ้าไม่นับสรีระ และแววตาอันดึงดูดเพศตรงข้ามคู่นั้นของ Harrier แล้ว ผมคิดว่าเธอแทบไม่มีอะไรเด่นเลยจริงๆนะ อินเนอร์มันไม่ค่อยแรงอะ มันดูเป็นตัวละครพวกประเภทเรียบๆเหมือนตัวละครธรรมดาๆเกินไปอะ ไม่ได้ไปถึงขั้นสาวสวย/ดาวประจำโรงเรียน เดินผ่านใครๆก็มองที่เกินเอื้อม แบบ Mary-Jane Watson ในภาคก่อนๆ (อาจจะเป็นเพราะบทที่เขียนกำกับไว้ไม่ให้มันเด่น หรือเปล่งรัศมีอะไรจนเกินขอบเขตไป)
แต่ในทางกลับกัน Michelle (แสดงโดย Zendaya) ซึ่งแต่งตัวปอนๆ ทรงผมพะรุงพะรัง หน้าตาดูๆหมอง และปรากฏตัวค่อนข้างบ่อย (แต่ไม่ใช่ฉากสำคัญๆ) กลับดูมีของมากกว่า มีอินเนอร์ อาจะมีเสน่ห์ปนบ้างแต่เล็กน้อย แต่มันก็ "ดูมีอะไร" มากกว่า Liz นะ (ตรงนี้อาจเถียงได้ว่าเพราะ Michelle ถูกวางให้มีบทในระยะยาว สำหรับ MCU อยู่แล้ว ในบท MJ) แถม Michelle (ซึ่งคาดว่าจะกลายเป็นนางเอกของภาคถัดๆไป) ยังเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งที่ไม่เคยตกอยู่ในอันตราย หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องร้องให้ Spider-Man วิ่งเข้ามาช่วยอีกต่างหาก (นับว่าฉีกแนวพอควร) (ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นความสำเร็จของผู้กำกับนะ และคนเขียนบทอยู่นะที่มันสามารถสร้าง setting อันนี้ขึ้นมาบน character ของทั้ง Liz และ Michelle จนเกิดภาพเปรียบที่เห็นชัดขนาดนี้ได้)
สำหรับ Tony Stark และ Happy Hogan ที่แม้ในตอนแรกจนถึงช่วงกลางๆเรื่องอาจจะดูเหมือนออกมาเพื่อเป็นมุขตัวขโมยซีนของ Parker แต่ในทางกลับกันมันกลับทำหน้าที่เป็นจิ๊กซอว์และบันไดในการให้คนดูเดินทางไปพบกับความสำเร็จของ Peter Parker
และในส่วนของ Flash Thompson ที่ภาคนี้ออกจะดูเปลี่ยนแนวสักหน่อย มันดูไม่ค่อยเด่นสะดุดตาซักเท่าไร คือถ้าสังเกตดีๆ สิ่งที่ Flash ทำ แทบจะไม่สร้าง damage หรือ แรงกระทบ อะไรกับตัว Peter Parker เลย ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียน การพูดจาประชดประชัน (ที่โดยปกติแล้วมักจะทำให้เกิดผลกระทบทางด้านจิตใจ) แต่ Peter Parker ก็ดูจะเฉยๆกับการกลั่นแกล้งของ Flash ไม่ค่อยได้แคร์ หรือเก็บไปคิดอะไรอะ (เหมือนก็แค่เจ็บใจเล็กๆน้อยๆ) อันนี้พูดในแง่ที่มันปรับเข้าสู่ยุคสมัย และมีความเป้นสมัยใหม่ ในฐานะลูกคนรวย แล้วนะ แต่มันก็ยังไม่ได้เด่น หรือ มีเวทีอะไรให้กับมันมากเท่าที่ควรอะ (บทมันน้อยซะจนไม่สัมพันธ์กับช่วงที่มันมี promote เกี่ยวกับ Flash Thompson ใน Spidey เวอร์ชั่นนี้เมื่อสัปดาห์ก่อนอะครับ
โดยภาพรวมผมว่า บทดีนะ บทพูดถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างคมคายไม่ว่าจะคำพูดที่แทรกการเมือง หรือคำพูดเชิงจิกกัดเกี่ยวกับแวดวงสังคมของ Superheroes ที่ทำงานร่วมกับรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา (military industrial complex) มันเข้าใจแทรกมากับบทพูดของตัวละครให้เห็นภาพดี คือมันไม่ได้มากเกินไป จนคนดูสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ "การเมือง" แต่ก็พอทำให้ "รู้สึกได้บ้าง" ดี มันทำออกมาค่อนข้างหลากรส หลากอารมณ์ดี มีทั้งบทตลก บทเคร่งเครียด กดดัน ฉากโรแมนติคอาจจะไม่ค่อยมีไปจนถึงระดับปริมาณน้อยไปเลย แต่ก็อยู่ในขั้นที่รับได้ เพราะจาก timeline ของตัวละครที่เพิ่งอายุเข้าสู่วัยรุ่น วัย teen ฉาก love scene ฉากดราม่าแบบโรแมนติค อะไรต่างๆถ้าเน้นใส่เข้ามา ก็อาจจะทำให้ดูเยอะหรือรกไป (ดังนั้น ทำน้อยๆ และปล่อยให้มีมุมน่ารักๆเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็ดูกลมกล่อมไปอีกแบบ)
นอกจากนี้ความสมเหตุสมผล และความสมจริงในหนังและบทยังมีให้เห็นอีกมากมายตลอดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรั่วแบบสมจริงของ Spidey ภาคนี้ ที่ยังเป็นเพียงเด็กมัธยมและยังไม่เชี่ยวชาญการเป็น Superhero มากนัก การออกไปช่วยเหลือชาวเมือง ในบทบาท "Friendly Neighborhood Spider-man" จึงค่อนข้างมีอุปสรรค ติดๆขัดๆเสมอ ไม่ว่าจะช่วยผิดคน การทำข้าวของพัง หรือ การไม่ประสบผลสำเร็จในการจับคนร้าย ฯลฯ แถมภาคนี้ Peter Parker ยังเป็น Spider-Man ที่ต้องการให้คนอื่นช่วยอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ไม่ว่าจะให้ Iron Man ให้ computer ให้ Ned ช่วย (ภาพของ Spider-Man ภาคนี้จึงค่อนข้างออกมาในแนวๆตลกรั่วๆซะมากกว่าเป็นฮีโร่แบบโชว์ฟอร์มเท่ๆ มาดเข้ม)
สำหรับภาพ ภาพดีมาก ไม่ว่าจะ CG และการออกแบบชุด คือ Hi-Tech ดูหรู ดูแพง เท่ (แต่บางมุมก็ดูเหมือนรับความเป็น Iron Man มามากไป ในเรื่องของชุดอะนะ) ดนตรีและเพลงประกอบหนังก็ดี ผมชอบที่สุดคือตอน end credit ที่มีเพลง Blitzkrieg Bop ของ Ramones (hey ho ! Let's Go !) คือมันให้อารมณ์ย้อนยุคดี
และท้ายสุดเรื่องของ Plot / Storyline ผมว่าในบางจุดมันเขียนให้ดูเป็นเส้นตรงและเดาเล่นกันง่ายเกินไป ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ของตัวละครภายในหนัง ไม่ว่าจะเรื่องของตอนจบ คือ plot มันค่อนข้างอ่อนไป ไม่ค่อยมีซิกแซก หรือความซับซ้อนเท่าไร แต่อย่างน้อยภายในความเถรตรง ความเป็นเส้นตรงของเนื้อเรื่องก็ยังซ่อนความดีงามอยู่บ้าง คือมันยังมีการตีความและสอดแทรกลูกไม้ ลูกเล่นอะไรใหม่ๆที่ไม่เหมือนภาคเก่าๆเข้าไปบ้าง โดยที่พยายามจะไม่ให้มันทิ้งร่องรอยของเวอร์ชั่นเก่าเอาไว้ ตรงนี้ผมว่ามันค่อนข้างดีนะ เป็นการเก็บรายละเอียดกับตัวหนังได้รอบคอบ คือ ไหนๆแทนที่จะใส่ฉาก climax และฉากแนวๆ epic แบบภาคเก่าเข้ามาแทรกแล้ว ก็นำเสนอไปในอีกรูปแบบหนึ่ง (เช่น ฉากเรือ หรือ ฉากลิฟต์) ที่มันแตกต่างออกไป อันนี้ชื่นชมในความครีเอทที่ยังทำให้ดูมีความแปลกออกไปจากภาคเก่าบ้าง
อย่างไรก็ตาม เรื่อง plot อาจจะไม่ได้ดูดีนัก แต่ theme ของหนังนับว่าทำออกมาได้น่าประทับใจอะครับ คือ theme หนังมันตั้งใจจะเสนอภาพวิวัฒนาการของเด็กน้อยจากที่พึ่งพาตัวเองแทบไม่ได้เลยถ้าไม่ได้เทคโนโลยีของ Tony Stark จนเติบโตและพึ่งพา แก้ปัญหาต่างๆด้วยตัวเองในตอนท้ายเรื่องเนี่ย สุดจะประทับใจ และมีความหมายสอนใจเอามากๆเลย นี่ก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ภาคนี้เขายังไม่ใส่ตัวร้ายที่ร้ายระดับโลก ร้ายอำมหิตเข้ามาให้เป็นคู่ต่อสู้ของ Spider-Man (The Vulture แม้ชุดและพลังจะดูอลังการยิ่งใหญ่ แต่จากบทสนทนาถ้าสังเกตดีๆแล้วก็จะพบว่า เขาเองก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรใหญ่ระดับโลก หรืออลังการอะไรนัก แค่ทำงานลักลอบค้าของผิดกฎหมายธรรมดาๆ ไม่ได้จะครองโลกแบบ Loki) เพราะ Parker ยังคงติดอยู่ในช่วงทดสอบ และพิสูจน์ตัวเองก่อนจะเข้า The Avengers อยู่ (ดูๆไปบางมุมก็ให้อารมณ์เหมือนดู Ant-Man นะ มาแนวๆเดียวกันเลย ไม่ได้ไปสู้วายร้ายอะไร แค่สู้กับตัวร้ายเล็กๆน้อยๆ)
ที่ผมชอบสุดๆก็คือการเล่าเรื่องของผู้กำกับ Jon Watts เนี่ยแหละครับ ภาคนี้ผู้กำกับได้เล่าเรื่องให้ฉีกไปจากภาคเก่าๆของ Sam Raimi คือมันไม่มีฉากแมงมุมกัด ไม่มีฉากลุง Ben ไม่มีการพูดหรือเล่าเท้าความถึงลุง Ben เลย เสมือนกับว่าในจักรวาลนี้มีกันแค่ป้า May กับหลานอยู่บ้านกัน 2 คน (ถ้าจำไม่ผิด เหมือนว่าในบ้านจะไม่มีรูปหรืออะไรที่สื่อไปถึงลุง Ben ด้วยนะ อันนี้ถ้าใครเห็นก็มาชี้แจงได้ครับ) และในชีวิตประจำวันของ Peter ก็ไม่ได้ "พังทลาย" หรือ กลายเป็น "loser" แบบจริงๆจังๆ เพราะการเป็น Spider-Man แบบของ Tobey Maguire หรือ Andrew Garfield อีกด้วย
Peter ในภาคนี้ยังคงมีที่ทาง มีตำแหน่งแห่งที่ที่แน่นอนในสังคมของตนเอง และในโรงเรียน (เป็นถึงระดับตัวแทนโรงเรียนไปแข่งตอบปัญหา) และไม่ใช่ Peter ในลักษณะที่สาวๆรังเกียจ / มองข้าม หรือเป็นพวก idiot อะ (อาจเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงเพิ่มเริ่มเป็น Spider-Man เลยยังไม่เจอโลกอันโหดร้ายของสังคมการทำงาน แบบหัวหน้านักข่าวในเวอร์ชั่น Sam Raimi) แถมภาคนี้ยังไม่มีการพูดถึง "พลังทั้งหมด" ของ Peter Parker ด้วย คนดูแทบไม่รู้เลยว่า Spidey เวอร์ชั่นนี้มีความสามารถอะไรติดตัวมาบ้างหลังจากกลายร่างเป็น Spider-Man ถ้าไม่นับพลังจากชุด Spider-Man ที่ได้มาจาก Tony Stark หนังแทบจะไม่บอกข้อมูลอะไรเลย เกี่ยวกับมิติด้าน Spider-Man ของ Peter Parker
ไม่เพียงแต่ Jon Watts จะรู้วิธีเล่าเรื่องให้มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เขายังรู้วิธีที่จะเล่าเรื่องให้เกิดการ contrast เปรียบเทียบใน 2 มิติระหว่าง Spidey ที่พึ่งพาแต่เทคโนโลยี/ชุดไฮเทค และ Spidey ที่พึ่งพา/แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้อย่างเห็นภาพอีกด้วย
ถ้าชอบก็ขอเรียนเชิญมากดไลค์ที่เพจนะครับ: https://www.facebook.com/critiquesofeverything/