คำวินิจฉัยของศาล รธน.เมื่อปี 53 เคยวางบรรทัดฐานชี้ขาดให้ ส.ส. 6 คนต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุถือหุ้นต้องห้าม ล่าสุด สมาชิก สนช. 90 คนกำลังถูกตรวจสอบตามข้อกล่าวหาที่เหมือนกัน
90 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ในฐานะปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. และส.ว. ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 กำลังถูกประเดิมการตรวจสอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 ในหมวด 9 ว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์
เพราะล่าสุดนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ขอให้ตรวจสอบความเป็นสมาชิกภาพ ของ สมาชิก สนช. จำนวน 90 รายว่ายังคงมีการถือหุ้นที่มีลักษณะเป็นการกระทำที่เข้าข่ายต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมขอให้ กกต.มีความเห็นส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป
สำหรับข้อกล่าวหาที่ สมาชิก สนช. 90 ราย ถูกร้อง คือ มีการแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ขณะเข้ารับตำแหน่ง สมาชิก สนช.ได้ถือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 263 วรรคสอง บัญญัติว่า สมาชิก สนช.จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่เป็นเหตุให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. และ ส.ว.
โดยจะเข้าตามบทบัญญัติ มาตรา 101 (7) ประกอบ มาตรา 184 (2) คือ ส.ส.และ ส.ว.ต้องไม่รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการเข้ารับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
หาก สมาชิก สนช.ยังคงถือหุ้นที่เข้าลักษณะต้องห้ามอยู่อาจมีผลทำให้ต้องพ้นจากความเป็น สมาชิก สนช.ได้
ขณะที่ กกต. มีมติตามที่สำนักกฎหมายเสนอให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่นายเรืองไกร ได้ร้องขอมา ซึ่งจะต้องดำเนินการสอบสวนสถานะของ สมาชิก สนช. ทั้ง 90 รายให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วัน
http://news.voicetv.co.th/thailand/505519.html
<<< คดี 90 สนช.ถือหุ้น เทียบบรรทัดฐาน ศาล รธน. ชี้ 6 ส.ส.ถือหุ้นพ้นเก้าอี้ >>>
90 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ในฐานะปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. และส.ว. ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 กำลังถูกประเดิมการตรวจสอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 ในหมวด 9 ว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์
เพราะล่าสุดนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ขอให้ตรวจสอบความเป็นสมาชิกภาพ ของ สมาชิก สนช. จำนวน 90 รายว่ายังคงมีการถือหุ้นที่มีลักษณะเป็นการกระทำที่เข้าข่ายต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมขอให้ กกต.มีความเห็นส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป
สำหรับข้อกล่าวหาที่ สมาชิก สนช. 90 ราย ถูกร้อง คือ มีการแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ขณะเข้ารับตำแหน่ง สมาชิก สนช.ได้ถือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 263 วรรคสอง บัญญัติว่า สมาชิก สนช.จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่เป็นเหตุให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. และ ส.ว.
โดยจะเข้าตามบทบัญญัติ มาตรา 101 (7) ประกอบ มาตรา 184 (2) คือ ส.ส.และ ส.ว.ต้องไม่รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการเข้ารับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
หาก สมาชิก สนช.ยังคงถือหุ้นที่เข้าลักษณะต้องห้ามอยู่อาจมีผลทำให้ต้องพ้นจากความเป็น สมาชิก สนช.ได้
ขณะที่ กกต. มีมติตามที่สำนักกฎหมายเสนอให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่นายเรืองไกร ได้ร้องขอมา ซึ่งจะต้องดำเนินการสอบสวนสถานะของ สมาชิก สนช. ทั้ง 90 รายให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วัน
http://news.voicetv.co.th/thailand/505519.html