ปล. (ปฐมลิขิตสุดหล่อ) : ที่ใช้คำว่า "ค.แดง" ไม่ใช่เพื่อเลี่ยงว่าไม่อยากใช้กับพวกตัวเองนะครับ แต่เพื่อป้องกันการโดนแบน
เมื่อศัพท์การเมืองคำว่า "
สลิ่ม" ปรากฎขึ้นไม่นานนัก
ก็มีการพยายามประดิษฐ์คำขึ้นมาตอบโต้ ซึ่งคำนั้นก็คือคำว่า "
ค.แดง"
แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม
แทนที่บรรดา "ค.แดง" ทั้งหลายจะเจ็บปวด ขุ่นเคือง กลับยิ้มรับด้วยความยินดี
มีการทำสติ๊กเกอร์ ทำไอคอน ค.แดงกันเกร่อ
ทั้งเอาไปโพสต์ตามที่ต่าง ๆ ทั้งทำเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
สลิ่มก็พยายามตอกย้ำ แต่ยิ่งตอกย้ำกลับยิ่งดูเหมือนไม่ได้ผล
จนคำประดิษฐ์ของสลิ่มคำนี้ค่อย ๆ หมดความหมายทางการเมืองไป
แถมสลิ่มที่อุตส่าห์ประดิดประดอยคำว่า "ค.แดง" ขึ้นมา
ถูกมาองว่า ต่ำ หยาบ ไร้รสนิยมไปซะเอง
แต่คำว่า "สลิ่ม" กลับอยู่ยงคบกระพัน เป็นศัพท์การเมืองที่สังคม "ยอมรับ"
ยกเว้น "สลิ่ม" เองที่ไม่ยอมรับ
พอโดนเรียกว่า "สลิ่ม" ทีไร ก็แสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวทุกที
แม้จะมีการพยายามปกปิด ซ่อน เก็บอาการ แต่ก็ชัดว่า คำ "สลิ่ม" เป็นเหมือนกลากเกลื้อนโดนซีมาราด แสบสะดุ้งทุกที
ทำไม ? เพราะอะไร ? ยังไง ?
ไม่ได้ซับซ้อนเลยครับ
ก็แค่ "เหตุและปัจจัย" ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง
ทางการปกครอง
แน่นอน ฝ่าย ค.แดง เลือกคำว่า "ประชาธิปไตย" ขณะที่ "สลิ่ม" ไม่รู้ว่าตัวเองเลือกอะไร แบบไหน
แค่นี้ ถ้าเป็นมวย ฝ่าย ค.แดง ก็ชนะสลิ่ม ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวทีครับ
ทางกฎหมาย
ฝ่าย ค.แดง ไม่ปฏิเสธหากกฎหมายนั้นถูกใช้อย่างเป็นธรรม ยุติธรรม เพราะเห็นว่ากฎหมายคือหลักของบ้านเมือง
ขณะที่สลิ่ม ต่อให้บิดกฎหมายยังไง อภินิหารแบบไหนก็ไม่ว่า สะใจเป็นพอ ถึงขนาดประกาศว่า ปราบโจรก็ต้องใช้วิธีโจร
โดยไม่คิดสักนิดว่า นั่นคือการทำลายหลักนิติรัฐของบ้านเมือง
ทางการเมือง
ค.แดง ขอเพียงการเล่นตามระบบ เดินตามระบอบ แพ้ชนะว่ากันตามกติกาสากล ง่าย ๆ
แต่สลิ่ม กลับเชียร์การเล่นนอกระบบ เอาความถูกใจเข้าว่า พอชนะก็ว่าระบบดี แต่พอแพ้ก็ว่าระบบเลว ทั้งที่ระบบเดียวกันนั่นแหละ
สามเหตุปัจจัยที่ยกตัวอย่างมา
จะเห็นนะครับ ฝ่าย ค.แดง หรือ สลิ่ม มีเหตุผลกว่ากัน
และเมื่อประกอบกับเรื่องเหตุผล ความคิด ความรู้ทางสังคมและการเมืองเข้ามาด้วยแล้ว
ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า "สลิ่ม" นั้น ไม่มีเรื่องเหล่านี้ใน "บุคลิก" ของสลิ่มเลย
อวดโอ่ว่ารู้กว่า ฉลาดกว่า การศึกษาสูงกว่า รวยกว่า มีระดับกว่า
แต่การแสดงออก กลับตรงกันข้าแบบหน้ามือเป็นหลังบาทา
ฝ่ายที่โดนเรียกว่า ค. ต่างหาก กลับมีเหตุผลมากกว่า มีมุมมอง มีหลักคิด มีความรู้ด้านสังคมและการเมืองมากกว่า
(สังเกตสิครับ ในราชดำเนินแห่งนี้ เวลาเอ่ยถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย
จะมี ค.แดงออกมาแสดงความเห็นร่วมด้วยเยอะ หลาย ค.แดงก็บอกว่าร่วมอยู่ในเหตุการณ์
ขณะที่ฝ่ายสลิ่ม เหมือนเด็กเพิ่งเกิดและรู้จักการเมืองเมื่อสามปีห้าปีมานี่เอง
เรื่องเคยร่วมกับพันธมิตร สลิ่มก็ลืมแล้ว เพราะแป๊ะลิ้มติดคุก ไม่อยากจำให้เจ็บอก)
การสนับสนุนวิธีการนอกระบบ ความไร้เหตุผล
แค่สองเรื่องนี้ ก็ทำให้สลิ่มขาดความชอบธรรม ไม่มีทัศนคติและอุดมคติอันถูกต้องทางสังคมและการเมืองแล้ว
คำว่า "
สลิ่ม"
จึงเป็นศัพท์การเมืองที่สื่อ ที่มีความหมาย มีนัยยะถึงความดักดาน นอกระบบ ขาดสติปัญญา ไร้เหตุผล
นี่ไม่รวมเรื่องดัดจริต กระแดะ ด้าน มึน แถ มั่ว
คำว่า "
สลิ่ม" จึงเป็นคำที่เจ็บปวดรวดร้าวทางสังคมและการเมือง
ก็แค่มีเหตุผล เลิกใช้ความถูกใจเป็นหลัก ใช้สติปัญญาในเรื่องต่าง ๆ
ไม่ใช่เอาแต่แบบว่า ยังไงก็ได้ อะไรก็ได้ แบบไหนก็ได้ ขอให้ถูกใจ สะใจเป็นพอ สลิ่มเห็นด้วยหมด
ก็ "ปลด" คำว่า "สลิ่ม" ออกจากตัวไม่ได้
เมื่อคุณเป็น "
สลิ่ม" แต่ไม่ยอมรับความเป็นสลิ่มด้วยการแค่ปฏิเสธคำ ๆ นี้ ง่าย ๆ ว่า
อย่ามาเรียก อย่ามากล่าวหา เป็นคำใส่ร้าย เป็นคำยัดเยียด
โดยไม่ยอมปรับเปลี่ยนบุคลิกทางสังคมและการเมือง
ยังเอาแต่ความถูกใจ สะใจ เถียง มั่ว แถ ไร้เหตุผล ใช้อคติเป็นเครื่องวัด
คุณก็คือ "
สลิ่ม" ล้านเปอร์เซนต์ครับ
อย่าไปโทษคนอื่นเลย
ทำไมคำว่า "สลิ่ม" จึงมีพลานุภาพความเจ็บปวดรวดร้าวเหนือกว่าคำว่า "ค.แดง" ทำไม ? เพราะอะไร ? ยังไง ?
เมื่อศัพท์การเมืองคำว่า "สลิ่ม" ปรากฎขึ้นไม่นานนัก
ก็มีการพยายามประดิษฐ์คำขึ้นมาตอบโต้ ซึ่งคำนั้นก็คือคำว่า "ค.แดง"
แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม
แทนที่บรรดา "ค.แดง" ทั้งหลายจะเจ็บปวด ขุ่นเคือง กลับยิ้มรับด้วยความยินดี
มีการทำสติ๊กเกอร์ ทำไอคอน ค.แดงกันเกร่อ
ทั้งเอาไปโพสต์ตามที่ต่าง ๆ ทั้งทำเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
สลิ่มก็พยายามตอกย้ำ แต่ยิ่งตอกย้ำกลับยิ่งดูเหมือนไม่ได้ผล
จนคำประดิษฐ์ของสลิ่มคำนี้ค่อย ๆ หมดความหมายทางการเมืองไป
แถมสลิ่มที่อุตส่าห์ประดิดประดอยคำว่า "ค.แดง" ขึ้นมา
ถูกมาองว่า ต่ำ หยาบ ไร้รสนิยมไปซะเอง
แต่คำว่า "สลิ่ม" กลับอยู่ยงคบกระพัน เป็นศัพท์การเมืองที่สังคม "ยอมรับ"
ยกเว้น "สลิ่ม" เองที่ไม่ยอมรับ
พอโดนเรียกว่า "สลิ่ม" ทีไร ก็แสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวทุกที
แม้จะมีการพยายามปกปิด ซ่อน เก็บอาการ แต่ก็ชัดว่า คำ "สลิ่ม" เป็นเหมือนกลากเกลื้อนโดนซีมาราด แสบสะดุ้งทุกที
ทำไม ? เพราะอะไร ? ยังไง ?
ไม่ได้ซับซ้อนเลยครับ
ก็แค่ "เหตุและปัจจัย" ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง
ทางการปกครอง
แน่นอน ฝ่าย ค.แดง เลือกคำว่า "ประชาธิปไตย" ขณะที่ "สลิ่ม" ไม่รู้ว่าตัวเองเลือกอะไร แบบไหน
แค่นี้ ถ้าเป็นมวย ฝ่าย ค.แดง ก็ชนะสลิ่ม ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวทีครับ
ทางกฎหมาย
ฝ่าย ค.แดง ไม่ปฏิเสธหากกฎหมายนั้นถูกใช้อย่างเป็นธรรม ยุติธรรม เพราะเห็นว่ากฎหมายคือหลักของบ้านเมือง
ขณะที่สลิ่ม ต่อให้บิดกฎหมายยังไง อภินิหารแบบไหนก็ไม่ว่า สะใจเป็นพอ ถึงขนาดประกาศว่า ปราบโจรก็ต้องใช้วิธีโจร
โดยไม่คิดสักนิดว่า นั่นคือการทำลายหลักนิติรัฐของบ้านเมือง
ทางการเมือง
ค.แดง ขอเพียงการเล่นตามระบบ เดินตามระบอบ แพ้ชนะว่ากันตามกติกาสากล ง่าย ๆ
แต่สลิ่ม กลับเชียร์การเล่นนอกระบบ เอาความถูกใจเข้าว่า พอชนะก็ว่าระบบดี แต่พอแพ้ก็ว่าระบบเลว ทั้งที่ระบบเดียวกันนั่นแหละ
สามเหตุปัจจัยที่ยกตัวอย่างมา
จะเห็นนะครับ ฝ่าย ค.แดง หรือ สลิ่ม มีเหตุผลกว่ากัน
และเมื่อประกอบกับเรื่องเหตุผล ความคิด ความรู้ทางสังคมและการเมืองเข้ามาด้วยแล้ว
ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า "สลิ่ม" นั้น ไม่มีเรื่องเหล่านี้ใน "บุคลิก" ของสลิ่มเลย
อวดโอ่ว่ารู้กว่า ฉลาดกว่า การศึกษาสูงกว่า รวยกว่า มีระดับกว่า
แต่การแสดงออก กลับตรงกันข้าแบบหน้ามือเป็นหลังบาทา
ฝ่ายที่โดนเรียกว่า ค. ต่างหาก กลับมีเหตุผลมากกว่า มีมุมมอง มีหลักคิด มีความรู้ด้านสังคมและการเมืองมากกว่า
(สังเกตสิครับ ในราชดำเนินแห่งนี้ เวลาเอ่ยถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย
จะมี ค.แดงออกมาแสดงความเห็นร่วมด้วยเยอะ หลาย ค.แดงก็บอกว่าร่วมอยู่ในเหตุการณ์
ขณะที่ฝ่ายสลิ่ม เหมือนเด็กเพิ่งเกิดและรู้จักการเมืองเมื่อสามปีห้าปีมานี่เอง
เรื่องเคยร่วมกับพันธมิตร สลิ่มก็ลืมแล้ว เพราะแป๊ะลิ้มติดคุก ไม่อยากจำให้เจ็บอก)
การสนับสนุนวิธีการนอกระบบ ความไร้เหตุผล
แค่สองเรื่องนี้ ก็ทำให้สลิ่มขาดความชอบธรรม ไม่มีทัศนคติและอุดมคติอันถูกต้องทางสังคมและการเมืองแล้ว
คำว่า "สลิ่ม"
จึงเป็นศัพท์การเมืองที่สื่อ ที่มีความหมาย มีนัยยะถึงความดักดาน นอกระบบ ขาดสติปัญญา ไร้เหตุผล
นี่ไม่รวมเรื่องดัดจริต กระแดะ ด้าน มึน แถ มั่ว
คำว่า "สลิ่ม" จึงเป็นคำที่เจ็บปวดรวดร้าวทางสังคมและการเมือง
ก็แค่มีเหตุผล เลิกใช้ความถูกใจเป็นหลัก ใช้สติปัญญาในเรื่องต่าง ๆ
ไม่ใช่เอาแต่แบบว่า ยังไงก็ได้ อะไรก็ได้ แบบไหนก็ได้ ขอให้ถูกใจ สะใจเป็นพอ สลิ่มเห็นด้วยหมด
ก็ "ปลด" คำว่า "สลิ่ม" ออกจากตัวไม่ได้
เมื่อคุณเป็น "สลิ่ม" แต่ไม่ยอมรับความเป็นสลิ่มด้วยการแค่ปฏิเสธคำ ๆ นี้ ง่าย ๆ ว่า
อย่ามาเรียก อย่ามากล่าวหา เป็นคำใส่ร้าย เป็นคำยัดเยียด
โดยไม่ยอมปรับเปลี่ยนบุคลิกทางสังคมและการเมือง
ยังเอาแต่ความถูกใจ สะใจ เถียง มั่ว แถ ไร้เหตุผล ใช้อคติเป็นเครื่องวัด
คุณก็คือ "สลิ่ม" ล้านเปอร์เซนต์ครับ
อย่าไปโทษคนอื่นเลย