อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 9
โดย...ล. วิลิศมาหรา
9.
“มาแล้ว มาแล้วเจ้าข้า”
“กระไร ผู้ใดมาหรือพี่รื่น”
พระเพื่อนตรัสถามพี่เลี้ยงรื่นที่วิ่งทำหน้าตาตื่นเข้ามาหา ขณะนี้เจ้าหญิงแฝดทรงพักผ่อนพระอิริยาบถอยู่กับพี่เลี้ยงโรยและนางกำนัลคนใหม่ ผู้หลังฟื้นจากเป็นลมก็เกิดมีอิทธิฤทธิ์ราวผู้วิเศษ แถมบอกว่าตัวเองเป็นคนมาจากอนาคตอีกพันปีข้างหน้า นางกำนัลตัวดีจึงถูกพระธิดาฝาแฝดทูลขอจากเจ้าย่าให้มารับใช้ใกล้ชิดอีกคน ส่วนสีมอยหนึ่งในสี่นางกำนัลที่สวยเกินหน้าเกินตากว่าใครเพื่อนนั้น โดนพิษความสวยของตัวเองทำให้ต้องระเห็จออกจากวัง ไปรับใช้น้องสาวของเจ้าย่าอยู่ข้างนอกประตูวังโน่น ส่วนเรื่องที่นางเกี๋ยงทะลุมิติได้นั้นถูกปกปิดไว้เป็นความลับขั้นสุดยอดของตำหนักเพื่อนแพง
คนทั้งหมดกำลังเฝ้ารอฟังข่าวการเสด็จมาถึงเมืองนี้ของพระลอ อยู่ที่เรือนรับรองในอุทยานหลวงของเจ้าย่าอย่างใจจดใจจ่อ เรือนรับรองหลังนี้สร้างด้วยไม้สัก ลักษณะเดียวกันกับเรือนในตำหนักของเจ้านายทั้งหลาย ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางอุทยานใหญ่ ห่างจากกลุ่มตำหนักของบรรดาเจ้านายอยู่พอสมควร แวดล้อมด้วยดงดอกไม้หลากหลายสีสัน หน้าเรือนยังมีสระบัวออกดอกหลากสีอยู่หลายกอ น้ำในสระใสแจ๋วน่าลงเล่น
รื่นกับโรยเล่าให้ช่อชบาฟังว่า พระลอทรงเป็นกษัตริย์หนุ่มรูปงามอย่างที่สุดของยุคนี้ ความหล่อเหลาของพระองค์ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ต้องให้ได้เห็นพระองค์จริงเท่านั้นถึงจะเข้าใจ พระลอกำลังจะเสด็จมาหาพระธิดาแฝดถึงในเมืองสรองตามอำนาจมนตราของปู่เจ้าสมิงพรายผู้เรืองฤทธิ์ รื่นกับโรยเล่าอีกว่า พระธิดาแฝดลงทุนเสด็จไปขอปู่เจ้า ให้ช่วยดลพระทัยกษัตริย์หนุ่มถึงยังที่พักในป่านอกกำแพงเมืองเลยทีเดียว
“พระลอราชรูปอินทร์หยาดฟ้าน่ะสิเจ้าข้า...” นางรื่นซึ่งวิ่งเข้ามาซบลงแทบบาทของสองสาวละล่ำละลักทูล
“บัดนี้พระองค์ท่านเสด็จมาถึงริมแม่น้ำกาหลงแล้ว แต่ทรงหยุดยั้งอยู่เพียงที่นั้น และได้ข่าวว่าทรงใคร่หวนกลับคืนเมืองสรวง เพราะเกิดไปตั้งจิตอธิษฐานว่า หากมาแล้วจะมีเคราะห์ร้ายก็ขอให้เห็นสายน้ำเป็นสีเลือด แล้วสีของน้ำก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนเลือดขึ้นมาจริงๆ ”
“อ้าว จะพากันกลับไปเสียแล้วฤา” แว่วเสียงครางอย่างพระทัยหายของพระแพงดังขึ้น รื่นเห็นสีพระพักตร์เจ้านายหมองลงก็รีบทูลอีก
“ไม่ต้องตกพระทัยไปเจ้าข้า เพราะแม่หมออุษาศิษย์ของปู่เจ้าบอกกับข้ามาว่า ปู่เจ้าสมิงพรายจะช่วยร่ายเวทย์เป็นไก่แก้วที่งามนัก...งามจนพระลอต้องติดตามไก่มาถึงสวนขวัญแห่งนี้จนได้เจ้าข้า”
ช่อชบาได้ยินนางรื่นทูลก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว อา...นี่คงใกล้ถึงบทอวสานของคนทั้งหมดตรงหน้าเธอแล้วสินะ ปู่เจ้าสมิงพรายนั้นเธอยังไม่เคยเห็นหน้า แต่พระลอเสด็จมาเพราะอิทธิฤทธิ์ของปู่เจ้าปรากฏอยู่ในตำนานที่เคยอ่าน
สองจิตสองใจว่าควรเตือนพวกเขาดีหรือไม่ ถ้าเธอลองห้ามไม่ให้พระธิดาทั้งสองพบกันกับพระลอดู บางทีพระองค์อาจยอมเชื่อก็ได้ และถ้าหากสามหนุ่มสาวไม่ได้พบกันเสียอย่าง โศกนาฏกรรมก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ว่า....ถ้าเรื่องทั้งหมดไม่เกิดขึ้นตามนั้น ก็แสดงว่าเธอไปทำให้อดีตถูกบิดเบือนไปจากที่เคยเป็น ซึ่งอดีตที่ถูกบิดเบือนอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตที่จะเกิดขึ้นตามมาเป็นลูกโซ่ เหมือนกับในหนัง butterfly effect ที่เคยดูก็ได้ เพราะถ้าพระลอไม่สิ้นพระชนม์ลง บางทีพระองค์อาจจะให้กำเนิดลูกหลานสืบต่อมาอีกหลายพระองค์ แล้วบางพระองค์ก็อาจเก่งกล้าสามารถ จนกระทั่งทำให้ไม่เกิดมีพ่อขุนเม็งรายขึ้นมาในโลกนี้ และถ้าไม่มีพ่อขุนเม็งราย ก็อาจไม่มีเวียงเชียงใหม่ และถ้าไม่มีเชียงใหม่ล่ะ
...อั้ยยะ ก็จะไม่มีตูน่ะซี...
“ฝนตกหนักแถวต้นน้ำหรือเปล่า น้ำมันเลยเป็นสีดินลูกรังแดงๆ น่ะ” พอนึกถึงผลกระทบจากการที่ตัวเองจะเข้ามาบิดเบือนความเป็นจริงเข้า ช่อชบาก็ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง เธอจึงท้วงขึ้น คนอื่นๆ หันมามองหน้าคนพูดอย่างสนเท่ห์
“เคยสังเกตกันบ้างไหม แม่น้ำเป็นสีแบบนี้ในฤดูฝนเสมอ พอฝนตกหนักน้ำก็จะหลากพัดเอาโคลนเอาดินมาด้วย สีน้ำเลยเปลี่ยนไปตามสีดินโคลนที่มันชะมา ตอนนี้เป็นหน้าฝนนี่นา ฉันเห็นฝนตกทุกวัน”
เพราะไหนๆ เรื่องมันก็ต้องดำเนินไปแบบนั้นอยู่แล้ว เทวดาฟ้าดินท่านคงแค่อยากให้เธอมาเห็นเหตุการณ์เท่านั้นเอง แต่คงไม่ยินยอมให้เธอทะลึ่งไปแก้ไขอดีตเป็นแน่ ดังนั้นก็ควรสนับสนุนให้มันเกิดขึ้นเสียโดยเร็ว จะได้จบเรื่องกันไปเสียเลย บางทีหากเหตุการณ์สุกงอมเต็มที่จนถึงบทสุดท้ายของตำนาน เธออาจจะได้กลับไปสู่โลกปัจจุบันของตัวเองก็ได้
“นางเกี๋ยงพูดมีเหตุผล” พระแพงเอ่ยชม สายพระเนตรบอกถึงความทึ่งในตัวนางกำนัลทะลุมิติ
“อีกอย่าง ฉันว่ากว่าพระเพื่อนพระแพงจะได้พบกับพระลอมันจะช้าไปนา เดี๋ยวเจ้าย่าก็รู้เข้าหรอก รู้สึกว่าท่านจะไม่ค่อยชอบพระลอนี่ คิดดูสิ กว่าปู่เจ้าจะแปลงร่างเป็นไก่ไปล่อ ไหนพระลอจะต้องตามหาไก่อีก มัวแต่ตามไก่เกิดพระองค์หลงไปจ๊ะเอ๋ถูกทหารเมืองสรองจับไปให้เจ้าย่าล่ะ พระธิดาอาจต้องไปพบกับพระลอในคุกนะเจ้าข้า”
คำพูดของหญิงข้ามมิติซึ่งนั่งหมอบคาขั้นบันไดอยู่คงไปขัดหูพี่เลี้ยงโรยเข้า เธอเลยถูกโรยปราดมาตบกระบาลเอาฉาดใหญ่ ช่อชบาร้องโอ้ย..คลำศรีษะตัวเองป้อยๆ
“มาตบกะโหลกฉันทำไม ถ้าสมองฉันถูกกระทบกระเทือนเดี๋ยวได้ลืมแผนช่วยพระธิดาที่คิดเอาไว้กันพอดี” เธอพ้อเสียงอ่อย
“ก็เอ็งมันพูดจาสามหาวถึงเจ้าย่า ท่าทางแข็งกระด้างน่าชังนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงระวังเหาจะขึ้นกินหัว เจ้าย่าทรงมีเมตตาไม่กระทำกับคนที่พระธิดารักเยี่ยงที่เอ็งว่ามาแน่” รื่นสมทบด่านางหญิงผู้มาจากอนาคตเป็นการใหญ่
“ฉันพูดเรื่องจริง หรือพี่จะเถียงว่าเจ้าย่าท่านไม่โปรดเชื้อสายของท้าวแมนสรวง ถ้าท่านรู้ว่าพระลอเสด็จมาต้องหาทางกีดกันไม่ให้ได้พบกับพระธิดาเพื่อนแพงแน่ ฉันเอาหัวเป็นประกันเลย แต่ถ้าเอารูปพระเพื่อนพระแพงในโทรศัพท์ของฉันให้พระลอดู รับรองว่าพระองค์ต้องแปลกพระทัยอยากมาหาทันที ไม่ต้องรบกวนพ่อปู่ให้แปลงเป็นไก่ไปล่อหรอก”
“พูดไม่ระวังปากอีกแล้ว เดี๋ยวเหอะ เอ็งจะโดนพ่อปู่เสกหนังควายเข้าท้อง หรือไม่ก็ให้ผีป่ามาหักคอตาย”
“อ้าว พี่ก็อย่าไปบอกท่านสิ...นี่พี่ทั้งสอง ฉันพูดจริงนะ ดูที่ฉันถ่ายรูปท้าวเธอทั้งคู่นี่ปะไร ฝีมือเซ็ตผมแต่งหน้า จัดท่าโพสถ่ายรูปของฉันยังไม่ตก พระธิดาสวยขึ้นอีกพะเรอ” อดีตพริตตี้สาวชูรูปที่เพิ่งถ่ายพระเพื่อนพระแพงในโทรศัพท์ให้สองพี่เลี้ยงดู
“ต๊าย ไปถ่ายกันตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าข้า โอ..ใช่ๆ สวยมากจริงๆ พระพี่น้องทั้งสองของข้าเจ้าเกล้ามวยผมแบบนี้ มีเส้นผมย้อยลงมาเคลียปราง เครื่องทรงอวดเนินพระถันเป็นพุ่มเป็นพวง พระเพื่อนอิงพระแพงแล้วชายเนตรมา งาม...งามนักเชียวแม่”
สองพระธิดาถูกเอ่ยชมก็พากันสรวลเอียงอาย พระเพื่อนอุบอิบบอก
“เกี๋ยงมันจัดท่าทางให้เราสองคนดอก มิได้คิดอ่านทำเอง เราดูแล้วก็ว่าสวยดีเหมือนกัน”
“พี่สองคนขี่ม้าเอารูปในโทรศัพท์ไปถวายให้พระลอทอดพระเนตร ที่ไหนพระองค์จะไม่รีบมา จริงไหมล่ะ” รื่นกับโรยตาลุกวาว นึกเห็นดีเห็นงามไปด้วย โรยหันไปทูลถามสองพระธิดาที่ประทับฟังอยู่อย่างสนพระทัย
“โอ้ ฟังดูเข้าที ทำตามที่นางเกี๋ยงมันบอกดีหรือไม่เจ้าข้า ทูนหัวของบ่าว”
“แต่ละเรื่องที่นางเกี๋ยงเล่าสู่ช่างน่าประหลาดใจข้านัก แต่ประเดี๋ยวก่อนเถิดพี่ทั้งสอง” พระเพื่อนทรงท้วง พระพี่นางของพระแพงมีกิริยาอ่อนโยน เวลาตรัสก็อ่อนหวานน่าเอ็นดู ผิดกับพระแพงที่ดูแก่นแก้วแสนซน
“พี่รื่นพี่โรยจ๊ะ แต่น้องยังกริ่งเกรงว่า...ว่ามันจะไม่งามนาพี่” ดวงเนตรของพระเพื่อนฉายแววเป็นกังวล
“เราเป็นหญิง การชักชายที่เราหลงรักอยู่ข้างเดียวให้มาสู่เรือนตนนั้นน่าอับอายนัก”
“จนป่านนี้แล้วหนาพี่นาง” พระแพงทรงค้านเสียงดัง
“สองเราเฝ้ารอคอย ทำทุกวิถีทางให้พระลอเสด็จมาหา และอีกแค่ลัดมือเดียวก็จะถึงเมืองเราอยู่แล้ว ใยพี่จึงคิดรามือ”
“เจ้าอย่าได้ลืมว่าเจ้าย่าท่านทรงแค้นเคืองท้าวแมนสรวงจริงอย่างนางเกี๋ยงว่า การนี้หากรู้ถึงพระเนตรพระกรรณเข้าคงกริ้วหนัก พี่ว่าเรา...เราควรสงบใจไว้ก่อนดีหรือไม่น้องพี่ เผือว่าเป็นคู่กรรมคู่เวรก็คงได้สมกันเอง หากมิใช่ก็ย่อมพลัดพรากกันไป”
“มิได้ น้องใจจะขาดหากสวามีมิใช่พระลอ พี่นางก็รู้ เคยสัญญากับน้องไว้ไฉนจึงกลายคำ ท่านเคยบอกว่าเราไปไหนต้องไปด้วยกันไงเล่าเจ้าข้า” ทรงตรัสอย่างดื้อดึง พระเพื่อนฟังแล้วคงหนักพระทัยจึงมีสีพระพักตร์อึดอัด
“เฮ้อ...ไม่งามเลย เราน่าจะรอให้พระลอท่านแต่งทูตมาสู่ขอ แม้มิได้เป็นมเหสีเอกแต่ก็ไม่เสียหน้า”
ช่อชบาซึ่งนั่งฟังอยู่นึกสะท้อนใจ รักคนมีเจ้าของนี่มันมีทุกยุคทุกสมัยเลยเชียว และทำให้ปวดใจได้เหมือนๆ กัน จิตกระหวัดไปถึงเรื่องรักใคร่ของเพื่อนพริตตี้ที่ชื่อลลนา พิษรักทำอันตรายทุกคน ไม่เว้นผู้ดีหรือไพร่
“เพื่อนฉันเองก็รักคนมีเจ้าของ” เผลอพึมพำขึ้นเบาๆ สีหน้าเศร้าลง ที่เธอผลัดหลงเข้ามาติดอยู่ในมิตินี้ ก็เพราะพิษรักแรงหึงของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ตามมาราวีผู้หญิงอีกคน จนเธอต้องพลอยมารับเคราะห์กรรม
“พูดกระไรของเจ้า” นางโรยได้ยินเข้าจึงถามขึ้น ช่อชบากดโทรศัพท์ให้พวกหล่อนดูรูปผู้ชายหน้าตาดีในชุดสูทสุดเท่คนหนึ่ง ซึ่งเขาก็คือคนที่เป็นกิ๊กกับลลนา
“ผู้ชายในโทรศัพท์ชื่อเขมชาติ เขามีเมียแล้วแต่แอบรักกันกับเพื่อนฉัน เขาสองคนเลิกรักกันไม่ได้แม้ว่าจะถูกเมียผู้ชายคอยตามหึงหวง ความรักที่ไม่อาจรักแบบนี้มีแต่ทรมานใจ”
“บ้านเมืองที่เจ้าจากมา ผู้ชายมีเมียหลายคนไม่ได้ฤา” รื่นซักไซ้
“ไม่ได้หรอก กฎหมายบ้านเมืองข้า ที่เป็นเมียแต่งเขาให้มีได้แค่คนเดียว ผู้หญิงคนอื่นเขาเรียกว่า...กิ๊ก สังคมไม่ยอมรับ”
“ประหลาดนัก บ้านเมืองเราขุนท้าวท่านแม้มีมเหสีเอกแล้วก็ยังมีชายารองได้อีกหลายคน” นางโรยอุทานอย่างประหลาดใจ
“บ้านเมืองไหนก็มีคนแอบหลงรักกัน พี่นางเห็นหรือไม่ เรายอมเป็นเมียรองลักษณวดี ก็คือเป็นพระชายาที่มิได้เป็นมเหสีซึ่งย่อมไม่มีผู้ใดมาติติงเอาได้ อุปสรรคแท้จริงคือสองราชวงศ์ที่มีความแค้นต่อกัน มิใช่ด้วยประเพณี เรื่องนี้เราจะทำเยี่ยงไรดี” พระแพงเอ่ยอย่างดึงดันจะเอาตามพระทัยให้ได้ พระเพื่อนเห็นว่าคงห้ามน้องไม่ฟังแน่ เลยทรงนิ่งเสีย
“เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ของพวกพี่เองเถิดเจ้าข้า พี่รื่นพี่โรยจะช่วยกันคิดอ่านกับนางเกี๋ยงเอง”
นางรื่นทูลพลางมองมายังช่อชบา...ตกที่นั่งต้องพลอยลำบากทำให้คนเขารักกันเสียแล้ว ช่อชบาเกาหัวแกรก แต่เอาเถอะ...เท่าที่เคยรู้มาจากอ่านในหนังสือ จำได้ว่าพระลอกับพระเพื่อนพระแพงทรงสมรักกัน พี่เลี้ยงรื่นโรยก็รักกันกับนายแก้วนายขวัญ บ่าวชายของพระลออีกด้วย
คงไม่ต้องลงมือทำอะไรมากนัก เพราะชะตากรรมได้กำหนดเอาไว้แล้ว ขอเพียงไม่ไปเปลี่ยนแปลงอดีตที่อาจส่งผลต่ออนาคต แค่ช่วยให้พวกเขาทั้งหมดได้พบกันเร็วขึ้นเท่านั้นเอง...
จบตอน.
อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 9
โดย...ล. วิลิศมาหรา
9.
“มาแล้ว มาแล้วเจ้าข้า”
“กระไร ผู้ใดมาหรือพี่รื่น”
พระเพื่อนตรัสถามพี่เลี้ยงรื่นที่วิ่งทำหน้าตาตื่นเข้ามาหา ขณะนี้เจ้าหญิงแฝดทรงพักผ่อนพระอิริยาบถอยู่กับพี่เลี้ยงโรยและนางกำนัลคนใหม่ ผู้หลังฟื้นจากเป็นลมก็เกิดมีอิทธิฤทธิ์ราวผู้วิเศษ แถมบอกว่าตัวเองเป็นคนมาจากอนาคตอีกพันปีข้างหน้า นางกำนัลตัวดีจึงถูกพระธิดาฝาแฝดทูลขอจากเจ้าย่าให้มารับใช้ใกล้ชิดอีกคน ส่วนสีมอยหนึ่งในสี่นางกำนัลที่สวยเกินหน้าเกินตากว่าใครเพื่อนนั้น โดนพิษความสวยของตัวเองทำให้ต้องระเห็จออกจากวัง ไปรับใช้น้องสาวของเจ้าย่าอยู่ข้างนอกประตูวังโน่น ส่วนเรื่องที่นางเกี๋ยงทะลุมิติได้นั้นถูกปกปิดไว้เป็นความลับขั้นสุดยอดของตำหนักเพื่อนแพง
คนทั้งหมดกำลังเฝ้ารอฟังข่าวการเสด็จมาถึงเมืองนี้ของพระลอ อยู่ที่เรือนรับรองในอุทยานหลวงของเจ้าย่าอย่างใจจดใจจ่อ เรือนรับรองหลังนี้สร้างด้วยไม้สัก ลักษณะเดียวกันกับเรือนในตำหนักของเจ้านายทั้งหลาย ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางอุทยานใหญ่ ห่างจากกลุ่มตำหนักของบรรดาเจ้านายอยู่พอสมควร แวดล้อมด้วยดงดอกไม้หลากหลายสีสัน หน้าเรือนยังมีสระบัวออกดอกหลากสีอยู่หลายกอ น้ำในสระใสแจ๋วน่าลงเล่น
รื่นกับโรยเล่าให้ช่อชบาฟังว่า พระลอทรงเป็นกษัตริย์หนุ่มรูปงามอย่างที่สุดของยุคนี้ ความหล่อเหลาของพระองค์ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ต้องให้ได้เห็นพระองค์จริงเท่านั้นถึงจะเข้าใจ พระลอกำลังจะเสด็จมาหาพระธิดาแฝดถึงในเมืองสรองตามอำนาจมนตราของปู่เจ้าสมิงพรายผู้เรืองฤทธิ์ รื่นกับโรยเล่าอีกว่า พระธิดาแฝดลงทุนเสด็จไปขอปู่เจ้า ให้ช่วยดลพระทัยกษัตริย์หนุ่มถึงยังที่พักในป่านอกกำแพงเมืองเลยทีเดียว
“พระลอราชรูปอินทร์หยาดฟ้าน่ะสิเจ้าข้า...” นางรื่นซึ่งวิ่งเข้ามาซบลงแทบบาทของสองสาวละล่ำละลักทูล
“บัดนี้พระองค์ท่านเสด็จมาถึงริมแม่น้ำกาหลงแล้ว แต่ทรงหยุดยั้งอยู่เพียงที่นั้น และได้ข่าวว่าทรงใคร่หวนกลับคืนเมืองสรวง เพราะเกิดไปตั้งจิตอธิษฐานว่า หากมาแล้วจะมีเคราะห์ร้ายก็ขอให้เห็นสายน้ำเป็นสีเลือด แล้วสีของน้ำก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนเลือดขึ้นมาจริงๆ ”
“อ้าว จะพากันกลับไปเสียแล้วฤา” แว่วเสียงครางอย่างพระทัยหายของพระแพงดังขึ้น รื่นเห็นสีพระพักตร์เจ้านายหมองลงก็รีบทูลอีก
“ไม่ต้องตกพระทัยไปเจ้าข้า เพราะแม่หมออุษาศิษย์ของปู่เจ้าบอกกับข้ามาว่า ปู่เจ้าสมิงพรายจะช่วยร่ายเวทย์เป็นไก่แก้วที่งามนัก...งามจนพระลอต้องติดตามไก่มาถึงสวนขวัญแห่งนี้จนได้เจ้าข้า”
ช่อชบาได้ยินนางรื่นทูลก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว อา...นี่คงใกล้ถึงบทอวสานของคนทั้งหมดตรงหน้าเธอแล้วสินะ ปู่เจ้าสมิงพรายนั้นเธอยังไม่เคยเห็นหน้า แต่พระลอเสด็จมาเพราะอิทธิฤทธิ์ของปู่เจ้าปรากฏอยู่ในตำนานที่เคยอ่าน
สองจิตสองใจว่าควรเตือนพวกเขาดีหรือไม่ ถ้าเธอลองห้ามไม่ให้พระธิดาทั้งสองพบกันกับพระลอดู บางทีพระองค์อาจยอมเชื่อก็ได้ และถ้าหากสามหนุ่มสาวไม่ได้พบกันเสียอย่าง โศกนาฏกรรมก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ว่า....ถ้าเรื่องทั้งหมดไม่เกิดขึ้นตามนั้น ก็แสดงว่าเธอไปทำให้อดีตถูกบิดเบือนไปจากที่เคยเป็น ซึ่งอดีตที่ถูกบิดเบือนอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตที่จะเกิดขึ้นตามมาเป็นลูกโซ่ เหมือนกับในหนัง butterfly effect ที่เคยดูก็ได้ เพราะถ้าพระลอไม่สิ้นพระชนม์ลง บางทีพระองค์อาจจะให้กำเนิดลูกหลานสืบต่อมาอีกหลายพระองค์ แล้วบางพระองค์ก็อาจเก่งกล้าสามารถ จนกระทั่งทำให้ไม่เกิดมีพ่อขุนเม็งรายขึ้นมาในโลกนี้ และถ้าไม่มีพ่อขุนเม็งราย ก็อาจไม่มีเวียงเชียงใหม่ และถ้าไม่มีเชียงใหม่ล่ะ
...อั้ยยะ ก็จะไม่มีตูน่ะซี...
“ฝนตกหนักแถวต้นน้ำหรือเปล่า น้ำมันเลยเป็นสีดินลูกรังแดงๆ น่ะ” พอนึกถึงผลกระทบจากการที่ตัวเองจะเข้ามาบิดเบือนความเป็นจริงเข้า ช่อชบาก็ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง เธอจึงท้วงขึ้น คนอื่นๆ หันมามองหน้าคนพูดอย่างสนเท่ห์
“เคยสังเกตกันบ้างไหม แม่น้ำเป็นสีแบบนี้ในฤดูฝนเสมอ พอฝนตกหนักน้ำก็จะหลากพัดเอาโคลนเอาดินมาด้วย สีน้ำเลยเปลี่ยนไปตามสีดินโคลนที่มันชะมา ตอนนี้เป็นหน้าฝนนี่นา ฉันเห็นฝนตกทุกวัน”
เพราะไหนๆ เรื่องมันก็ต้องดำเนินไปแบบนั้นอยู่แล้ว เทวดาฟ้าดินท่านคงแค่อยากให้เธอมาเห็นเหตุการณ์เท่านั้นเอง แต่คงไม่ยินยอมให้เธอทะลึ่งไปแก้ไขอดีตเป็นแน่ ดังนั้นก็ควรสนับสนุนให้มันเกิดขึ้นเสียโดยเร็ว จะได้จบเรื่องกันไปเสียเลย บางทีหากเหตุการณ์สุกงอมเต็มที่จนถึงบทสุดท้ายของตำนาน เธออาจจะได้กลับไปสู่โลกปัจจุบันของตัวเองก็ได้
“นางเกี๋ยงพูดมีเหตุผล” พระแพงเอ่ยชม สายพระเนตรบอกถึงความทึ่งในตัวนางกำนัลทะลุมิติ
“อีกอย่าง ฉันว่ากว่าพระเพื่อนพระแพงจะได้พบกับพระลอมันจะช้าไปนา เดี๋ยวเจ้าย่าก็รู้เข้าหรอก รู้สึกว่าท่านจะไม่ค่อยชอบพระลอนี่ คิดดูสิ กว่าปู่เจ้าจะแปลงร่างเป็นไก่ไปล่อ ไหนพระลอจะต้องตามหาไก่อีก มัวแต่ตามไก่เกิดพระองค์หลงไปจ๊ะเอ๋ถูกทหารเมืองสรองจับไปให้เจ้าย่าล่ะ พระธิดาอาจต้องไปพบกับพระลอในคุกนะเจ้าข้า”
คำพูดของหญิงข้ามมิติซึ่งนั่งหมอบคาขั้นบันไดอยู่คงไปขัดหูพี่เลี้ยงโรยเข้า เธอเลยถูกโรยปราดมาตบกระบาลเอาฉาดใหญ่ ช่อชบาร้องโอ้ย..คลำศรีษะตัวเองป้อยๆ
“มาตบกะโหลกฉันทำไม ถ้าสมองฉันถูกกระทบกระเทือนเดี๋ยวได้ลืมแผนช่วยพระธิดาที่คิดเอาไว้กันพอดี” เธอพ้อเสียงอ่อย
“ก็เอ็งมันพูดจาสามหาวถึงเจ้าย่า ท่าทางแข็งกระด้างน่าชังนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงระวังเหาจะขึ้นกินหัว เจ้าย่าทรงมีเมตตาไม่กระทำกับคนที่พระธิดารักเยี่ยงที่เอ็งว่ามาแน่” รื่นสมทบด่านางหญิงผู้มาจากอนาคตเป็นการใหญ่
“ฉันพูดเรื่องจริง หรือพี่จะเถียงว่าเจ้าย่าท่านไม่โปรดเชื้อสายของท้าวแมนสรวง ถ้าท่านรู้ว่าพระลอเสด็จมาต้องหาทางกีดกันไม่ให้ได้พบกับพระธิดาเพื่อนแพงแน่ ฉันเอาหัวเป็นประกันเลย แต่ถ้าเอารูปพระเพื่อนพระแพงในโทรศัพท์ของฉันให้พระลอดู รับรองว่าพระองค์ต้องแปลกพระทัยอยากมาหาทันที ไม่ต้องรบกวนพ่อปู่ให้แปลงเป็นไก่ไปล่อหรอก”
“พูดไม่ระวังปากอีกแล้ว เดี๋ยวเหอะ เอ็งจะโดนพ่อปู่เสกหนังควายเข้าท้อง หรือไม่ก็ให้ผีป่ามาหักคอตาย”
“อ้าว พี่ก็อย่าไปบอกท่านสิ...นี่พี่ทั้งสอง ฉันพูดจริงนะ ดูที่ฉันถ่ายรูปท้าวเธอทั้งคู่นี่ปะไร ฝีมือเซ็ตผมแต่งหน้า จัดท่าโพสถ่ายรูปของฉันยังไม่ตก พระธิดาสวยขึ้นอีกพะเรอ” อดีตพริตตี้สาวชูรูปที่เพิ่งถ่ายพระเพื่อนพระแพงในโทรศัพท์ให้สองพี่เลี้ยงดู
“ต๊าย ไปถ่ายกันตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าข้า โอ..ใช่ๆ สวยมากจริงๆ พระพี่น้องทั้งสองของข้าเจ้าเกล้ามวยผมแบบนี้ มีเส้นผมย้อยลงมาเคลียปราง เครื่องทรงอวดเนินพระถันเป็นพุ่มเป็นพวง พระเพื่อนอิงพระแพงแล้วชายเนตรมา งาม...งามนักเชียวแม่”
สองพระธิดาถูกเอ่ยชมก็พากันสรวลเอียงอาย พระเพื่อนอุบอิบบอก
“เกี๋ยงมันจัดท่าทางให้เราสองคนดอก มิได้คิดอ่านทำเอง เราดูแล้วก็ว่าสวยดีเหมือนกัน”
“พี่สองคนขี่ม้าเอารูปในโทรศัพท์ไปถวายให้พระลอทอดพระเนตร ที่ไหนพระองค์จะไม่รีบมา จริงไหมล่ะ” รื่นกับโรยตาลุกวาว นึกเห็นดีเห็นงามไปด้วย โรยหันไปทูลถามสองพระธิดาที่ประทับฟังอยู่อย่างสนพระทัย
“โอ้ ฟังดูเข้าที ทำตามที่นางเกี๋ยงมันบอกดีหรือไม่เจ้าข้า ทูนหัวของบ่าว”
“แต่ละเรื่องที่นางเกี๋ยงเล่าสู่ช่างน่าประหลาดใจข้านัก แต่ประเดี๋ยวก่อนเถิดพี่ทั้งสอง” พระเพื่อนทรงท้วง พระพี่นางของพระแพงมีกิริยาอ่อนโยน เวลาตรัสก็อ่อนหวานน่าเอ็นดู ผิดกับพระแพงที่ดูแก่นแก้วแสนซน
“พี่รื่นพี่โรยจ๊ะ แต่น้องยังกริ่งเกรงว่า...ว่ามันจะไม่งามนาพี่” ดวงเนตรของพระเพื่อนฉายแววเป็นกังวล
“เราเป็นหญิง การชักชายที่เราหลงรักอยู่ข้างเดียวให้มาสู่เรือนตนนั้นน่าอับอายนัก”
“จนป่านนี้แล้วหนาพี่นาง” พระแพงทรงค้านเสียงดัง
“สองเราเฝ้ารอคอย ทำทุกวิถีทางให้พระลอเสด็จมาหา และอีกแค่ลัดมือเดียวก็จะถึงเมืองเราอยู่แล้ว ใยพี่จึงคิดรามือ”
“เจ้าอย่าได้ลืมว่าเจ้าย่าท่านทรงแค้นเคืองท้าวแมนสรวงจริงอย่างนางเกี๋ยงว่า การนี้หากรู้ถึงพระเนตรพระกรรณเข้าคงกริ้วหนัก พี่ว่าเรา...เราควรสงบใจไว้ก่อนดีหรือไม่น้องพี่ เผือว่าเป็นคู่กรรมคู่เวรก็คงได้สมกันเอง หากมิใช่ก็ย่อมพลัดพรากกันไป”
“มิได้ น้องใจจะขาดหากสวามีมิใช่พระลอ พี่นางก็รู้ เคยสัญญากับน้องไว้ไฉนจึงกลายคำ ท่านเคยบอกว่าเราไปไหนต้องไปด้วยกันไงเล่าเจ้าข้า” ทรงตรัสอย่างดื้อดึง พระเพื่อนฟังแล้วคงหนักพระทัยจึงมีสีพระพักตร์อึดอัด
“เฮ้อ...ไม่งามเลย เราน่าจะรอให้พระลอท่านแต่งทูตมาสู่ขอ แม้มิได้เป็นมเหสีเอกแต่ก็ไม่เสียหน้า”
ช่อชบาซึ่งนั่งฟังอยู่นึกสะท้อนใจ รักคนมีเจ้าของนี่มันมีทุกยุคทุกสมัยเลยเชียว และทำให้ปวดใจได้เหมือนๆ กัน จิตกระหวัดไปถึงเรื่องรักใคร่ของเพื่อนพริตตี้ที่ชื่อลลนา พิษรักทำอันตรายทุกคน ไม่เว้นผู้ดีหรือไพร่
“เพื่อนฉันเองก็รักคนมีเจ้าของ” เผลอพึมพำขึ้นเบาๆ สีหน้าเศร้าลง ที่เธอผลัดหลงเข้ามาติดอยู่ในมิตินี้ ก็เพราะพิษรักแรงหึงของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ตามมาราวีผู้หญิงอีกคน จนเธอต้องพลอยมารับเคราะห์กรรม
“พูดกระไรของเจ้า” นางโรยได้ยินเข้าจึงถามขึ้น ช่อชบากดโทรศัพท์ให้พวกหล่อนดูรูปผู้ชายหน้าตาดีในชุดสูทสุดเท่คนหนึ่ง ซึ่งเขาก็คือคนที่เป็นกิ๊กกับลลนา
“ผู้ชายในโทรศัพท์ชื่อเขมชาติ เขามีเมียแล้วแต่แอบรักกันกับเพื่อนฉัน เขาสองคนเลิกรักกันไม่ได้แม้ว่าจะถูกเมียผู้ชายคอยตามหึงหวง ความรักที่ไม่อาจรักแบบนี้มีแต่ทรมานใจ”
“บ้านเมืองที่เจ้าจากมา ผู้ชายมีเมียหลายคนไม่ได้ฤา” รื่นซักไซ้
“ไม่ได้หรอก กฎหมายบ้านเมืองข้า ที่เป็นเมียแต่งเขาให้มีได้แค่คนเดียว ผู้หญิงคนอื่นเขาเรียกว่า...กิ๊ก สังคมไม่ยอมรับ”
“ประหลาดนัก บ้านเมืองเราขุนท้าวท่านแม้มีมเหสีเอกแล้วก็ยังมีชายารองได้อีกหลายคน” นางโรยอุทานอย่างประหลาดใจ
“บ้านเมืองไหนก็มีคนแอบหลงรักกัน พี่นางเห็นหรือไม่ เรายอมเป็นเมียรองลักษณวดี ก็คือเป็นพระชายาที่มิได้เป็นมเหสีซึ่งย่อมไม่มีผู้ใดมาติติงเอาได้ อุปสรรคแท้จริงคือสองราชวงศ์ที่มีความแค้นต่อกัน มิใช่ด้วยประเพณี เรื่องนี้เราจะทำเยี่ยงไรดี” พระแพงเอ่ยอย่างดึงดันจะเอาตามพระทัยให้ได้ พระเพื่อนเห็นว่าคงห้ามน้องไม่ฟังแน่ เลยทรงนิ่งเสีย
“เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ของพวกพี่เองเถิดเจ้าข้า พี่รื่นพี่โรยจะช่วยกันคิดอ่านกับนางเกี๋ยงเอง”
นางรื่นทูลพลางมองมายังช่อชบา...ตกที่นั่งต้องพลอยลำบากทำให้คนเขารักกันเสียแล้ว ช่อชบาเกาหัวแกรก แต่เอาเถอะ...เท่าที่เคยรู้มาจากอ่านในหนังสือ จำได้ว่าพระลอกับพระเพื่อนพระแพงทรงสมรักกัน พี่เลี้ยงรื่นโรยก็รักกันกับนายแก้วนายขวัญ บ่าวชายของพระลออีกด้วย
คงไม่ต้องลงมือทำอะไรมากนัก เพราะชะตากรรมได้กำหนดเอาไว้แล้ว ขอเพียงไม่ไปเปลี่ยนแปลงอดีตที่อาจส่งผลต่ออนาคต แค่ช่วยให้พวกเขาทั้งหมดได้พบกันเร็วขึ้นเท่านั้นเอง...