คำเตือนบทความต่อไปนี้ไม่สามรถหาเเหล่งอ้างอิงที่ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นได้โปรดใช้วิจารณญาณ
(การระบุจำเเนกจะอ้างอิงตามโมเดลหลัก)
ประวัติเต็ม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://en.wikipedia.org/wiki/Type_38_rifle
รุ่น 38 เป็นรุ่นที่พัฒนามาจากแบบ 30 แต่ผู้ที่พัฒนาปืนรุ่นนี้ไม่ใช่ Arisaka Nariakira แต่เป็นอีกคนหนึ่งนั่น Kijirō Nambu การพัฒนาในที่นี้หมายถึงการปรับปรุงระบบห้ามไกให้น่าเชื่อถือมากขึ้นรวมถึงเปลี่ยนวิธีการ safety จากเป็น ตะขอบิดให้กลายเป็นแบบปุ่มกดที่สามารถทำให้ปลดเซฟตี้ของไกปืนได้ง่ายกว่ารุ่นก่อนหน้าปืนชนิดนี้กลายเป็นขุมกำลังหลักของกองทหารราบญี่ปุ่นในสมัยสงครามจีนญี่ปุ่นครั้งที่ 2 จนสิ้นสุดถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดเด่นของปืนไรเฟิลชนิดนี้ที่จะไม่พบในปืนไรเฟิลลูกเลื่อนชนิดอื่นก็คือมันมีฝาครอบสำหรับป้องกันสิ่งสกปรกที่ทำให้เกิดอาการติดขัดเวลายิงได้ส่วนวิธีการเปิดฝาครอบก็แค่ดันฝาครอบไปข้างหน้าจากนั้นคุณก็จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่ปืนรุ่นนี้ก็มีปัญหาเรื่องพลังหยุดยั้งของกระสุนขนาด 6.5×50mm Arisaka ไม่เพียงพอที่จะใช้ในการสู้รบได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเหตุของการพัฒนารุ่นใหม่นั่นก็คือปืนแบบ 99
รุ่นที่ใช้ในกองทัพญี่ปุ่น

Type 38 มาตรฐาน

Type 38 carbine

Type 38 Cavalry rifle เป็นการเอารุ่นมาตรฐานมาดัดเเปลงใช้ในกองทหารม้า

Type 44 รุ่น carbine ออกเเบบเพื่อใช้ในกองทหารม้าโดยเฉพาะ

Type 1 ปืนรุ่นนี้ผลิตในอิตาลีในปี 1939 เพื่อตอบสนองต่อสนธิสัญญาการเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของอิตาลีและญี่ปุ่นปืนรุ่นนี้มีพื้นฐานมาจากปืนแบบ 38 แต่ระบบปฏิบัติการภายในอยู่ใช้ระบบลูกเลื่อนของปืนไรเฟิล Carcano เเต่ใช้กระสุน 6.5×50mm Arisaka

Type 97 ปืนแบบ 38 ที่ออกแบบใหม่ให้เป็นปืนซุ่มยิงโดยเฉพาะ
รุ่นที่ใช้ในไทย
ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ได้มีการสั่งซื้อปืนรุ่น 38 มาจากญี่ปุ่นแต่ใช้กระสุนขนาด 8x52r mm ของไทย เป็นจำนวน 50000 กระบอก
ในราชการจะเรียกปืนชนิดนี้ว่าปืนเล็กยาวแบบ 66 (ปลย.66)
ในช่วงที่ไทยกำลังทำสงครามกับฝรั่งเศสในอินโดจีนในการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสญี่ปุ่นได้สนับสนุนปืนไรเฟิลแบบ 38 รุ่นเดียวกับที่ใช้ในกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นมาให้กับกองทัพไทยแต่ปืนไรเฟิลที่ส่งมาให้กองทัพรหัสเรียกในหน่วยงานราชการคือปืนเล็กยาวแบบ 83 ต่อมาหลังจากที่กองทัพสหรัฐเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อมาตรฐานอาวุธของไทยมีการนำปืนแบบ 83 มาเปลี่ยนลำกล้องให้เป็นขนาดเดียวกับปืนไรเฟิล M1 Garand (ปลยบ.88) ของสหรัฐ เรียกปืนพวกนี้ว่าปืนเล็กยาวแบบ 83/88

ปืน ร.ศ.121 (บน) ปลย.66 (กลาง) Type 38 (ล่าง)
ปลส.91 เป็นการนำปืนแบบ 83 มาตัดลำกล้องและเปลี่ยนเป็นปืนเล็กสั้นสำหรับตำรวจไทยในปีพุทธศักราช 2491 ใช้กระสุนขนาด 6 mm ต้นตำรับของญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ตัวปืนจะมีตราเครื่องหมายของตำรวจติดอยู่ และก้านลูกเลื่อนถูกทำให้งอลง คล้าย M1 carbine

รุ่นที่ใช้ในจีน
Chinese Six/Five Infantry Rifle
เวอร์ชั่นก๊อปปี้ของปืนไรเฟิลแบบ 38 ผลิตในคลังแสงของเมืองไท่หยวนในช่วงทศวรรษที่ 1920 ถึง 1930 ส่วนใหญ่ประจำการในกองทัพของพวกขุนศึกในมณฑลซานซี หลังจากมีการปราบปรามพวกขุนศึกทางตอนเหนือนายพล Yan Xishan แห่งกองทัพชาตินิยมจีนให้รหัสปืนชนิดนี้ว่า 6/5 มีจำนวนการผลิตถึงหนึ่งเเสนเเปดพันกระบอก
Type 918 Rifle
ผลิตในเขตแมนจูเรียใต้โรงงานสรรพาวุธที่ผลิตรู้จักกันในชื่อโรงงานหมายเลข 918 ปืนรุ่นนี้ส่วนใหญ่ มีใช้ในกองทหารญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1930 ไม่ทราบจำนวนการผลิตที่แน่ชัด
North China Type 19 Carbine

ผลิตในทางตอนเหนือของประเทศจีนที่ตอนนั้นเป็นเขตยึดครองของญี่ปุ่น ปืนรุ่นนี้ส่วนใหญ่มีประจำการในกองทหารจีนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของทหารญี่ปุ่นขนาดกระสุน 7.92x57 mm มียอดการผลิต 40000 กระบอก ที่ตั้งชื่อว่ารุ่น 19 เพราะปืนรุ่นนี้ผลิตในปี 1944 ซึ่งเป็นปีที่ 19 ของปีจักรพรรดิโชวะ
Maxican Arisaka

ในปี 1913 รัฐบาลเม็กซิโกสั่งซื้อปืนรุ่น 38 จากญี่ปุ่นเป็นจำนวน 50,000แต่มีเพียง 10,000 ถึง 15,000 กระบอกเท่านั้นที่ได้ส่งไปถึงแม็กซิโกเพราะเป็นประธานาธิบดี Huerta ที่เป็นแกนหลักในการสั่งซื้อปืนถูกล้มล้างอำนาจ ปืนไรเฟิลพวกนี้มีชื่อเล่นว่า Maxican Arisaka ใช้กระสุนขนาด 7x57 mm
ในประเทศเอสโตเนียมีการนำปืนแบบ 38 มาเปลี่ยนลำกล้องให้เป็นขนาดจุด 303 กระสุนไรเฟิลมาตรฐานของอังกฤษในสมัยนั้น ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปืนพวกนี้มากนัก(เเละไม่มีภาพถ่าย)
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 28 เปิดตระกูลปืนไรเฟิล Arisaka ตอนที่ 2 Type 38
(การระบุจำเเนกจะอ้างอิงตามโมเดลหลัก)
ประวัติเต็ม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รุ่น 38 เป็นรุ่นที่พัฒนามาจากแบบ 30 แต่ผู้ที่พัฒนาปืนรุ่นนี้ไม่ใช่ Arisaka Nariakira แต่เป็นอีกคนหนึ่งนั่น Kijirō Nambu การพัฒนาในที่นี้หมายถึงการปรับปรุงระบบห้ามไกให้น่าเชื่อถือมากขึ้นรวมถึงเปลี่ยนวิธีการ safety จากเป็น ตะขอบิดให้กลายเป็นแบบปุ่มกดที่สามารถทำให้ปลดเซฟตี้ของไกปืนได้ง่ายกว่ารุ่นก่อนหน้าปืนชนิดนี้กลายเป็นขุมกำลังหลักของกองทหารราบญี่ปุ่นในสมัยสงครามจีนญี่ปุ่นครั้งที่ 2 จนสิ้นสุดถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดเด่นของปืนไรเฟิลชนิดนี้ที่จะไม่พบในปืนไรเฟิลลูกเลื่อนชนิดอื่นก็คือมันมีฝาครอบสำหรับป้องกันสิ่งสกปรกที่ทำให้เกิดอาการติดขัดเวลายิงได้ส่วนวิธีการเปิดฝาครอบก็แค่ดันฝาครอบไปข้างหน้าจากนั้นคุณก็จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่ปืนรุ่นนี้ก็มีปัญหาเรื่องพลังหยุดยั้งของกระสุนขนาด 6.5×50mm Arisaka ไม่เพียงพอที่จะใช้ในการสู้รบได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเหตุของการพัฒนารุ่นใหม่นั่นก็คือปืนแบบ 99
รุ่นที่ใช้ในกองทัพญี่ปุ่น
Type 38 มาตรฐาน
Type 38 carbine
Type 38 Cavalry rifle เป็นการเอารุ่นมาตรฐานมาดัดเเปลงใช้ในกองทหารม้า
Type 44 รุ่น carbine ออกเเบบเพื่อใช้ในกองทหารม้าโดยเฉพาะ
Type 1 ปืนรุ่นนี้ผลิตในอิตาลีในปี 1939 เพื่อตอบสนองต่อสนธิสัญญาการเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของอิตาลีและญี่ปุ่นปืนรุ่นนี้มีพื้นฐานมาจากปืนแบบ 38 แต่ระบบปฏิบัติการภายในอยู่ใช้ระบบลูกเลื่อนของปืนไรเฟิล Carcano เเต่ใช้กระสุน 6.5×50mm Arisaka
Type 97 ปืนแบบ 38 ที่ออกแบบใหม่ให้เป็นปืนซุ่มยิงโดยเฉพาะ
รุ่นที่ใช้ในไทย
ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ได้มีการสั่งซื้อปืนรุ่น 38 มาจากญี่ปุ่นแต่ใช้กระสุนขนาด 8x52r mm ของไทย เป็นจำนวน 50000 กระบอก
ในราชการจะเรียกปืนชนิดนี้ว่าปืนเล็กยาวแบบ 66 (ปลย.66)
ในช่วงที่ไทยกำลังทำสงครามกับฝรั่งเศสในอินโดจีนในการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสญี่ปุ่นได้สนับสนุนปืนไรเฟิลแบบ 38 รุ่นเดียวกับที่ใช้ในกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นมาให้กับกองทัพไทยแต่ปืนไรเฟิลที่ส่งมาให้กองทัพรหัสเรียกในหน่วยงานราชการคือปืนเล็กยาวแบบ 83 ต่อมาหลังจากที่กองทัพสหรัฐเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อมาตรฐานอาวุธของไทยมีการนำปืนแบบ 83 มาเปลี่ยนลำกล้องให้เป็นขนาดเดียวกับปืนไรเฟิล M1 Garand (ปลยบ.88) ของสหรัฐ เรียกปืนพวกนี้ว่าปืนเล็กยาวแบบ 83/88
ปืน ร.ศ.121 (บน) ปลย.66 (กลาง) Type 38 (ล่าง)
ปลส.91 เป็นการนำปืนแบบ 83 มาตัดลำกล้องและเปลี่ยนเป็นปืนเล็กสั้นสำหรับตำรวจไทยในปีพุทธศักราช 2491 ใช้กระสุนขนาด 6 mm ต้นตำรับของญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ตัวปืนจะมีตราเครื่องหมายของตำรวจติดอยู่ และก้านลูกเลื่อนถูกทำให้งอลง คล้าย M1 carbine
รุ่นที่ใช้ในจีน
Chinese Six/Five Infantry Rifle
เวอร์ชั่นก๊อปปี้ของปืนไรเฟิลแบบ 38 ผลิตในคลังแสงของเมืองไท่หยวนในช่วงทศวรรษที่ 1920 ถึง 1930 ส่วนใหญ่ประจำการในกองทัพของพวกขุนศึกในมณฑลซานซี หลังจากมีการปราบปรามพวกขุนศึกทางตอนเหนือนายพล Yan Xishan แห่งกองทัพชาตินิยมจีนให้รหัสปืนชนิดนี้ว่า 6/5 มีจำนวนการผลิตถึงหนึ่งเเสนเเปดพันกระบอก
Type 918 Rifle
ผลิตในเขตแมนจูเรียใต้โรงงานสรรพาวุธที่ผลิตรู้จักกันในชื่อโรงงานหมายเลข 918 ปืนรุ่นนี้ส่วนใหญ่ มีใช้ในกองทหารญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1930 ไม่ทราบจำนวนการผลิตที่แน่ชัด
North China Type 19 Carbine
ผลิตในทางตอนเหนือของประเทศจีนที่ตอนนั้นเป็นเขตยึดครองของญี่ปุ่น ปืนรุ่นนี้ส่วนใหญ่มีประจำการในกองทหารจีนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของทหารญี่ปุ่นขนาดกระสุน 7.92x57 mm มียอดการผลิต 40000 กระบอก ที่ตั้งชื่อว่ารุ่น 19 เพราะปืนรุ่นนี้ผลิตในปี 1944 ซึ่งเป็นปีที่ 19 ของปีจักรพรรดิโชวะ
Maxican Arisaka
ในปี 1913 รัฐบาลเม็กซิโกสั่งซื้อปืนรุ่น 38 จากญี่ปุ่นเป็นจำนวน 50,000แต่มีเพียง 10,000 ถึง 15,000 กระบอกเท่านั้นที่ได้ส่งไปถึงแม็กซิโกเพราะเป็นประธานาธิบดี Huerta ที่เป็นแกนหลักในการสั่งซื้อปืนถูกล้มล้างอำนาจ ปืนไรเฟิลพวกนี้มีชื่อเล่นว่า Maxican Arisaka ใช้กระสุนขนาด 7x57 mm
ในประเทศเอสโตเนียมีการนำปืนแบบ 38 มาเปลี่ยนลำกล้องให้เป็นขนาดจุด 303 กระสุนไรเฟิลมาตรฐานของอังกฤษในสมัยนั้น ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปืนพวกนี้มากนัก(เเละไม่มีภาพถ่าย)