สารานุกรมปืนตอนที่ 28 เปิดตระกูลปืนไรเฟิล Arisaka ตอนที่ 2 Type 38

คำเตือนบทความต่อไปนี้ไม่สามรถหาเเหล่งอ้างอิงที่ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นได้โปรดใช้วิจารณญาณ
(การระบุจำเเนกจะอ้างอิงตามโมเดลหลัก)

ประวัติเต็ม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

รุ่น 38 เป็นรุ่นที่พัฒนามาจากแบบ 30  แต่ผู้ที่พัฒนาปืนรุ่นนี้ไม่ใช่ Arisaka Nariakira แต่เป็นอีกคนหนึ่งนั่น Kijirō Nambu การพัฒนาในที่นี้หมายถึงการปรับปรุงระบบห้ามไกให้น่าเชื่อถือมากขึ้นรวมถึงเปลี่ยนวิธีการ safety จากเป็น ตะขอบิดให้กลายเป็นแบบปุ่มกดที่สามารถทำให้ปลดเซฟตี้ของไกปืนได้ง่ายกว่ารุ่นก่อนหน้าปืนชนิดนี้กลายเป็นขุมกำลังหลักของกองทหารราบญี่ปุ่นในสมัยสงครามจีนญี่ปุ่นครั้งที่ 2 จนสิ้นสุดถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดเด่นของปืนไรเฟิลชนิดนี้ที่จะไม่พบในปืนไรเฟิลลูกเลื่อนชนิดอื่นก็คือมันมีฝาครอบสำหรับป้องกันสิ่งสกปรกที่ทำให้เกิดอาการติดขัดเวลายิงได้ส่วนวิธีการเปิดฝาครอบก็แค่ดันฝาครอบไปข้างหน้าจากนั้นคุณก็จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่ปืนรุ่นนี้ก็มีปัญหาเรื่องพลังหยุดยั้งของกระสุนขนาด 6.5×50mm Arisaka ไม่เพียงพอที่จะใช้ในการสู้รบได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเหตุของการพัฒนารุ่นใหม่นั่นก็คือปืนแบบ 99

รุ่นที่ใช้ในกองทัพญี่ปุ่น


Type 38 มาตรฐาน


Type 38 carbine


Type 38 Cavalry rifle เป็นการเอารุ่นมาตรฐานมาดัดเเปลงใช้ในกองทหารม้า


Type 44 รุ่น carbine ออกเเบบเพื่อใช้ในกองทหารม้าโดยเฉพาะ


Type 1 ปืนรุ่นนี้ผลิตในอิตาลีในปี 1939 เพื่อตอบสนองต่อสนธิสัญญาการเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของอิตาลีและญี่ปุ่นปืนรุ่นนี้มีพื้นฐานมาจากปืนแบบ 38 แต่ระบบปฏิบัติการภายในอยู่ใช้ระบบลูกเลื่อนของปืนไรเฟิล Carcano เเต่ใช้กระสุน 6.5×50mm Arisaka


Type 97  ปืนแบบ 38 ที่ออกแบบใหม่ให้เป็นปืนซุ่มยิงโดยเฉพาะ


รุ่นที่ใช้ในไทย

ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ได้มีการสั่งซื้อปืนรุ่น 38 มาจากญี่ปุ่นแต่ใช้กระสุนขนาด 8x52r mm ของไทย เป็นจำนวน 50000 กระบอก
ในราชการจะเรียกปืนชนิดนี้ว่าปืนเล็กยาวแบบ 66 (ปลย.66)

ในช่วงที่ไทยกำลังทำสงครามกับฝรั่งเศสในอินโดจีนในการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสญี่ปุ่นได้สนับสนุนปืนไรเฟิลแบบ 38 รุ่นเดียวกับที่ใช้ในกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นมาให้กับกองทัพไทยแต่ปืนไรเฟิลที่ส่งมาให้กองทัพรหัสเรียกในหน่วยงานราชการคือปืนเล็กยาวแบบ 83 ต่อมาหลังจากที่กองทัพสหรัฐเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อมาตรฐานอาวุธของไทยมีการนำปืนแบบ 83 มาเปลี่ยนลำกล้องให้เป็นขนาดเดียวกับปืนไรเฟิล M1 Garand (ปลยบ.88) ของสหรัฐ เรียกปืนพวกนี้ว่าปืนเล็กยาวแบบ 83/88


ปืน ร.ศ.121 (บน) ปลย.66 (กลาง) Type 38 (ล่าง)

ปลส.91 เป็นการนำปืนแบบ 83 มาตัดลำกล้องและเปลี่ยนเป็นปืนเล็กสั้นสำหรับตำรวจไทยในปีพุทธศักราช 2491 ใช้กระสุนขนาด 6 mm ต้นตำรับของญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ตัวปืนจะมีตราเครื่องหมายของตำรวจติดอยู่ และก้านลูกเลื่อนถูกทำให้งอลง คล้าย M1 carbine



รุ่นที่ใช้ในจีน

Chinese Six/Five Infantry Rifle

เวอร์ชั่นก๊อปปี้ของปืนไรเฟิลแบบ 38 ผลิตในคลังแสงของเมืองไท่หยวนในช่วงทศวรรษที่ 1920 ถึง 1930 ส่วนใหญ่ประจำการในกองทัพของพวกขุนศึกในมณฑลซานซี หลังจากมีการปราบปรามพวกขุนศึกทางตอนเหนือนายพล Yan Xishan แห่งกองทัพชาตินิยมจีนให้รหัสปืนชนิดนี้ว่า 6/5 มีจำนวนการผลิตถึงหนึ่งเเสนเเปดพันกระบอก

Type 918 Rifle

ผลิตในเขตแมนจูเรียใต้โรงงานสรรพาวุธที่ผลิตรู้จักกันในชื่อโรงงานหมายเลข 918 ปืนรุ่นนี้ส่วนใหญ่ มีใช้ในกองทหารญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1930 ไม่ทราบจำนวนการผลิตที่แน่ชัด

North China Type 19 Carbine


ผลิตในทางตอนเหนือของประเทศจีนที่ตอนนั้นเป็นเขตยึดครองของญี่ปุ่น ปืนรุ่นนี้ส่วนใหญ่มีประจำการในกองทหารจีนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของทหารญี่ปุ่นขนาดกระสุน 7.92x57 mm มียอดการผลิต 40000 กระบอก ที่ตั้งชื่อว่ารุ่น 19 เพราะปืนรุ่นนี้ผลิตในปี 1944 ซึ่งเป็นปีที่ 19 ของปีจักรพรรดิโชวะ

Maxican Arisaka



ในปี 1913  รัฐบาลเม็กซิโกสั่งซื้อปืนรุ่น 38 จากญี่ปุ่นเป็นจำนวน 50,000แต่มีเพียง 10,000 ถึง 15,000 กระบอกเท่านั้นที่ได้ส่งไปถึงแม็กซิโกเพราะเป็นประธานาธิบดี Huerta ที่เป็นแกนหลักในการสั่งซื้อปืนถูกล้มล้างอำนาจ ปืนไรเฟิลพวกนี้มีชื่อเล่นว่า Maxican Arisaka ใช้กระสุนขนาด 7x57 mm

ในประเทศเอสโตเนียมีการนำปืนแบบ 38 มาเปลี่ยนลำกล้องให้เป็นขนาดจุด 303 กระสุนไรเฟิลมาตรฐานของอังกฤษในสมัยนั้น ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปืนพวกนี้มากนัก(เเละไม่มีภาพถ่าย)





สวัสดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่