คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
ปัญหาหนึ่งของ Thre ก็คือ สภาพตลาดประกันวินาศภัยในปัจจุบัน มันไม่ค่อยโตมากเมื่อเทียบกับอดีตครับ
จากการเก็บตัวเลขในอดีตกับปัจจุบันพบว่า
เบี้ยประกันรับโดยตรงในปี 2556 หลังน้ำท่วมอยู่ที่ 203,021 ล้านบาท เทียบกับปี 2559 อยู่ที่ 215,557 ล้านบาท เติบโตเพียง 6.17% ในช่วง 4 ปี เพราะประกันภัยทรัพย์สินมีการแข่งขันกันตัดราคาค่อนข้างสูง ทั้งที่เดิมปี 2555 เบี้ยประกันรับโดยรวมอยู่ที่ 179,595 ล้านบาท โดยปี 2556 เติบโตปีเดียวสูงถึง 13.04%
เมื่อดูเทียบกับตลาดประกันภัยต่อ พบว่า ปี 2556 ตลาดประกันภัยต่อมีเบี้ยประกันรวมอยู่ที่ 60,706 ล้านบาท โดยเป็นประกันภัยต่อในประเทศ 12,809 ล้านบาท และประกันภัยต่อต่างประเทศ 47,896 ล้านบาท สัดส่วนประกันภัยต่อในประเทศมีขนาดตลาดเท่ากับ 21.10%
สำหรับตลาดประกันภัยต่อในประเทศ 12,809 ล้านบาท เป็นของบริษัท Thre เท่ากับ 4,530 ล้านบาท คิดเป็นส่วนครองตลาด 35.36%
สำหรับปี 2559 ที่ผ่านมา ตลาดประกันภัยต่อมีเบี้ยประกันรวมอยู่ที่ 62,296 ล้านบาท เติบโตไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดประกันภัยโดยตรงเช่นเดียวกัน โดยประกันภัยต่อในประเทศมีขนาดตลาด 12,403 ล้านบาท หดตัวลง สัดส่วนประกันภัยต่อในประเทศมีขนาดตลาดเท่ากับ 19.9% ลดลงเช่นเดียวกัน
สำหรับตลาดประกันภัยต่อในประเทศ 12,403 ล้านบาท เป็นของบริษัท Thre เท่ากับ 5260 ล้านบาท เติบโตมากขึ้นเมื่อเทียบกับ ปี 2556 และยังสามารถเพิ่มส่วนครองตลาดในประเทศเป็น 42.41%
ดังนั้นการเติบโตของ Thre จะต้องทำใน 2 เรื่อง คือ พยายามเพิ่มการขยายตัวของตลาดประกันภัยต่อในประเทศให้มากขึ้น และเพิ่มส่วนครองตลาดภายในประเทศให้สูงขึ้น
แต่เนื่องจากตลาดในประเทศหลายปีที่ผ่านมาไม่ค่อยโต ทำให้ Thre ต้อง เพิ่มส่วนครองตลาดแทนซึ่งปัจจุบันก็ใกล้เข้ามาเกือบ 50% แล้ว เกือบจะผูกขาดอยู่เจ้าเดียว
จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ Thre จะต้องมุ่งออกสู่ตลาด CLMV ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตใหม่กับประเทศที่ยังมีการทำประกันวินาศภัยค่อนข้างน้อยต่อไป ซึ่ง Thre กำลังเริ่มทำอยู่
กลยุทธ์ที่สำคัญคือ การเพิ่มจุด Support บริการประกันภัยต่อที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น การให้คำปรึกษาการออกแบบประกันภัยให้กับตลาดแรก ซึ่ง Thre มี ทีมคณิตศาสตร์ประกันภัย ระดับ Fellow 4 คน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนน้อยมาก ๆ เป็นแค่หลักสิบถ้าผมจำไม่ผิดครับ การให้บริการเครมประกันภัยและประกันชีวิตตลอดจนงานบริการอื่น ๆ ผ่านบริษัทลูก และการอบรมให้กับลูกค้า และเนื่องจาก Thre ทำหน้าที่อีกด้านในการทำข้อมูลสถิติประกันภัย Bigdata จึงทำให้มีความได้เปรียบบริษัทประกันทั่วไปที่ทำให้สามารถทราบพฤติกรรมของลูกค้าที่มาใช้บริการ และสถิติการเกิดความสูญเสียในแต่ละปี ซึ่งเป็นข้อมูลที่นำมาใช้ในการพัฒนาบริการด้วย รายได้ส่วนนี้น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นค่าธรรมเนียมตามลำดับ ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่เสียงเท่ากับการทำประกันภัยต่อโดยตรง และมีแนวโน้มที่สูงขึ้น เหมือนธุรกิจธนาคารที่เริ่มทำรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจนขึ้นมาในระดับที่ใกล้เคียงกับรายได้ที่เป็นดอกเบี้ย ซึ่ง Thre น่าจะมีแนวโน้มดำเนินการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมดังกล่าวจนใกล้เคียงกับรายได้ที่มาจากการรับประกันภัยต่อ ซึ่งตรงนี้จะทำให้การเติบโตของรายได้และกำไรของ Thre มีความยั่งยืน และไม่เป็นวัฏจักรเหมือนเช่นกับผลงานในอดีตต่อไป
จากการเก็บตัวเลขในอดีตกับปัจจุบันพบว่า
เบี้ยประกันรับโดยตรงในปี 2556 หลังน้ำท่วมอยู่ที่ 203,021 ล้านบาท เทียบกับปี 2559 อยู่ที่ 215,557 ล้านบาท เติบโตเพียง 6.17% ในช่วง 4 ปี เพราะประกันภัยทรัพย์สินมีการแข่งขันกันตัดราคาค่อนข้างสูง ทั้งที่เดิมปี 2555 เบี้ยประกันรับโดยรวมอยู่ที่ 179,595 ล้านบาท โดยปี 2556 เติบโตปีเดียวสูงถึง 13.04%
เมื่อดูเทียบกับตลาดประกันภัยต่อ พบว่า ปี 2556 ตลาดประกันภัยต่อมีเบี้ยประกันรวมอยู่ที่ 60,706 ล้านบาท โดยเป็นประกันภัยต่อในประเทศ 12,809 ล้านบาท และประกันภัยต่อต่างประเทศ 47,896 ล้านบาท สัดส่วนประกันภัยต่อในประเทศมีขนาดตลาดเท่ากับ 21.10%
สำหรับตลาดประกันภัยต่อในประเทศ 12,809 ล้านบาท เป็นของบริษัท Thre เท่ากับ 4,530 ล้านบาท คิดเป็นส่วนครองตลาด 35.36%
สำหรับปี 2559 ที่ผ่านมา ตลาดประกันภัยต่อมีเบี้ยประกันรวมอยู่ที่ 62,296 ล้านบาท เติบโตไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดประกันภัยโดยตรงเช่นเดียวกัน โดยประกันภัยต่อในประเทศมีขนาดตลาด 12,403 ล้านบาท หดตัวลง สัดส่วนประกันภัยต่อในประเทศมีขนาดตลาดเท่ากับ 19.9% ลดลงเช่นเดียวกัน
สำหรับตลาดประกันภัยต่อในประเทศ 12,403 ล้านบาท เป็นของบริษัท Thre เท่ากับ 5260 ล้านบาท เติบโตมากขึ้นเมื่อเทียบกับ ปี 2556 และยังสามารถเพิ่มส่วนครองตลาดในประเทศเป็น 42.41%
ดังนั้นการเติบโตของ Thre จะต้องทำใน 2 เรื่อง คือ พยายามเพิ่มการขยายตัวของตลาดประกันภัยต่อในประเทศให้มากขึ้น และเพิ่มส่วนครองตลาดภายในประเทศให้สูงขึ้น
แต่เนื่องจากตลาดในประเทศหลายปีที่ผ่านมาไม่ค่อยโต ทำให้ Thre ต้อง เพิ่มส่วนครองตลาดแทนซึ่งปัจจุบันก็ใกล้เข้ามาเกือบ 50% แล้ว เกือบจะผูกขาดอยู่เจ้าเดียว
จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ Thre จะต้องมุ่งออกสู่ตลาด CLMV ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตใหม่กับประเทศที่ยังมีการทำประกันวินาศภัยค่อนข้างน้อยต่อไป ซึ่ง Thre กำลังเริ่มทำอยู่
กลยุทธ์ที่สำคัญคือ การเพิ่มจุด Support บริการประกันภัยต่อที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น การให้คำปรึกษาการออกแบบประกันภัยให้กับตลาดแรก ซึ่ง Thre มี ทีมคณิตศาสตร์ประกันภัย ระดับ Fellow 4 คน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนน้อยมาก ๆ เป็นแค่หลักสิบถ้าผมจำไม่ผิดครับ การให้บริการเครมประกันภัยและประกันชีวิตตลอดจนงานบริการอื่น ๆ ผ่านบริษัทลูก และการอบรมให้กับลูกค้า และเนื่องจาก Thre ทำหน้าที่อีกด้านในการทำข้อมูลสถิติประกันภัย Bigdata จึงทำให้มีความได้เปรียบบริษัทประกันทั่วไปที่ทำให้สามารถทราบพฤติกรรมของลูกค้าที่มาใช้บริการ และสถิติการเกิดความสูญเสียในแต่ละปี ซึ่งเป็นข้อมูลที่นำมาใช้ในการพัฒนาบริการด้วย รายได้ส่วนนี้น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นค่าธรรมเนียมตามลำดับ ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่เสียงเท่ากับการทำประกันภัยต่อโดยตรง และมีแนวโน้มที่สูงขึ้น เหมือนธุรกิจธนาคารที่เริ่มทำรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจนขึ้นมาในระดับที่ใกล้เคียงกับรายได้ที่เป็นดอกเบี้ย ซึ่ง Thre น่าจะมีแนวโน้มดำเนินการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมดังกล่าวจนใกล้เคียงกับรายได้ที่มาจากการรับประกันภัยต่อ ซึ่งตรงนี้จะทำให้การเติบโตของรายได้และกำไรของ Thre มีความยั่งยืน และไม่เป็นวัฏจักรเหมือนเช่นกับผลงานในอดีตต่อไป
แสดงความคิดเห็น
หุ้น ประกันภัย THRE ซื้อเก็บลงทุนระยะยาวได้มั้ยครับ