เราได้ยินกันมานานเรื่อง ครบ ๓๒ ประการ ซึ่งเท่ากับมีอวัยวะหรือร่างกายครบถ้วน ไม่พิการ
แต่คำนี้มาจากไหน
ต้องย้อนไปว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องธาตุที่มีอยู่ในวิชาแพทย์แผนโบราณ ซึ่งกลายเป็นวิชาแพทย์แผนไทยในปัจจุบัน

จารึกเรื่องวิชาแพทย์และร่างกายในวัดพระเชตุพน
ครบ ๓๒ แนวคิดนี้ อยู่ในความรู้ของการแพทย์แบบทฤษฎีธาตุ ซึ่งความรู้เรื่องนี้ โดนวิจารณ์อย่างหนักมาตั้งแต่สมัยในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาจกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ไทยองค์แรกที่วิจารณ์แนวคิดและการรักษาของแพทย์ไทย
อันที่จริง แนวคิดเรื่องธาตุกับการแพทย์ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกวันนี้มีการพัฒนาความรู้และศึกษาในแง่มุมที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่ในสมัยก่อน ยังไม่สามารถหาทางพิสูจน์หรือพยายามที่จะต่อยอดความคิดเรื่องนี้ออกไป จนมันกลายเป้นความเชื่อที่แตะต้องไม่ได้หรือรับสืบต่อๆกันมาโดยไม่มีการตั้งคำถาม
แนวคิดเรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วยของคนไทยโดยเฉพาะในชนบทหรือท้องถิ่นต่างๆที่ยังไม่ได้ยอมรับการแพทย์ตะวันตกได้ทั้งหมดนั้น มีโลกทัศน์มาจากความเชื่อที่ผสมผสานกันระหว่าง ศาสนาพราหมณ์ พุทธ และการนับถือผีบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นตัวกำหนดให้คนไทยมีพฤติกรรมด้านการใช้ชีวิตการดูแลสุขภาพ และการบำบัดรักษาความเจ็บป่วย การรักษาจะเป็นไปตามความเชื่อที่พวกตนมี แม้ว่าการแพทย์ตะวันตกจะเข้ามามีบทบาทในเมืองสยามตั้งแต่สมัยอยุธยา ในสมัยของพระรามาธิบดีที่ ๒ ที่พวกโปรตุเกสเอาขี้ผึ้งในการทาแผลเข้ามาใช้ และการแพทย์ตะวันตกเฟื่องฟูมากในราชำนักของพระนารายณ์มหาราชก็ตาม แต่การแพทย์ตะวันตกก็ยังไมได้เข้าไปแทนที่ความเชื่อดั้งเดิมเหล่านั้นได้ทั้งหมด เพราะสุดท้ายแล้ว ความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของผู้คนในชนบทจำนวนมากก็ยังมีผลมาจากความเชื่อแบบพื้นบ้านอยู่มาก ซึ่งอันที่จริงแล้ว แม้แต่วิชาแพทย์ตะวันตก ก็ไม่ได้หยุดนิ่งตายตัว
สำหรับวิชาแพทย์แผนไทย แนวคิดเรื่องธาตุ เป็นหัวใจสำคัญเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องชีวิตและสุขภาพของคนไทยที่สำคัญ ซึ่งในโลกทัศน์เรื่องธาตุนั้นมีความเชื่อว่าสรรพสิ่งในธรรมชาติประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ได้แก่ ดิน (ปถวีธาตุ) น้ำ (อาโปธาตุ) ลง (วาโยธาตุ) ไฟ (เดโชธาตุ) ในทางพุทธศาสนายังมีอีกสองธาตุคือ อากาศ (อากาสธาตุ) และ ความรู้ (วิญญาณธาตุ) ร่างกายของมนุษย์ก็มีธาตุเหล่านี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานเช่นกัน โดยจำแนกแยกย่อยได้เป็น ธาตุดิน ๒๐ , ธาตุน้ำ ๑๒, ธาตุลม ๖, ธาตุไฟ ๔
ตามความเชื่อนี้ จะถือว่า ธาตุดิน และธาตุน้ำ เป็นธาตุนำที่สำคัญที่สุด หากมีครบรวมกันทั้งหมด จะถือว่าเป็นคนที่มีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์ นี่จึงเป็นที่มาของคำเรียกผู้มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ และมี อวัยวะสมบูรณ์พร้อม ซึ่งเรียกว่า “ครบสามสิบสองประการ” ซึ่งเลขสามสิบสองนี้ หมายถึงการมี ธาตุดิน ๒๐ และ ธาตุน้ำ ๑๒ ครบถ้วนทุกประการนั่นเอง
จากความเชื่อของแพทย์โบราณ ธาตุทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบเป็นร่างกายของมนุษย์ โดยเชื่อว่าแต่ละธาตุนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอตามการกระทำของมนุษย์แต่ละคน หากผู้ใดกระทำชั่ว หรือมีจิตใจคิดร้าย คิดไม่ดี อารมณ์ขุ่นมัว ธาตุในร่างกายก็จะเกิดความผิดปกติ นำไปสู่การลดหย่อนประสิทธิภาพ เกิดกำเริบ ซึ่งจะส่งผลต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย แล้วก็นำไปสู่ความเจ็บป่วยหรือสิ่งไม่ดีต่างๆได้ แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ใดทำความดี คิดดี มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ธาตุเหล่านั้นก็จักให้คุณ แล้วยังมีความเชื่อว่า การมุ่งปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธศาสนา ก็จะช่วยให้ธาตุในร่างกายมีความสะอาดบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส มีพลังในด้านบวก ส่งผลให้มีความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้
ต่อมา เมื่อมิชชันนารีจากตะวันตกได้นำความรู้ทางการแพทย์เข้ามาในสยามตั้งแต่สมัยอยุธยา และในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ได้มีความคิดเห็นขัดแย้งกับทฤษฏีเรื่องธาตุของชาวสยามมาก
โดยเฉพาะแนวคิดที่ว่า ความเจ็บป่วยเกิดจาก “ธาตุลม” ในร่างกายของมนุษย์ ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ หรือที่มักเรียกกันว่า “อาการลมจับ”
ดังนั้นแนวคิดการรักษาจึงอยู่ที่การหาสมุนไพร ยา หรือวิธีการต่างๆมารักษาโดยมีเป้าหมายอยู่ที่การ แก้ลม ไล่ลม ขับลม แล้วยังรวมถึงการบีบและการนวด ซึ่งกลายเป็นวิธีการรักษาโรคแทบทุกชนิดไปโดยปริยาย คำว่า “เป็นลม” จึงเป็นคำเรียกที่คนไทยมักใช้กันเสมอเวลามีอาการเจ็บป่วยในร่างกาย หน้ามืด หรือวิงเวียนศีรษะ แล้วยังส่งผลไปถึงการใช้สมุนไพรและอาหารไทยบางประเภทที่เชื่อว่าสามารถขับลมจากร่างกายได้ด้วย
พระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ ๔
แต่ในช่วงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อมิชชันนารีจากตะวันตกเริ่มเข้ามามากขึ้นพร้อมกับนำความรู้ในวิชาแพทย์แผนใหม่ของตะวันตกเข้ามานั้น ก็ส่งอิทธิพลต่อทัศนะและความคิดของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ อย่างมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับทฤษฎีเรื่องธาตุในวิชาแพทย์แผนไทย ซึ่งทรงแสดงความคิดเห็นว่าไม่เชื่อเรื่องธาตุลมที่เป็นต้นเหตุของทุกโรคเอาเสียเลย ดังที่ทรงแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า
“ตัวข้าพเจ้าไม่เป็นหมอและลัทธิของหมอในบ้านเมืองนี้กับข้าพเจ้าไม่ถูกกัน ที่เขาว่าอย่างหมอว่าตามตำราตามเคยนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เชื่อเลย ด้วยหมอในบ้านเมืองนี้ทั้งหมอนวด หมอยา ตำโรคของเขาก็มีอยู่ ๓ อย่าง คือ สารพัดไข้เป็นของจรมาอย่าง ๑ คือโลหิตอย่าง ๑ คือลมแลเสมหะอย่าง ๑ ก็ซึ่งว่าด้วยไข้เป็นของจรอย่างหนึ่งนั้นพอฟังได้บ้าง แต่ไข้บางอย่างเขาเอามาเรียกเสียว่าลมนั้นก็เป็นอันมาก แต่ข้าพเจ้าถือลัทธิว่าลมไม่มี...”
นี่จึงนับเป็นข้อเขียนแรกๆของพระมหากษัตริย์ที่ทรงแสดงความคิดเห็นและวิจารณ์เรื่องความเชื่อและความรู้ในการแพทย์ไทยแบบดั้งเดิม แต่อย่างไรเสีย ความรู้เรื่องทฤษฎีธาตุก็ได้รับการสืบทอดต่อมาแล้วกระจายไปสู่แพทย์แผนโบราณและยังคงฝังอยู่ในความเชื่อของคนไทยโดยทั่วไป ซึ่งแนวคิดเรื่องธาตนี้ ยังโดนวิจารณ์โดยหมอบรัดเลย์ด้วยเช่นกัน
แต่ปัจจุบัน แนวคิดเรื่องทฤษฎีธาตุกับร่างกาย ก็กลับมาได้รับการยอมรับอีกครั้งสำหรับหลักสูตรในวิชาแพทย์แผนไทยประยุกต์ และเป็นที่สนใจสำหรับการแพทย์ตะวันตกในยุคนี้มาก หลังจากครั้งหนึ่งเคยปฏิเสธและวิจารณ์อย่างรุนแรงมาก่อน และคำว่าครบ ๓๒ ก็ยังคงเป็นแนวคิดของคนไทย ซึ่งนี่จะเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจต่อไปครับ
ทฤษฏีธาตุ ทำไมต้องครบ 32 ประการ รัชกาลที่ 4 ทรงวิจารณ์ความรู้ในวิชาแพทย์แผนโบราณ
แต่คำนี้มาจากไหน
ต้องย้อนไปว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องธาตุที่มีอยู่ในวิชาแพทย์แผนโบราณ ซึ่งกลายเป็นวิชาแพทย์แผนไทยในปัจจุบัน
ครบ ๓๒ แนวคิดนี้ อยู่ในความรู้ของการแพทย์แบบทฤษฎีธาตุ ซึ่งความรู้เรื่องนี้ โดนวิจารณ์อย่างหนักมาตั้งแต่สมัยในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาจกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ไทยองค์แรกที่วิจารณ์แนวคิดและการรักษาของแพทย์ไทย
อันที่จริง แนวคิดเรื่องธาตุกับการแพทย์ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกวันนี้มีการพัฒนาความรู้และศึกษาในแง่มุมที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่ในสมัยก่อน ยังไม่สามารถหาทางพิสูจน์หรือพยายามที่จะต่อยอดความคิดเรื่องนี้ออกไป จนมันกลายเป้นความเชื่อที่แตะต้องไม่ได้หรือรับสืบต่อๆกันมาโดยไม่มีการตั้งคำถาม
แนวคิดเรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วยของคนไทยโดยเฉพาะในชนบทหรือท้องถิ่นต่างๆที่ยังไม่ได้ยอมรับการแพทย์ตะวันตกได้ทั้งหมดนั้น มีโลกทัศน์มาจากความเชื่อที่ผสมผสานกันระหว่าง ศาสนาพราหมณ์ พุทธ และการนับถือผีบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นตัวกำหนดให้คนไทยมีพฤติกรรมด้านการใช้ชีวิตการดูแลสุขภาพ และการบำบัดรักษาความเจ็บป่วย การรักษาจะเป็นไปตามความเชื่อที่พวกตนมี แม้ว่าการแพทย์ตะวันตกจะเข้ามามีบทบาทในเมืองสยามตั้งแต่สมัยอยุธยา ในสมัยของพระรามาธิบดีที่ ๒ ที่พวกโปรตุเกสเอาขี้ผึ้งในการทาแผลเข้ามาใช้ และการแพทย์ตะวันตกเฟื่องฟูมากในราชำนักของพระนารายณ์มหาราชก็ตาม แต่การแพทย์ตะวันตกก็ยังไมได้เข้าไปแทนที่ความเชื่อดั้งเดิมเหล่านั้นได้ทั้งหมด เพราะสุดท้ายแล้ว ความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของผู้คนในชนบทจำนวนมากก็ยังมีผลมาจากความเชื่อแบบพื้นบ้านอยู่มาก ซึ่งอันที่จริงแล้ว แม้แต่วิชาแพทย์ตะวันตก ก็ไม่ได้หยุดนิ่งตายตัว
สำหรับวิชาแพทย์แผนไทย แนวคิดเรื่องธาตุ เป็นหัวใจสำคัญเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องชีวิตและสุขภาพของคนไทยที่สำคัญ ซึ่งในโลกทัศน์เรื่องธาตุนั้นมีความเชื่อว่าสรรพสิ่งในธรรมชาติประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ได้แก่ ดิน (ปถวีธาตุ) น้ำ (อาโปธาตุ) ลง (วาโยธาตุ) ไฟ (เดโชธาตุ) ในทางพุทธศาสนายังมีอีกสองธาตุคือ อากาศ (อากาสธาตุ) และ ความรู้ (วิญญาณธาตุ) ร่างกายของมนุษย์ก็มีธาตุเหล่านี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานเช่นกัน โดยจำแนกแยกย่อยได้เป็น ธาตุดิน ๒๐ , ธาตุน้ำ ๑๒, ธาตุลม ๖, ธาตุไฟ ๔
ตามความเชื่อนี้ จะถือว่า ธาตุดิน และธาตุน้ำ เป็นธาตุนำที่สำคัญที่สุด หากมีครบรวมกันทั้งหมด จะถือว่าเป็นคนที่มีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์ นี่จึงเป็นที่มาของคำเรียกผู้มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ และมี อวัยวะสมบูรณ์พร้อม ซึ่งเรียกว่า “ครบสามสิบสองประการ” ซึ่งเลขสามสิบสองนี้ หมายถึงการมี ธาตุดิน ๒๐ และ ธาตุน้ำ ๑๒ ครบถ้วนทุกประการนั่นเอง
จากความเชื่อของแพทย์โบราณ ธาตุทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบเป็นร่างกายของมนุษย์ โดยเชื่อว่าแต่ละธาตุนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอตามการกระทำของมนุษย์แต่ละคน หากผู้ใดกระทำชั่ว หรือมีจิตใจคิดร้าย คิดไม่ดี อารมณ์ขุ่นมัว ธาตุในร่างกายก็จะเกิดความผิดปกติ นำไปสู่การลดหย่อนประสิทธิภาพ เกิดกำเริบ ซึ่งจะส่งผลต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย แล้วก็นำไปสู่ความเจ็บป่วยหรือสิ่งไม่ดีต่างๆได้ แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ใดทำความดี คิดดี มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ธาตุเหล่านั้นก็จักให้คุณ แล้วยังมีความเชื่อว่า การมุ่งปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธศาสนา ก็จะช่วยให้ธาตุในร่างกายมีความสะอาดบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส มีพลังในด้านบวก ส่งผลให้มีความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้
ต่อมา เมื่อมิชชันนารีจากตะวันตกได้นำความรู้ทางการแพทย์เข้ามาในสยามตั้งแต่สมัยอยุธยา และในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ได้มีความคิดเห็นขัดแย้งกับทฤษฏีเรื่องธาตุของชาวสยามมาก
โดยเฉพาะแนวคิดที่ว่า ความเจ็บป่วยเกิดจาก “ธาตุลม” ในร่างกายของมนุษย์ ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ หรือที่มักเรียกกันว่า “อาการลมจับ”
ดังนั้นแนวคิดการรักษาจึงอยู่ที่การหาสมุนไพร ยา หรือวิธีการต่างๆมารักษาโดยมีเป้าหมายอยู่ที่การ แก้ลม ไล่ลม ขับลม แล้วยังรวมถึงการบีบและการนวด ซึ่งกลายเป็นวิธีการรักษาโรคแทบทุกชนิดไปโดยปริยาย คำว่า “เป็นลม” จึงเป็นคำเรียกที่คนไทยมักใช้กันเสมอเวลามีอาการเจ็บป่วยในร่างกาย หน้ามืด หรือวิงเวียนศีรษะ แล้วยังส่งผลไปถึงการใช้สมุนไพรและอาหารไทยบางประเภทที่เชื่อว่าสามารถขับลมจากร่างกายได้ด้วย
แต่ในช่วงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อมิชชันนารีจากตะวันตกเริ่มเข้ามามากขึ้นพร้อมกับนำความรู้ในวิชาแพทย์แผนใหม่ของตะวันตกเข้ามานั้น ก็ส่งอิทธิพลต่อทัศนะและความคิดของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ อย่างมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับทฤษฎีเรื่องธาตุในวิชาแพทย์แผนไทย ซึ่งทรงแสดงความคิดเห็นว่าไม่เชื่อเรื่องธาตุลมที่เป็นต้นเหตุของทุกโรคเอาเสียเลย ดังที่ทรงแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า
“ตัวข้าพเจ้าไม่เป็นหมอและลัทธิของหมอในบ้านเมืองนี้กับข้าพเจ้าไม่ถูกกัน ที่เขาว่าอย่างหมอว่าตามตำราตามเคยนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เชื่อเลย ด้วยหมอในบ้านเมืองนี้ทั้งหมอนวด หมอยา ตำโรคของเขาก็มีอยู่ ๓ อย่าง คือ สารพัดไข้เป็นของจรมาอย่าง ๑ คือโลหิตอย่าง ๑ คือลมแลเสมหะอย่าง ๑ ก็ซึ่งว่าด้วยไข้เป็นของจรอย่างหนึ่งนั้นพอฟังได้บ้าง แต่ไข้บางอย่างเขาเอามาเรียกเสียว่าลมนั้นก็เป็นอันมาก แต่ข้าพเจ้าถือลัทธิว่าลมไม่มี...”
นี่จึงนับเป็นข้อเขียนแรกๆของพระมหากษัตริย์ที่ทรงแสดงความคิดเห็นและวิจารณ์เรื่องความเชื่อและความรู้ในการแพทย์ไทยแบบดั้งเดิม แต่อย่างไรเสีย ความรู้เรื่องทฤษฎีธาตุก็ได้รับการสืบทอดต่อมาแล้วกระจายไปสู่แพทย์แผนโบราณและยังคงฝังอยู่ในความเชื่อของคนไทยโดยทั่วไป ซึ่งแนวคิดเรื่องธาตนี้ ยังโดนวิจารณ์โดยหมอบรัดเลย์ด้วยเช่นกัน
แต่ปัจจุบัน แนวคิดเรื่องทฤษฎีธาตุกับร่างกาย ก็กลับมาได้รับการยอมรับอีกครั้งสำหรับหลักสูตรในวิชาแพทย์แผนไทยประยุกต์ และเป็นที่สนใจสำหรับการแพทย์ตะวันตกในยุคนี้มาก หลังจากครั้งหนึ่งเคยปฏิเสธและวิจารณ์อย่างรุนแรงมาก่อน และคำว่าครบ ๓๒ ก็ยังคงเป็นแนวคิดของคนไทย ซึ่งนี่จะเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจต่อไปครับ