คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ในการเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชน
ทำได้ในประเทศที่เป็นประชาะธิปไตย
ไม่ว่าประเทศนั้น จะอยู่ในสภาวะรัฐบาลไหน
ไม่ว่ากำลังเกิดการรัฐประหารอยู่หรือไม่
ประชาชนมีสิทธิทำได้
หากประชาชนส่วนใหญ่ร่วมมือกัน
ด้วยวิธีสันติ และอหิงสาธรรม
ใครร้อนมา ควรเย็นกลับ
การเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชน
นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งเรียกกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ได้มีการกำหนดบทบัญญัติรองรับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยให้ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้เป็นครั้งแรก ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน สามารถเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาในการเสนอกฎหมาย[1] และเมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้มีการบัญญัติให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดยกำหนดไว้ในมาตรา 163 โดยได้ลดจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายจาก 50,000 คน เป็นไม่น้อยกว่า 10,000 คน เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้สิทธิของประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายให้สะดวกขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามสิทธิและหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือว่าเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ดังนั้น อำนาจสูงสุดภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นอำนาจที่มาจากประชาชน การเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชนจึงเป็นกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง
วิธีการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้วิธีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายไว้ โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมายตามที่กำหนดในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องดำเนินการหลักเกณฑ์และวิธีการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
วิธีการยื่นคำขอเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย
วิธีการยื่นคำขอเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ให้ผู้เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายลงลายมือในแบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อ ที่อยู่ ลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย (แบบฟอร์ม ข.ก.1) และแบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้แทนการเสนอร่างกฎหมาย (แบบฟอร์ม ข.ก.3) โดยกรอกข้อมูลตามที่ระบุไว้ให้ครบถ้วนชัดเจน พร้อมเอกสารประกอบการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ดังนี้
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรประจำตัวประชาชนที่หมดอายุ หรือบัตรหรือหลักฐานอื่นใดของทางราชการที่มีรูปถ่ายสามารถแสดงตนได้
2. สำเนาทะเบียนบ้าน โดยเอกสารดังกล่าวต้องเป็นเอกสารที่มีความชัดเจน และเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบ
ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย
ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ได้แก่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และจะต้องไม่เป็นผู้เสียสิทธิตาม[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554]] ทั้งนี้ เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายโดยถูกต้องแล้วจะถอนชื่อภายหลังมิได้
รูปแบบของร่างกฎหมายที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณา
ร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาต้องมีหลักการเกี่ยวกับเรื่องที่บัญญัติไว้ในกฎหมายในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยแบ่งเป็นมาตราที่ชัดเจน และต้องมีบันทึกประกอบดังต่อไปนี้[3]
1. หลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ
2. เหตุผลในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ
3. บันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
การพิจารณาร่างกฎหมายที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ
เมื่อมีการตรวจสอบความถูกต้องของการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอแล้วหากถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย .ศ. 2556 แล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องอนุญาตบรรจุระเบียบวาระการประชุมร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอนั้นเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฏร ในการพิจารณาตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ได้กำหนดว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้กระทำเป็น 3 วาระตามลำดับ ในวาระที่หนึ่งเป็นขั้นรับหลักการ ในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ในวาระที่สามเป็นการให้ความเห็นชอบ และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบแล้ว จะเสนอวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งวุฒิสภาก็จะพิจารณาเป็นสามวาระเช่นเดียวกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติให้ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้น ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติและคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดด้วย จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ จะต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติในที่ประชุมสภาและหากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาจะต้องให้ตัวแทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย
ผมไม่ทราบที่มานะครับ เพราะเนื้อหานี้ไม่ได้เรียบเรียงเอง
ทำได้ในประเทศที่เป็นประชาะธิปไตย
ไม่ว่าประเทศนั้น จะอยู่ในสภาวะรัฐบาลไหน
ไม่ว่ากำลังเกิดการรัฐประหารอยู่หรือไม่
ประชาชนมีสิทธิทำได้
หากประชาชนส่วนใหญ่ร่วมมือกัน
ด้วยวิธีสันติ และอหิงสาธรรม
ใครร้อนมา ควรเย็นกลับ
การเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชน
นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งเรียกกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ได้มีการกำหนดบทบัญญัติรองรับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยให้ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้เป็นครั้งแรก ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน สามารถเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาในการเสนอกฎหมาย[1] และเมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้มีการบัญญัติให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดยกำหนดไว้ในมาตรา 163 โดยได้ลดจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายจาก 50,000 คน เป็นไม่น้อยกว่า 10,000 คน เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้สิทธิของประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายให้สะดวกขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามสิทธิและหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือว่าเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ดังนั้น อำนาจสูงสุดภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นอำนาจที่มาจากประชาชน การเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชนจึงเป็นกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง
วิธีการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้วิธีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายไว้ โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมายตามที่กำหนดในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องดำเนินการหลักเกณฑ์และวิธีการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
วิธีการยื่นคำขอเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย
วิธีการยื่นคำขอเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ให้ผู้เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายลงลายมือในแบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อ ที่อยู่ ลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย (แบบฟอร์ม ข.ก.1) และแบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้แทนการเสนอร่างกฎหมาย (แบบฟอร์ม ข.ก.3) โดยกรอกข้อมูลตามที่ระบุไว้ให้ครบถ้วนชัดเจน พร้อมเอกสารประกอบการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ดังนี้
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรประจำตัวประชาชนที่หมดอายุ หรือบัตรหรือหลักฐานอื่นใดของทางราชการที่มีรูปถ่ายสามารถแสดงตนได้
2. สำเนาทะเบียนบ้าน โดยเอกสารดังกล่าวต้องเป็นเอกสารที่มีความชัดเจน และเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบ
ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย
ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ได้แก่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และจะต้องไม่เป็นผู้เสียสิทธิตาม[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554]] ทั้งนี้ เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายโดยถูกต้องแล้วจะถอนชื่อภายหลังมิได้
รูปแบบของร่างกฎหมายที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณา
ร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาต้องมีหลักการเกี่ยวกับเรื่องที่บัญญัติไว้ในกฎหมายในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยแบ่งเป็นมาตราที่ชัดเจน และต้องมีบันทึกประกอบดังต่อไปนี้[3]
1. หลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ
2. เหตุผลในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ
3. บันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
การพิจารณาร่างกฎหมายที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ
เมื่อมีการตรวจสอบความถูกต้องของการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอแล้วหากถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย .ศ. 2556 แล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องอนุญาตบรรจุระเบียบวาระการประชุมร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอนั้นเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฏร ในการพิจารณาตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ได้กำหนดว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้กระทำเป็น 3 วาระตามลำดับ ในวาระที่หนึ่งเป็นขั้นรับหลักการ ในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ในวาระที่สามเป็นการให้ความเห็นชอบ และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบแล้ว จะเสนอวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งวุฒิสภาก็จะพิจารณาเป็นสามวาระเช่นเดียวกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติให้ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้น ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติและคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดด้วย จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ จะต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติในที่ประชุมสภาและหากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาจะต้องให้ตัวแทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย
ผมไม่ทราบที่มานะครับ เพราะเนื้อหานี้ไม่ได้เรียบเรียงเอง
แสดงความคิดเห็น
"รักร่วมเพศ" "จดทะเบียนสมรสได้"คิดเห็นกันอย่างไรเห็นด้วยไหม และลองมาดูประโยชน์ของทะเบียนสมรสและเสวนาเรื่องนี้ดูครับ ผหด.
ผมเลยจะขอชี้แจงนะครับ ว่า ผมเป็นคนที่เรียนภาษาไทย และใช้เฉพาะคำไทยโบราณกับคำบาลีสันสกฤตแท้ และคำไทย ตามพจนานุกรมเท่านั้น ไม่ได้ใช้ความหมายจากการตีความของปัญญาผู้อื่น ดังนั้น จะหาผมอิงตำราก็ได้ เพราะผมมองว่าความเห็นของผมนี้ต้องเป็นกลางเพื่อลดความขัดแย้งทางการเหลื่อมล้ำทางสังคม GLBT ให้มากที่สุด ดังนั้น ผมจะขอชี้แจงดังนี้
หัวขอกระทู้ ผมตั้ง ว่า รักร่วมเพศ
คำว่า รักร่วมเพศ ในที่นี้ หมายถึง คนที่รักเพศเดียวกัน มาจากคำว่า
รัก ที่แปลว่า ความรัก
ร่วม หมายถึง มีส่วนรวมในภาวะหรือสถานะเดียวกัน เช่น เพศชายกับเพศชาย เพศหญิงกับเพศหญิง ร่วมกัน
เพศ หมายถึง รูปที่แสดงให้รู้ว่าหญิงหรือชาย (เพศทางกายภาพ)
ผมไม่ได้หมายถึง รักร่วมเพศ ตามความเข้าใจผิดๆ ทางสังคม ที่เข้าใจว่า ร่วมเพศ คือการ เย็-- กัน
ซึ่งการเย็-- กัน สำหรับผม ไม่ได้เรียกว่าร่วมเพศ แต่เรียกว่า การมีเพศสัมพันธ์ หรือการสมสู่ทางกาม และการมีเซ็กส์
เข้าใจนะครับ ผมไม่อยากให้เกย์ด้วยกันหลายท่านมาแย้งผมเพียงเพราะหัวกระทู้ที่ขึ้นว่านรักร่วมเพศ ผมต้องทำให้เพศอื่นๆ เข้าใจ ดังนั้น อย่าว่ากัน GLBT ด้วยกัน รักกันดีกว่าครับ*
ส่วนตัวแล้ว ผมเห้นด้วย มาก ถึงมากที่สุด และสนับสนุนให้กฎหมายนี้สำเร็จอย่างเต็มที่
ใครเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร คอมเม้นส์เลยครับผม
และหากใครสนับสนุน ขอให้ช่วยกันดันนะครับ
ไม่ใช่คอมเม้นส์หด. แต่ท้อไม่ทำ ก็ไม่ได้อะไรเลยอ่า
ประเด็นของผมพูดึงทะเบียนสมรสชายหญิง หญิงชาย กับชายชาย หญิงหญิงครับ
หากท่าน ได้ลองศึกษากฎหมายครอบครัว คุณจะพบว่า
จุดประสงค์เกือบทั้งหมดของการจดทะเบียนสมรส
คือการ ‘สร้างทั้งสิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส’
“เพื่อรองรับการมีบุตร และเพื่อรับประกันสวัสดิภาพ
ไม่ให้เกิดปัญหากับตัวบุตรในภายภาคหน้า
เป็นหลักประกันไม่ให้เกิดปัญหาสังคม”
นอกนั้นคือการรับประกันเรื่องสวัสดิภาพของคู่สมรสเช่นเรื่องของสินสมรส การเบิกค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น.....
มีสมาชิกบางท่าน ได้บอกเอาไว้ว่า
“คู่สมรสเพศเดียวกันไม่สามารถมีบุตรได้อยู่แล้ว ก็ไม่เห็นจะต้องมีทะเบียนสมรสเลย” (บุตรที่พวกเขายกตัวอย่างมา ว่า คู่สมรสเพศที่สามไม่สามารถมีได้ที่ว่านี้ คือบุตรที่เป็นสายเลือดของทั้งคู่โดยตรง ไม่ใช่บุตรบุญธรรมหรือบุตรนอกกฎหมายนะครับ)
ดังนั้นนักกฎหมาย ‘บางท่าน'
*จึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการมีทะเบียนสมรสหรือทะเบียนคู่ชีวิตเพศเดียวกันเท่าไหร่*
ซึ่งหากจะถามแล้ว เขาก็มีเหตุผลของเขา
ที่ไม่สนับสนุนกฎหมายทะเบียนสมรสเพศเดียวกัน
(“เพราะในกรณีเรื่องของสินสมรส ก็ไม่จำเป็นต้องมีทะเบียนสมรสก็ได้
เพราะกฎหมายสามารถมีพันธะนิติกรรมสัญญาเพื่อเป็นเจ้าของร่วมก็ทำได้
ไม่จำเป็นที่จะต้องมีทะเบียนสมรสเพื่อเป็นหลักประกันทางทรัพย์สินเลย”
นี่คือเหตุผลที่นักกฎหมายบางท่านไม่เห็นด้วย พิลึกพิลั่นไหมล่ะ)
ซึ่งความจริงแล้ว การเป็นเจ้าของร่วมมันครอบคลุม
เรื่องของสินทรัพย์เท่านั้นครับ ผมจะถึงบอกว่า ไม่เกี่ยวกับทะเบียนหรือสินสมรส
ดังนั้น-อย่าเอามาปนกันครับ555
เป็นเกย์
ดังนั้นจึงมีความคิดเห็นกว้างขวาง
เพราะศึกษากฎหมาย และเข้าใจวัตถุประสงค์
รวมถึง ประโยชน์และโทษของกฎหมายอยู่มาก
ซึ่งถ้าหากนักกฎหมายหลายท่าน จะมองว่า
การมีทะเบียนสมรสนั้นมันสำคัญแค่การรับรองบุตรเท่านั้น
ท่านก็คงเป็นนักกฎหมายที่ไม่ได้เรื่อง
หรือไม่ก็ศึกษากฎหมายไม่ถ่องแท้
และไม่เข้าใจ ถึงมาตราตามข้อกฎหมาย
ที่กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆแห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ
ทั้งนี้การตีความกฎหมายของนักกฎหมายในประเทศไทยก็ยังไม่ยอมรับเพศที่สามอยู่มาก
เพราะอะไรรู้ไหมครับ
** เพราะนักกฎหมายหลายท่านยังมีการเหยียดเพศกันอยู่ **
"จึงเกิดการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นในสังคมโดยที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงความคิดอันไร้ซึ่งมนุษยธรรมของคนเหล่านี้ได้เลย"
ทั้งนี้ด้วยความที่ผมเป็นนักกฎหมายผมจึงจะกล่าวถึงประเด็นเรื่องนี้ครับ
ในการมีทะเบียนสมรส มันไม่ได้เป็นแค่หลักประกันในการรับรองบุตรเท่านั้น
แต่มันยังทำให้สามีภรรยาหรือคู่ชีวิตตามกฎหมายซึ่งมีกฎหมายรับรองใช้ยึดถือเป็นหลักประกัน
*** ในการรับรองว่าคนสองคนนี้ถือเป็นบุคคลคนเดียวกัน ***
ทั้งนี้มันยังมีอีกหลายประการ ที่ทะเบียนสมรส จะเป็นหลักประกันและเป็นหลักฐาน ซึ่งกฎหมายรับรองให้บางส่วน
ทั้งจะ เกิดประโยชน์ กับคู่รักที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาแต่งานนม
และได้สร้างหลักสร้างฐานชีวิตมา ด้วยกัน
ทั้งนี้ประโยชน์ของการมีทะเบียนสมรส ไม่ว่าจะในเพศเดียวกัน
หรือ ทะเบียนสมรสต่างเพศ จะสามารถควบคุมสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย
เช่น หากฝ่ายสามีหรือภรรยา หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของคู่ชีวิตเป็นข้าราชการ
****ก็จะมีสิทธิ์ ในการเบิกค่านักษาพยาบาลของคู่สมรส****
หมายเหตุ: แต่ในกรณีที่สองคนนี้รับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง
กฎหมายจะไม่รองรับบุตรบุญธรรมให้เบิกค่าเล่าเรียนหรือค่ารักษาพยาบาลนะครับ
คุณ อาจจะต้องใช้สิทธิ์บัตรทองแทน ซึ่งก็เป็นสิทธิและหลักประกันสุขภาพประชาชนที่ดีอันรองรับสังคมในประเทศไทยที่ยากจน
ทั้งนี้ ยังมีเรื่องของทรัพย์สิน ที่ถือเป็นสินสมรส ของทั้งคู่
ซึ่งหากเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
ตามมาตราที่บัญญัติไว้ในเรื่องทายาทโดยธรรม ในการรับมรดก
ก็จะไม่รับรองให้คู่ชีวิต ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
หรือสามีภรรยานอกกฎหมาย จะไม่ได้สิทธิ์ในการรับมรดกด้วย เช่นกัน
ทั้งนี้หากคู่สมรสตาย ทรัพย์สินก็จะตกไปอยู่ กับทายาทโดยธรรม 6 ลำดับ
ซึ่งบุคคลพวกนี้ ก็จะมาฉวยโอกาส
เอาทรัพย์สิน ที่เขาสองคนสร้างมาด้วยกันไป
ซึ่งบางที ในทรัพย์ส่วนตรงนี้ อาจจะใช้การเป็นเจ้าของร่วมได้
แต่ในเรื่องของเงินสด มันเป็นเจ้าของร่วมกันไม่ได้นะครับ ต้องเข้าใจ
ทั้งนี้ ด้วยความที่ผมเป็นเพศที่สาม ผมจึงอยากจะเสนอกฎหมายนี้ ให้ได้รับการรับรอง
เพื่อให้เพศที่ 3 หรือคนรักร่วมเพศ ได้มีหลักประกันทางสังคม
ในการใช้ชีวิตร่วมกันกับคู่รักของตน ซึ่งหากคนจะมองว่า
จะเรียกร้องกฎหมายเพื่อกลุ่มคนคนเดียวไปทำไม
ผมก็จะขอบอกว่า มันไม่ใช่การ เรียกร้องกฎหมายเพื่อกลุ่มคนเพียงกลุ่มคนเดียว
แต่มันเป็นการเรียกร้อง สิทธิตามกฎหมาย
ซึ่งกฎหมายจะต้องรับรองและคุ้มครองให้ประชาชนทุกคน
อันเป็นความสามารถที่ทุกคนพึงได้รับตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ หากใครจะค้านผม ผมไม่ถือโทษโกรธ คนเราคิดไม่เหมือนกัน
ทนายปภพ