เนื่องจากการใช้เงินสดมีต้นทุนหลายอย่างทั้งค่าใช้จ่ายในการผลิต การขนส่ง การเก็บรักษา ความเสี่ยงต่อการสูญหาย รวมถึงเอกสารธุรกรรมการเงินต่างๆ ระบบการชำระเงินของโลกทุกวันนี้จึงมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน คือ การลดใช้เงินสดและพัฒนาการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มาทดแทน
เทคโนโลยีการชำระเงินมีทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิตและ Mobile payment ต่างๆ บัตรเครดิตนั้นต้องมีการสมัครไม่ว่าจะด้วยเกณฑ์เงินเดือนขั้นต่ำ(บวกอายุงานอีก) เกณฑ์ผู้มีเงินออมหรือการเปิดบัญชีฝากค้ำ ผู้ที่มีโอกาสใช้บัตรเครดิตจึงอยู่ในวงจำกัด ไม่เหมือนบัตรเดบิตที่เพียงเปิดบัญชีธนาคารก็สามารถสมัครบัตรได้ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน/นักศึกษามหาวิทยาลัย กลุ่มคนเริ่มทำงานไม่นานหรือกลุ่มบุคคลทั่วไป ผู้ที่ครอบครองบัตรเดบิตจึงมีมากกว่า ปัจจุบันคนไทยมีบัตรเดบิตประมาณ 54 ล้านใบ คือเยอะมากกกกก แต่ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้เป็นบัตรเอทีเอ็มกดเงินสดออกมาใช้เท่านั้น จึงอยากเชิญชวนให้มาใช้บัตรเดบิตในชีวิตประจำวันแทนเงินสดเพื่อส่งเสริมการใช้ e-Payment และลดการใช้เงินสดในภาพรวมใหญ่ทั่วประเทศ
ข้อดีของการใช้บัตรเดบิตเท่าที่ผมนึกออกคือ
ไม่ต้องพกเงินสดให้เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมหรือทำเงินหาย
ไม่จำเป็นต้องหาธนบัตรหรือเหรียญมาจ่าย ตัดปัญหาความวุ่นวายในการนับเงิน หรือ ทอนเงินผิด และช่วยเราได้ถ้ามีเงินสดไม่พอในขณะนั้น ไม่ต้องเดินตามหาตู้ ATM
ไม่เป็นหนี้ไม่มีปัญหาการใช้เงินเกินตัวเพราะเป็นการหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของเราเองนั่นคือ มีเท่าไหร่ก็ใช้ได้เท่านั้นเรียกว่าเป็นการใช้แทนเงินสดจริงๆ ต่างกับบัตรเครดิตที่รูดแล้วค่อยจ่ายทีหลังซึ่งหากผู้ถือบัตรมีเงินไม่พอชำระตามจำนวนที่เรียกเก็บหรือจ่ายเกินวันครบกำหนดก็จะมีดอกเบี้ยตามมา (บริษัทข้อมูลเครดิตพบว่า ครึ่งหนึ่งของคนอายุประมาณ 30 มีหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้สินเชื่ออุปโภคบริโภค และ/หรือหนี้บัตรเครดิต) เพื่อเป็นการส่งเสริมวินัยทางการเงินการใช้บัตรเดบิตจะเหมาะสมกว่านะครับ
สามารถใช้จ่ายทางออนไลน์ได้ด้วยอย่างเว็บไซต์ยอดนิยมเช่น www.lazada.co.th , www.looksi.com , www.central.co.th เป็นต้น
สามารถดูรายการการใช้จ่ายต่างๆ ได้ง่ายๆผ่าน Mobile banking application ของธนาคารจะได้รู้ว่าเราใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง สะดวกต่อการวางแผนการใช้เงินครับ
เรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน บัตรเดบิตมีชิปการ์ดช่วยป้องกันการคัดลอกข้อมูลได้ครับ
เชื่อว่าตอนนี้ผู้ถือบัตรเดบิตคงเริ่มอยากใช้บัตรแทนเงินสดแล้วล่ะ แต่ๆๆ ทางร้านค้าล่ะพร้อมรับบัตรเดบิตกันหรือยัง? การรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดต้นทุนจัดการเงินสดและเช็คของร้านค้า โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจากการใช้เงินสด ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ แต่ร้านค้าจะมีภาระค่าธรรมเนียมการรับบัตรเพิ่มขึ้นมาอุปกรณ์รับชำระเงินผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่อง EDC จึงยังไม่แพร่หลาย โครงการ National e-Payment ของรัฐบาลจึงช่วยเหลือเรื่องนี้โดยกำหนดให้ร้านค้าเสียค่าธรรมเนียมไม่เกิน 0.55% สำหรับการรับบัตรเดบิต นั่นก็คือการซื้อสินค้าราคา 100 บาท จะมีค่าธรรมเนียมการรับบัตรเดบิตซึ่งธนาคารเรียกเก็บจากร้านค้าไม่เกิน 55 สตางค์ (จากเดิมที่ธนาคารเรียกเก็บจากร้านค้าในอัตรา 1.5-2.5%) นอกจากนี้ร้านค้าไม่ต้องเสียค่าเช่าหรือค่าติดตั้งอุปกรณ์ อีกด้วย (อาจมีค่ามัดจำ ประกันอุปกรณ์เสียหาย) กรณีรับบัตรเครดิตจะเสียค่าธรรมเนียมสูงกว่าที่ 2-3% ตามระดับของบัตรเครดิต
ถนนทุกสายมุ่งสู่สังคมไร้เงินสดร้านไหนไม่มีเครื่อง EDC จะตกเทรนด์เอานะครับ
นอกจากร้านค้า ในอีกด้านประมาณกันยายนนี้จะเริ่มติดตั้งเครื่อง EDC ให้หน่วยงานราชการต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วยหมายความว่าเมื่อมาใช้บริการภาครัฐ ก็จะสามารถชำระเงินด้วยบัตรได้แล้ว
หยิบบัตรเดบิตในกระเป๋าสตางค์ของคุณออกมาใช้แทนเงินสดกันเถอะ
เทคโนโลยีการชำระเงินมีทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิตและ Mobile payment ต่างๆ บัตรเครดิตนั้นต้องมีการสมัครไม่ว่าจะด้วยเกณฑ์เงินเดือนขั้นต่ำ(บวกอายุงานอีก) เกณฑ์ผู้มีเงินออมหรือการเปิดบัญชีฝากค้ำ ผู้ที่มีโอกาสใช้บัตรเครดิตจึงอยู่ในวงจำกัด ไม่เหมือนบัตรเดบิตที่เพียงเปิดบัญชีธนาคารก็สามารถสมัครบัตรได้ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน/นักศึกษามหาวิทยาลัย กลุ่มคนเริ่มทำงานไม่นานหรือกลุ่มบุคคลทั่วไป ผู้ที่ครอบครองบัตรเดบิตจึงมีมากกว่า ปัจจุบันคนไทยมีบัตรเดบิตประมาณ 54 ล้านใบ คือเยอะมากกกกก แต่ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้เป็นบัตรเอทีเอ็มกดเงินสดออกมาใช้เท่านั้น จึงอยากเชิญชวนให้มาใช้บัตรเดบิตในชีวิตประจำวันแทนเงินสดเพื่อส่งเสริมการใช้ e-Payment และลดการใช้เงินสดในภาพรวมใหญ่ทั่วประเทศ
ข้อดีของการใช้บัตรเดบิตเท่าที่ผมนึกออกคือ
ไม่ต้องพกเงินสดให้เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมหรือทำเงินหาย
ไม่จำเป็นต้องหาธนบัตรหรือเหรียญมาจ่าย ตัดปัญหาความวุ่นวายในการนับเงิน หรือ ทอนเงินผิด และช่วยเราได้ถ้ามีเงินสดไม่พอในขณะนั้น ไม่ต้องเดินตามหาตู้ ATM
ไม่เป็นหนี้ไม่มีปัญหาการใช้เงินเกินตัวเพราะเป็นการหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของเราเองนั่นคือ มีเท่าไหร่ก็ใช้ได้เท่านั้นเรียกว่าเป็นการใช้แทนเงินสดจริงๆ ต่างกับบัตรเครดิตที่รูดแล้วค่อยจ่ายทีหลังซึ่งหากผู้ถือบัตรมีเงินไม่พอชำระตามจำนวนที่เรียกเก็บหรือจ่ายเกินวันครบกำหนดก็จะมีดอกเบี้ยตามมา (บริษัทข้อมูลเครดิตพบว่า ครึ่งหนึ่งของคนอายุประมาณ 30 มีหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้สินเชื่ออุปโภคบริโภค และ/หรือหนี้บัตรเครดิต) เพื่อเป็นการส่งเสริมวินัยทางการเงินการใช้บัตรเดบิตจะเหมาะสมกว่านะครับ
สามารถใช้จ่ายทางออนไลน์ได้ด้วยอย่างเว็บไซต์ยอดนิยมเช่น www.lazada.co.th , www.looksi.com , www.central.co.th เป็นต้น
สามารถดูรายการการใช้จ่ายต่างๆ ได้ง่ายๆผ่าน Mobile banking application ของธนาคารจะได้รู้ว่าเราใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง สะดวกต่อการวางแผนการใช้เงินครับ
เรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน บัตรเดบิตมีชิปการ์ดช่วยป้องกันการคัดลอกข้อมูลได้ครับ
เชื่อว่าตอนนี้ผู้ถือบัตรเดบิตคงเริ่มอยากใช้บัตรแทนเงินสดแล้วล่ะ แต่ๆๆ ทางร้านค้าล่ะพร้อมรับบัตรเดบิตกันหรือยัง? การรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดต้นทุนจัดการเงินสดและเช็คของร้านค้า โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจากการใช้เงินสด ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ แต่ร้านค้าจะมีภาระค่าธรรมเนียมการรับบัตรเพิ่มขึ้นมาอุปกรณ์รับชำระเงินผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่อง EDC จึงยังไม่แพร่หลาย โครงการ National e-Payment ของรัฐบาลจึงช่วยเหลือเรื่องนี้โดยกำหนดให้ร้านค้าเสียค่าธรรมเนียมไม่เกิน 0.55% สำหรับการรับบัตรเดบิต นั่นก็คือการซื้อสินค้าราคา 100 บาท จะมีค่าธรรมเนียมการรับบัตรเดบิตซึ่งธนาคารเรียกเก็บจากร้านค้าไม่เกิน 55 สตางค์ (จากเดิมที่ธนาคารเรียกเก็บจากร้านค้าในอัตรา 1.5-2.5%) นอกจากนี้ร้านค้าไม่ต้องเสียค่าเช่าหรือค่าติดตั้งอุปกรณ์ อีกด้วย (อาจมีค่ามัดจำ ประกันอุปกรณ์เสียหาย) กรณีรับบัตรเครดิตจะเสียค่าธรรมเนียมสูงกว่าที่ 2-3% ตามระดับของบัตรเครดิต
ถนนทุกสายมุ่งสู่สังคมไร้เงินสดร้านไหนไม่มีเครื่อง EDC จะตกเทรนด์เอานะครับ
นอกจากร้านค้า ในอีกด้านประมาณกันยายนนี้จะเริ่มติดตั้งเครื่อง EDC ให้หน่วยงานราชการต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วยหมายความว่าเมื่อมาใช้บริการภาครัฐ ก็จะสามารถชำระเงินด้วยบัตรได้แล้ว