สวัสดีค่ะ มาพบกันอีกครั้งนะคะกับการรีวิวการท่องเที่ยวทริปสั้นๆของเราค่ะ
รอบนี้เป็นคิวของประเทศแอฟริกาใต้ค่ะ Kruger National Park เดิมทีจอยจะต้องไป Cape Town ต่อค่ะ แต่ผู้ร่วมเดินทางของจอยป่วยหนักจนต้องเดินทางกลับไทยอย่างด่วนที่สุด เลยทำให้ทริปนี้เราได้ไปแค่ Kruger 3 วันเท่านั้นเองค่ะ แต่ก็เป็น 3 วันที่มีความหมายสำหรับเราทีเดียวค่ะ ไปค่ะ เตรียมออกเดินทางกันเลยค่ะ
ข้อควรรู้และการเตรียมตัว
ประเทศแอฟริกาใต้เป็นประเทศพัฒนาแล้วนะคะ บางท่านอาจจะยังติดภาพ เห็นเป็นชื่อแอฟริกา อาจจะคิดว่าเป็นประเทศกันดารๆค่ะ แต่ไม่จริงนะคะ บ้านเขาเจริญมากๆค่ะ เมืองหลวงในแอฟริกาใต้มีสามเมืองค่ะ ได้แก่ Cape Town (เมืองหลวงฝ่ายนิติบัญญัติ) Pretoria (ฝ่ายบริหาร) Bloemfontein (ฝ่ายศาล) เมืองใหญ่ที่สุดคือ Johannesburg เป็นเมืองแหล่งเศรษฐกิจใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่มาที่แอฟริกาใต้จะมาแลนดิ้งที่เมืองนี้ค่ะ สนามบิน O.R. Tambo สนามบินหลักค่ะ โจฮันเนสเบิร์กเป็นเมืองที่ติดอันดับต้นๆของโลกในเรื่องอาชกรรมค่ะ ใครที่จะมาแนะนำให้เตรียมตัวให้พร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยนะคะ อาทิเช่นการแยกเงินหลายส่วน ใช้ Money Belt ก็อปปี้เอกสารสำคัญทุกอันไม่ว่าจะเป็นพาสสปอร์ต หรืออะไรก็แล้วแต่ อีกวิธีที่แนะนำคือเมลล์เอกสารสำคัญเข้าอีเมลล์ตัวเองด้วยค่ะ เราจะได้สามารถโหลดและปริ้นในที่ๆเราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ค่ะ สำหรับคนไทยฟรีวีซ่า 30 วันค่ะ
ฤดูในแอฟริกาใต้มี 4 ฤดู
-ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน – พฤศจิกายน
-ฤดูร้อน ธันวาคม – กุมภาพันธ์
-ฤดูใบไม้ร่วง มีนาคม – พฤษภาคม
-ฤดูหนาว มิถุนายน – สิงหาคม
เราเดินทางวันที่ 17-20 มิถุนายน ที่ผ่านมาค่ะ อยู่ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งหนาวมากๆๆ ย้ำว่ามากค่ะ เตรียมเสื้อกันหนาวไปหนาๆ ขนเป็ด ถุงมือ ผ้าพันคอไปเลยค่ะ โดยเฉพาะในครูเกอร์ระหว่างการส่องสัตว์จะหนาว ยิ่งเย็นยิ่งหนาว อุณหภูมิโดยประมาณที่เราอยู่ที่นั่นคือ 8-13 องศาค่ะ ยิ่งมืดก็จะต่ำกว่านั้นค่ะ
การใช้โทรศัพท์ จอยเลือกที่จะเปิดโรมมิ่งไปจากประเทศไทยเลยค่ะ เพราะกลัวฉุกเฉินและติดต่ออะไรไม่ได้ค่ะ ซึ่งราคาก็ค่อนข้างแพงทีเดียว สามารถเช็คได้กับเครือข่ายมือถือเลยค่ะ ของจอยจะเชื่อมกับ Vodacom เป็นค่ายใหญ่ของที่นั่นเลยค่ะ มี shop อยู่ในสนามบินหลายที่ค่ะ หาไม่ยาก ไปซื้อซิมที่นั่นใช้ก็ได้ น่าจะถูกกว่าการเปิดโรมมิ่งไปค่ะ สัญญาณก็ใช้ได้เลยค่ะถ้าอยู่ตามเมืองก็มี 4G ออกรอบนอกก็ 3G บ้าง 4G บ้าง สัญญาณขาดหายบ้างเวลาผ่านช่องเขาหรือเข้าไปในป่าค่ะ ในครูเกอร์มีสัญญาณค่ะ แต่ก็มีบางจุดอับสัญญาณเช่นกันค่ะ
สายการบินที่จอยใช้บริการในรอบนี้คือสายการบิน Emirates ค่ะ ราคาค่าตั๋วอยู่ที่ 30000 นิดๆค่ะ ไปกลับ ชั้นประหยัด เช็คตั๋วผ่าน skyscanner เช่นเคย และซื้อตั๋วผ่านเอเจ้น Gotogate ซึ่งไม่โอเคเท่าไหร่ค่ะ ไม่มีสำนักงานในไทย ต้องโทรติดต่อผ่านสำนักงานในต่างประเทศและดำเนินการช้ามาก ราคาค่าตั๋วในขณะจองอยู่ที่ 29700 บาทต่อ 1 คน หรือ 1682 usdต่อ 2 คน เรียกเก็บเป็น usd ยอดจริงจากใบแจ้งหนี้เป็นคนละ 30000 นิดๆ มีส่วนต่าง 1200 ค่ะ เดาว่าอาจจะมาจากการผันแปลเรทดอลลาร์ ณ วันตัดบัตรกระมังคะ
แรกเริ่มเดิมทีเราบินเวลา 18.05 ถึงดูไบ 21.35 ต่อเครื่องไปโจเบิร์ก 23.25 ถึงโจเบิร์ก 05.35 วันที่ 18 ซึ่งเป็นเวลาที่ค่อนข้างฟิก เพราะทัวร์จะมารับเรา 9.00 ค่ะ
แต่ไฟล์ทจากไทยนั้นมีการยกเลิกค่ะ ละย้ายเวลาเราไปบิน 21.25 จะถึงโจเบิร์กประมาณ 10 โมงเช้า ซึ่งไม่ได้ค่ะ ทัวร์มารับ 9.00 เราเลยขอเปลี่ยนไฟล์ทกับ Gotogate ขอเปลี่ยนเป็นบินออกจากไทย 15.50 ไวขึ้น รอต่อเครื่องนานขึ้น แต่ได้บินไปโจเบิร์กไฟล์ทเดิมและไม่กระเทือนงานค่ะ ซึ่งดำเนินการช้ามาก เราเลยติดต่อผ่านเอมิเรตส์ไทยแลนด์สะดวกและไวกว่ามากค่ะ แต่แล้วด้วยยังไงไม่รู้ไฟล์ท 15.50 ของเราถูกยกเลิกอีกครั้ง เราโดนดันไป 21.25 เช่นเคยซึ่งมันไม่ได้ค่ะ เลยคุยกับเอมิเรตส์อีกที ได้ความว่าไฟล์ทไม่มีแล้วค่ะ ถ้าจะบินจากดูไบไปโจเบิร์กไฟล์ทเดิม คือ EK767 จะต้องบินจากไทย 9.55 วันที่ 17 รอต่อเครื่อง 10 ชม. และไม่มีทางเลือกอื่นค่ะ เพราะเราจอง Local ทัวร์ไว้ละเขามารับ 9.00 จึงได้ถามสายการบินว่า offer อะไรให้เราได้บ้าง เนื่องจากเที่ยวบินของเราถูกยกเลิกถึงสองครั้ง ทำให้แพลนรวนและจำเป็นต้องหยุดงานเพิ่มและต้องรอต่อเครื่องถึง 10 ชม. สายการบินเลยให้ที่พักกับเรา อาหารสองมื้อ รถรับส่งสนามบิน และวีซ่าชั่วคราว นั่นคือบริการ Dubai Connect นั่นเองค่ะ ซึ่งผู้โดยสารจะได้สิทธินี้ทุกท่านเมื่อมีการรอต่อเครื่องเกิน 8 ชม. และไม่มีไฟล์ทบินที่เร็วกว่านี้แล้ว หมายความว่าถ้าสมมุติว่าเราเลือกไฟล์ทต่อเครื่องเกิน 8 ชม. โดยที่มีไฟล์ทที่สามารถต่อเครื่องได้เร็วกว่าไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ก็จะไม่ได้สิทธินี้ค่ะ ซึ่งเราเข้าสิทธินี้พอดีค่ะ โดยวอเชอร์ของโรงแรมเราจะได้รับ ณ เคาน์เตอร์เช็คอินค่ะ และเมื่อเดินทางถึงดูไบ เราต้องไปติดต่อเคาน์เตอร์ Dubai Connect อีกทีนะคะ เพราะต้องให้เขาตรวจเอกสารประทับตราวีซ่าให้ค่ะ
แลกเงิน หน่วยเงินของแอฟริกาใต้คือ zar ค่ะ แต่ออกเสียงว่า แรนด์ เราแลกที่ superrich เขียว โดยโทรไปจองเงินก่อนล่วงหน้าหนึ่งวันและนัดรับตามสาขาที่สะดวกค่ะ เรทวันที่เราแลกคือ 2.62 100 แรนด์ = 262 บาทค่ะ เวลาที่แอฟริกาใต้จะช้ากว่าที่ไทย 5 ชม.นะคะ
เพิ่มเติมเรื่องปลั๊กค่ะ ปลั๊กในแอฟริกาใต้เป็นปลั๊กสามรูที่ขนาดใหญ่มากค่ะ เราซื้อปลั๊กยูนิเวอร์แซลจากพาวเวอร์บายไป ใช้ไม่ได้ค่ะ มันเล็กเกินไป แนะนำว่าให้ไปซื้อที่โน่นเลยค่ะ ในสนามบินเลย มีขายทั่วไปร้านทั่วๆไปค่ะ
>.< This time for South Africa ทริปสั้นๆที่มันพ่ะย่ะค่ะ ส่องสัตว์ใน Kruger National Park กับบรยากาศสวยๆ
ข้อควรรู้และการเตรียมตัว
ประเทศแอฟริกาใต้เป็นประเทศพัฒนาแล้วนะคะ บางท่านอาจจะยังติดภาพ เห็นเป็นชื่อแอฟริกา อาจจะคิดว่าเป็นประเทศกันดารๆค่ะ แต่ไม่จริงนะคะ บ้านเขาเจริญมากๆค่ะ เมืองหลวงในแอฟริกาใต้มีสามเมืองค่ะ ได้แก่ Cape Town (เมืองหลวงฝ่ายนิติบัญญัติ) Pretoria (ฝ่ายบริหาร) Bloemfontein (ฝ่ายศาล) เมืองใหญ่ที่สุดคือ Johannesburg เป็นเมืองแหล่งเศรษฐกิจใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่มาที่แอฟริกาใต้จะมาแลนดิ้งที่เมืองนี้ค่ะ สนามบิน O.R. Tambo สนามบินหลักค่ะ โจฮันเนสเบิร์กเป็นเมืองที่ติดอันดับต้นๆของโลกในเรื่องอาชกรรมค่ะ ใครที่จะมาแนะนำให้เตรียมตัวให้พร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยนะคะ อาทิเช่นการแยกเงินหลายส่วน ใช้ Money Belt ก็อปปี้เอกสารสำคัญทุกอันไม่ว่าจะเป็นพาสสปอร์ต หรืออะไรก็แล้วแต่ อีกวิธีที่แนะนำคือเมลล์เอกสารสำคัญเข้าอีเมลล์ตัวเองด้วยค่ะ เราจะได้สามารถโหลดและปริ้นในที่ๆเราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ค่ะ สำหรับคนไทยฟรีวีซ่า 30 วันค่ะ
ฤดูในแอฟริกาใต้มี 4 ฤดู
-ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน – พฤศจิกายน
-ฤดูร้อน ธันวาคม – กุมภาพันธ์
-ฤดูใบไม้ร่วง มีนาคม – พฤษภาคม
-ฤดูหนาว มิถุนายน – สิงหาคม
เราเดินทางวันที่ 17-20 มิถุนายน ที่ผ่านมาค่ะ อยู่ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งหนาวมากๆๆ ย้ำว่ามากค่ะ เตรียมเสื้อกันหนาวไปหนาๆ ขนเป็ด ถุงมือ ผ้าพันคอไปเลยค่ะ โดยเฉพาะในครูเกอร์ระหว่างการส่องสัตว์จะหนาว ยิ่งเย็นยิ่งหนาว อุณหภูมิโดยประมาณที่เราอยู่ที่นั่นคือ 8-13 องศาค่ะ ยิ่งมืดก็จะต่ำกว่านั้นค่ะ
การใช้โทรศัพท์ จอยเลือกที่จะเปิดโรมมิ่งไปจากประเทศไทยเลยค่ะ เพราะกลัวฉุกเฉินและติดต่ออะไรไม่ได้ค่ะ ซึ่งราคาก็ค่อนข้างแพงทีเดียว สามารถเช็คได้กับเครือข่ายมือถือเลยค่ะ ของจอยจะเชื่อมกับ Vodacom เป็นค่ายใหญ่ของที่นั่นเลยค่ะ มี shop อยู่ในสนามบินหลายที่ค่ะ หาไม่ยาก ไปซื้อซิมที่นั่นใช้ก็ได้ น่าจะถูกกว่าการเปิดโรมมิ่งไปค่ะ สัญญาณก็ใช้ได้เลยค่ะถ้าอยู่ตามเมืองก็มี 4G ออกรอบนอกก็ 3G บ้าง 4G บ้าง สัญญาณขาดหายบ้างเวลาผ่านช่องเขาหรือเข้าไปในป่าค่ะ ในครูเกอร์มีสัญญาณค่ะ แต่ก็มีบางจุดอับสัญญาณเช่นกันค่ะ
สายการบินที่จอยใช้บริการในรอบนี้คือสายการบิน Emirates ค่ะ ราคาค่าตั๋วอยู่ที่ 30000 นิดๆค่ะ ไปกลับ ชั้นประหยัด เช็คตั๋วผ่าน skyscanner เช่นเคย และซื้อตั๋วผ่านเอเจ้น Gotogate ซึ่งไม่โอเคเท่าไหร่ค่ะ ไม่มีสำนักงานในไทย ต้องโทรติดต่อผ่านสำนักงานในต่างประเทศและดำเนินการช้ามาก ราคาค่าตั๋วในขณะจองอยู่ที่ 29700 บาทต่อ 1 คน หรือ 1682 usdต่อ 2 คน เรียกเก็บเป็น usd ยอดจริงจากใบแจ้งหนี้เป็นคนละ 30000 นิดๆ มีส่วนต่าง 1200 ค่ะ เดาว่าอาจจะมาจากการผันแปลเรทดอลลาร์ ณ วันตัดบัตรกระมังคะ
แรกเริ่มเดิมทีเราบินเวลา 18.05 ถึงดูไบ 21.35 ต่อเครื่องไปโจเบิร์ก 23.25 ถึงโจเบิร์ก 05.35 วันที่ 18 ซึ่งเป็นเวลาที่ค่อนข้างฟิก เพราะทัวร์จะมารับเรา 9.00 ค่ะ
แต่ไฟล์ทจากไทยนั้นมีการยกเลิกค่ะ ละย้ายเวลาเราไปบิน 21.25 จะถึงโจเบิร์กประมาณ 10 โมงเช้า ซึ่งไม่ได้ค่ะ ทัวร์มารับ 9.00 เราเลยขอเปลี่ยนไฟล์ทกับ Gotogate ขอเปลี่ยนเป็นบินออกจากไทย 15.50 ไวขึ้น รอต่อเครื่องนานขึ้น แต่ได้บินไปโจเบิร์กไฟล์ทเดิมและไม่กระเทือนงานค่ะ ซึ่งดำเนินการช้ามาก เราเลยติดต่อผ่านเอมิเรตส์ไทยแลนด์สะดวกและไวกว่ามากค่ะ แต่แล้วด้วยยังไงไม่รู้ไฟล์ท 15.50 ของเราถูกยกเลิกอีกครั้ง เราโดนดันไป 21.25 เช่นเคยซึ่งมันไม่ได้ค่ะ เลยคุยกับเอมิเรตส์อีกที ได้ความว่าไฟล์ทไม่มีแล้วค่ะ ถ้าจะบินจากดูไบไปโจเบิร์กไฟล์ทเดิม คือ EK767 จะต้องบินจากไทย 9.55 วันที่ 17 รอต่อเครื่อง 10 ชม. และไม่มีทางเลือกอื่นค่ะ เพราะเราจอง Local ทัวร์ไว้ละเขามารับ 9.00 จึงได้ถามสายการบินว่า offer อะไรให้เราได้บ้าง เนื่องจากเที่ยวบินของเราถูกยกเลิกถึงสองครั้ง ทำให้แพลนรวนและจำเป็นต้องหยุดงานเพิ่มและต้องรอต่อเครื่องถึง 10 ชม. สายการบินเลยให้ที่พักกับเรา อาหารสองมื้อ รถรับส่งสนามบิน และวีซ่าชั่วคราว นั่นคือบริการ Dubai Connect นั่นเองค่ะ ซึ่งผู้โดยสารจะได้สิทธินี้ทุกท่านเมื่อมีการรอต่อเครื่องเกิน 8 ชม. และไม่มีไฟล์ทบินที่เร็วกว่านี้แล้ว หมายความว่าถ้าสมมุติว่าเราเลือกไฟล์ทต่อเครื่องเกิน 8 ชม. โดยที่มีไฟล์ทที่สามารถต่อเครื่องได้เร็วกว่าไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ก็จะไม่ได้สิทธินี้ค่ะ ซึ่งเราเข้าสิทธินี้พอดีค่ะ โดยวอเชอร์ของโรงแรมเราจะได้รับ ณ เคาน์เตอร์เช็คอินค่ะ และเมื่อเดินทางถึงดูไบ เราต้องไปติดต่อเคาน์เตอร์ Dubai Connect อีกทีนะคะ เพราะต้องให้เขาตรวจเอกสารประทับตราวีซ่าให้ค่ะ
แลกเงิน หน่วยเงินของแอฟริกาใต้คือ zar ค่ะ แต่ออกเสียงว่า แรนด์ เราแลกที่ superrich เขียว โดยโทรไปจองเงินก่อนล่วงหน้าหนึ่งวันและนัดรับตามสาขาที่สะดวกค่ะ เรทวันที่เราแลกคือ 2.62 100 แรนด์ = 262 บาทค่ะ เวลาที่แอฟริกาใต้จะช้ากว่าที่ไทย 5 ชม.นะคะ
เพิ่มเติมเรื่องปลั๊กค่ะ ปลั๊กในแอฟริกาใต้เป็นปลั๊กสามรูที่ขนาดใหญ่มากค่ะ เราซื้อปลั๊กยูนิเวอร์แซลจากพาวเวอร์บายไป ใช้ไม่ได้ค่ะ มันเล็กเกินไป แนะนำว่าให้ไปซื้อที่โน่นเลยค่ะ ในสนามบินเลย มีขายทั่วไปร้านทั่วๆไปค่ะ