"โรงเรียนแพทย์ไทยแย่ที่สุดในโลก" คำกราบทูลตรงไปตรงมาของหมอไฮเซอร์ ต่อรัชกาลที่ 6 คือจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่

พระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6


"โรงเรียนนายแพทย์ไทยแย่ที่สุดในโลก คำกราบทูลของหมอวิคเตอร์ ไฮเซอร์"



นี่คือคำกราบทูลที่ปกติแล้ว คงยากที่ใครจะกล้าทูลตามตรง แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกถฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้รับฟังคำทูลนี้จากหมอวิคเตอร์ ไฮเซอร์ พระองค์ก็หาได้ถือโทษ แต่ทรงถือว่าเป็นคำวิจารณ์ที่พระองค์จะต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาการแพทย์ไทยให้ทันสมัยทันที เป็นจุดเริ่มต้นอีกประการที่นำไปสู่ความร่วมมือกับ มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์

ย้อนไปในพ.ศ.๒๔๕๘ นายแพทย์วิคเตอร์ ไฮเซอร์ ชาวเยอรมัน ตัวแทนของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ผู้โดยสารมาพร้อมกับเรือกลไฟกัวลา ได้เดินทางมาถึงกรุงเทพหรือบางกอกในสมัยนั้น

เวลานั้นมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ.๒๔๕๖ โดยนายจอห์น ดี ร็อคกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีนายทุนยักใหญ่ของอเมริกา และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดของยุคนั้น เขาเคยโดนโจมตีเป็นต้นแบบของนายทุนผูกขาดจอมหน้าเลือด แต่เมื่อวัยชรา เขาเริ่มหันมาก่อตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้คนในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการแพทย์และการศึกษาต่างๆ

มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ปัจจุบันก็ยังมีสาขาอยู่ในประเทศไทย มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาเป็นร้อยปี แต่เวลานั้นก็ตั้งได้ไม่นานนัก

โฉมหน้าของ ร็อคกี้ เฟลเลอร์



หมอไฮเซอร์เป็นหนึ่งในนายแพทย์ที่มีความมุ่งมั่นที่จะนำวิชาแพทย์ตะวันตกออกมาเผยแพร่สู่โลกตะวันออก โดยเดินทางมาที่สิงคโปร์ก่อน แล้วมาต่อที่เมืองสยาม ระหว่างนั้นเขาได้เข้ามาศึกษาสุขลักษณะของคนสยามไว้หลายเรื่อง

ไฮเซอร์เป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกพูดจาโผงผาง แต่จิตใจดี เห็นใจผู้ป่วย เขาได้โอกาสเข้าพบกับข้าราชการของไทยเพื่อเข้าเยี่ยมโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยจิตเวชที่ก่อตั้งมาได้ระยะหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้เข้ามาเก็บข้อมูลผลผลิตทางการเกษตร การส่งออกและนำเข้าของคนไทย และเริ่มผูกสัมพันธ์กับชาวต่างชาติในบางกอก ระหว่างนั้นข้าราชการไทยให้การต้อนรับหมอไฮเซอร์ด้วยดี แม้ว่าจะมีความระแวงในช่วงแรกอยู่บ้าง

โฉมหน้าของ หมอวิคเตอร์ ไฮเซอร์


หมอไฮเซอร์ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 6 เมื่อทรงตรัสถามถึงโรงเรียนนายแพทย์ของคนไทยว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไฮเซอร์ไม่สามารถแสดงความเห็นได้ท่ามกลางคนอื่นอยู่ด้วย รัชกาลที่ 6 จึงทรงให้ทุกคนออกไปจนหมด แล้วเมื่ออยู่กันเพียงลำพัง เขาก็วิจารณ์ออกมาตรงๆว่า

“เป็นโรงเรียนนายแพทย์ที่ย่ำแย่ที่สุดในโลก” (The worst in the world)

เมื่อรัชกาลที่ 6 รับฟังแล้วก็ตกพระทัยมาก แต่ก็ไม่ได้ลงโทษอะไร ในทางกลับกัน พระองค์ยอมรับคำวิจารณ์ของหมอไฮเซอร์ จึงทรงเริ่มดำเนินการเจรจาให้ทางมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์เข้ามาช่วยเหลือปรับปรุงโรงเรียนแพทย์ไทยให้ทันสมัย รับมือกับโรคระบาดร้ายแรงได้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญกับวงการแพทย์ไทยนับแต่นั้น ต่อมาหมอไฮเซอร์ก็ได้เป็นผู้อำนวยการของภูมิภาคตะวันออกไกลคนแรกของมูลนิธิเช่นกัน

แล้วโครงการแรกๆที่เริ่มก็คือ การปราบโรคพยาธิปากขอ

เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงแนะนำให้หมอไฮเซอร์และหมออีกท่านคือหมอนอร์ริสว่า ทั้งสองคนควรจะร่วมงานกับเจ้าหน้าที่การแพทย์ในท้องถิ่นของไทย ชี้นำให้พวกเขาเห็นความสำคัญในการรณรงค์ต่อต้านโรคพยาธิปากขอซึ่งลุกลามในเวลานั้น โดยทรงเห็นว่า ถ้าภาครัฐและเจ้าหน้าที่ร่วมมือ ทั้งสองจะทำงานง่ายขึ้น แผนการก็คือ ทำให้สำเร็จสักที่ เป็นโมเดลมาก่อน เมื่อนั้นการรณรงค์ระดับชาติก็จะง่ายขึ้น แล้วเมื่อโครงการตั้งต้นสำเร็จได้ อีกหลายโครงการก็ตามมาจากนั้น


การแพทย์ไทย ก้าวหน้าขึ้นมาได้ จึงผ่านเรื่องราวการต่อสู้ของบุคคลหลายท่าน นี่ก็แค่เกร็ดเรื่องหนึ่งในอีกหลายเรื่องที่เกิดขึ้น ยังมีอีกมากที่ไม่ได้บรรจุในบทเรียนขั้นพื้นฐาน
ชนรุ่นหลัง จึงต้องขอขอบคุณท่านเหล่านั้น


กระทู้นี้ ตั้งขึ้นเพื่อร่วมรำลึกความยิ่งใหญ่ ความดีงามของพระองค์และหมอทั้งไทยและต่างชาติ ที่ช่วยพัฒนาการแพทย์ไทย หลายปีก่อน แม่ผมรอดชีวิตมาได้ ไม่พิการ กลับมาจากความตายได้ ก็เพราะการแพทย์ของภาครัฐ และตอนนี้พ่อผมอาการก็ทรงๆอยู่ ก็ต้องลุ้นกันอีกมาก แต่การแพทย์ก็ช่วยไว้ได้มากจริงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่