Handsome Devil (John Butler, 2017) คะแนน B+

By Form Corleone
"เป็นในแบบที่เราเป็น กล้ายอมรับในสิ่งที่เราเป็น" Handsome Devil เล่าเรื่องราวในโรงเรียนชายล้วน หนังเลือกหยิบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมห้อง(รูมเมท)ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นเด็กใหม่ดีกรีนักกีฬารักบี้ตัวเก่งส่วนอีกคนเป็นเพียงไอโง่ตัวผอมแห้งคนหนึ่งที่มักจะถูกเพื่อนๆล้ออยู่เสมอว่าเป็นตุ๊ดหรือเป็นเกย์ ตามประสาเด็กถูกแกล้ง ช่วงระยะแรกความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ค่อยดีนักจนมีการสร้างกำแพงเบอร์ลินกั้นภายในห้องซึ่งเป็นอะไรที่ตลกดี แต่แล้วเมื่อมีครูสอนภาษาอังกฤษคนใหม่เข้ามาสอน คุณครูได้ทำให้คนสองคนที่ต่างกันผสานความสัมพันธ์เข้าหากันและเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด เราชอบที่ตัวหนังใช้ประเด็นของวัยรุ่นที่สามารถทำให้เรานึกถึงใครบางคนในอดีตที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ใครคนนั้นที่พลัดดันให้เรามีวันที่ดีหรือกล้าที่จะเผชิญกับปัญหาที่ตัวเองมี หนังสามารถพาเราย้อนกลับไปถึงสมัยเราเป็นเด็กมัธยมได้ในหลายๆมุม ภาพรวมของหนังจึงเป็นอะไรที่ย่อยง่าย+ฟีลกู๊ด แม้จะมีประเด็นที่รุนแรงทั้งเรื่องเพศสภาพ การยอมรับจากหมู่เพื่อน ความเท่าเทียมกันในสังคม การเปิดใจยอมรับผู้อื่น ประเด็นต่างๆที่หนังนำเสนอนั้นสามารถต่อยอดไปถึงการฆ่าตัวตายหรือโรคซึมเศร้าของวัยรุ่นได้เลยด้วยซ้ำ และประเด็นทั้งหมดที่กล่าวมาควรที่จะทำให้หนังเรื่องนี้ดราม่าแต่เปล่าเลยหนังกลับทำได้ผ่อนคลายความรู้สึกมากๆ

บรรยากาศของหนังชวนให้เรานึกถึงเพื่อนสมัยมัธยมแม้ว่าจะมีบริบทที่แตกต่างกันก็ตาม และตัวบทภาพยนตร์เองนั้นยังเต็มไปด้วยแนวคิดหรือวิธีคิดที่สามารถทำให้เรายอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน หรือทำให้เรามองเห็นคุณค่าในความเป็นเขาหรือความเป็นเราได้ดีมาก ตัวบทภาพยนตร์น่าจะช่วยส่งเสริมให้ใครก็ตามที่ได้ดูตระหนักถึงคุณค่าของคนใกล้ตัวมากขึ้น แน่นอนว่าคนใกล้ตัวเราคงไม่ได้เป็นเหมือนตัวละครในเรื่อง แต่ความเชื่อมโยงที่หนังเล่านั้นมันสากล+เข้าถึงง่ายมากๆ หรือแม้กระทั่งการกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราเป็น จะเป็นเรื่องของเพศสภาพที่หนังนำเสนอหรือเรื่องอื่นๆก็ตาม เราควรที่จะเป็นตัวเราในแบบที่เราเป็น เราควรจะมีเราคนเดียวในโลกใบนี้ที่เป็นแบบนี้ ถ้าเรามัวแต่เป็นคนอื่น มัวแต่จะก๊อปปี้ความคิดคนอื่น แล้วความเป็นตัวเราจะไปอาศัยอยู่ที่ไหนบนโลก ซึ่งประเด็นของการกล้าที่จะเป็นตัวของเราหรือเปิดเผยสิ่งที่เราเป็นนั้นตัวหนังทำได้มีพลังและเต็มเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์และฉากจบของหนังสามารถทำให้เรายิ้ม+น้ำตาซึมไปพร้อมกัน

เราทุกคนล้วนมีสิ่งที่ไม่อยากบอกใครหรือไม่อยากให้ใครรู้ บ่อยครั้งที่เราพยายามจะหลบซ่อนสิ่งเหล่านั้นไว้ บางครั้งเราก็วิ่งหนีมัน เพราะสังคมไม่ยอมรับ และสำหรับเราสังคมรอบข้างถือเป็นปัจจัยอันดับแรกที่ทำให้เราไม่สามารถบอกเรื่องราวเหล่านั้น เราต้องฝืนเป็นในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ซึ่งหนังพยายามบอกเราที่เป็นคนดูในทางตรงให้ปรับเปลี่ยนความคิดแบบนี้เสียใหม่มันจึงเป็นสารที่เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่ายมากๆ ในส่วนของเหล่านักแสดงนั้นทำงานกันได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะ 'Fionn O'Shea' และ 'Nicholas Galitzine' ที่ทำให้เราอินไปกับความสัมพันธ์ครั้งนี้จริงๆ รวมถึง 'Andrew Scott' และ 'Moe Dunford' ในบทของครูต่างบุคลิกที่สวมบทบาทกันได้อย่างมีมิติและเราสามารถแยกข้อดีข้อเสียของบทครูที่ทั้งสองคนเล่นได้อย่างชัดเจน และถ้านึกเปรียบเทียบกับครูที่เราเคยเจอมาเชื่อเลยว่าในชีวิตนี้เราคงมีครูที่เราไม่ชอบมากกว่าครูที่เราชอบแน่นอน อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดของเวลาตัวหนังจึงมีความกระชับหรือรวดเร็วเกินไปในช่วงแรกทำให้สมดุลของหนังไปจมอยู่ในช่วงกลางเรื่องจนถึงท้ายเรื่อง ท้ายสุด 'Handsome Devil' สามารถพาเราหวนคืนอดีตสมัยมัธยมหรือมีกลิ่นไอความทรงจำให้เรานึกถึง ความสนุกผสมแนวคิดที่ดี ประเด็นที่รุนแรงแต่สามารถเล่าได้สบายๆ จึงเป็นข้อดีที่เราจะสามารถดูหนังเรื่องนี้ได้เพลินๆ และมองเห็นตัวตนของคนรอบตัวเรามากขึ้นหรืออย่างๆน้อยๆก็ได้กลับมามองเห็นตัวตนที่เราเป็นจริงๆเหมือนกัน…

ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ

หนังมีรอบฉายแค่สองที่เท่านั้นคือ
Lido ,Bangkok Screening Room

ตัวอย่างหนัง

ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Handsome Devil (John Butler, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"เป็นในแบบที่เราเป็น กล้ายอมรับในสิ่งที่เราเป็น" Handsome Devil เล่าเรื่องราวในโรงเรียนชายล้วน หนังเลือกหยิบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมห้อง(รูมเมท)ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นเด็กใหม่ดีกรีนักกีฬารักบี้ตัวเก่งส่วนอีกคนเป็นเพียงไอโง่ตัวผอมแห้งคนหนึ่งที่มักจะถูกเพื่อนๆล้ออยู่เสมอว่าเป็นตุ๊ดหรือเป็นเกย์ ตามประสาเด็กถูกแกล้ง ช่วงระยะแรกความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ค่อยดีนักจนมีการสร้างกำแพงเบอร์ลินกั้นภายในห้องซึ่งเป็นอะไรที่ตลกดี แต่แล้วเมื่อมีครูสอนภาษาอังกฤษคนใหม่เข้ามาสอน คุณครูได้ทำให้คนสองคนที่ต่างกันผสานความสัมพันธ์เข้าหากันและเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด เราชอบที่ตัวหนังใช้ประเด็นของวัยรุ่นที่สามารถทำให้เรานึกถึงใครบางคนในอดีตที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ใครคนนั้นที่พลัดดันให้เรามีวันที่ดีหรือกล้าที่จะเผชิญกับปัญหาที่ตัวเองมี หนังสามารถพาเราย้อนกลับไปถึงสมัยเราเป็นเด็กมัธยมได้ในหลายๆมุม ภาพรวมของหนังจึงเป็นอะไรที่ย่อยง่าย+ฟีลกู๊ด แม้จะมีประเด็นที่รุนแรงทั้งเรื่องเพศสภาพ การยอมรับจากหมู่เพื่อน ความเท่าเทียมกันในสังคม การเปิดใจยอมรับผู้อื่น ประเด็นต่างๆที่หนังนำเสนอนั้นสามารถต่อยอดไปถึงการฆ่าตัวตายหรือโรคซึมเศร้าของวัยรุ่นได้เลยด้วยซ้ำ และประเด็นทั้งหมดที่กล่าวมาควรที่จะทำให้หนังเรื่องนี้ดราม่าแต่เปล่าเลยหนังกลับทำได้ผ่อนคลายความรู้สึกมากๆ
บรรยากาศของหนังชวนให้เรานึกถึงเพื่อนสมัยมัธยมแม้ว่าจะมีบริบทที่แตกต่างกันก็ตาม และตัวบทภาพยนตร์เองนั้นยังเต็มไปด้วยแนวคิดหรือวิธีคิดที่สามารถทำให้เรายอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน หรือทำให้เรามองเห็นคุณค่าในความเป็นเขาหรือความเป็นเราได้ดีมาก ตัวบทภาพยนตร์น่าจะช่วยส่งเสริมให้ใครก็ตามที่ได้ดูตระหนักถึงคุณค่าของคนใกล้ตัวมากขึ้น แน่นอนว่าคนใกล้ตัวเราคงไม่ได้เป็นเหมือนตัวละครในเรื่อง แต่ความเชื่อมโยงที่หนังเล่านั้นมันสากล+เข้าถึงง่ายมากๆ หรือแม้กระทั่งการกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราเป็น จะเป็นเรื่องของเพศสภาพที่หนังนำเสนอหรือเรื่องอื่นๆก็ตาม เราควรที่จะเป็นตัวเราในแบบที่เราเป็น เราควรจะมีเราคนเดียวในโลกใบนี้ที่เป็นแบบนี้ ถ้าเรามัวแต่เป็นคนอื่น มัวแต่จะก๊อปปี้ความคิดคนอื่น แล้วความเป็นตัวเราจะไปอาศัยอยู่ที่ไหนบนโลก ซึ่งประเด็นของการกล้าที่จะเป็นตัวของเราหรือเปิดเผยสิ่งที่เราเป็นนั้นตัวหนังทำได้มีพลังและเต็มเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์และฉากจบของหนังสามารถทำให้เรายิ้ม+น้ำตาซึมไปพร้อมกัน
เราทุกคนล้วนมีสิ่งที่ไม่อยากบอกใครหรือไม่อยากให้ใครรู้ บ่อยครั้งที่เราพยายามจะหลบซ่อนสิ่งเหล่านั้นไว้ บางครั้งเราก็วิ่งหนีมัน เพราะสังคมไม่ยอมรับ และสำหรับเราสังคมรอบข้างถือเป็นปัจจัยอันดับแรกที่ทำให้เราไม่สามารถบอกเรื่องราวเหล่านั้น เราต้องฝืนเป็นในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ซึ่งหนังพยายามบอกเราที่เป็นคนดูในทางตรงให้ปรับเปลี่ยนความคิดแบบนี้เสียใหม่มันจึงเป็นสารที่เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่ายมากๆ ในส่วนของเหล่านักแสดงนั้นทำงานกันได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะ 'Fionn O'Shea' และ 'Nicholas Galitzine' ที่ทำให้เราอินไปกับความสัมพันธ์ครั้งนี้จริงๆ รวมถึง 'Andrew Scott' และ 'Moe Dunford' ในบทของครูต่างบุคลิกที่สวมบทบาทกันได้อย่างมีมิติและเราสามารถแยกข้อดีข้อเสียของบทครูที่ทั้งสองคนเล่นได้อย่างชัดเจน และถ้านึกเปรียบเทียบกับครูที่เราเคยเจอมาเชื่อเลยว่าในชีวิตนี้เราคงมีครูที่เราไม่ชอบมากกว่าครูที่เราชอบแน่นอน อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดของเวลาตัวหนังจึงมีความกระชับหรือรวดเร็วเกินไปในช่วงแรกทำให้สมดุลของหนังไปจมอยู่ในช่วงกลางเรื่องจนถึงท้ายเรื่อง ท้ายสุด 'Handsome Devil' สามารถพาเราหวนคืนอดีตสมัยมัธยมหรือมีกลิ่นไอความทรงจำให้เรานึกถึง ความสนุกผสมแนวคิดที่ดี ประเด็นที่รุนแรงแต่สามารถเล่าได้สบายๆ จึงเป็นข้อดีที่เราจะสามารถดูหนังเรื่องนี้ได้เพลินๆ และมองเห็นตัวตนของคนรอบตัวเรามากขึ้นหรืออย่างๆน้อยๆก็ได้กลับมามองเห็นตัวตนที่เราเป็นจริงๆเหมือนกัน…
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
หนังมีรอบฉายแค่สองที่เท่านั้นคือ
Lido ,Bangkok Screening Room
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/