สวัสดีครับต้องเกริ่นนำนิดนึงก่อนนะครับ กระทู้นี้ไม่มีเจตนาที่จะทำให้ใครเกลียดกัน หรือต่อต้านสถาบันการศึกษาหรือ
รณรงค์ให้เด็กไทยมองว่าการเรียนคือ สิ่งที่เลวร้ายตรงกันข้ามการศึกษาคือสิ่งที่จะพัฒนามนุษย์ให้เจริญขึ้นในทุกๆด้านครับ
ผมอยากให้ทุกท่านลองวิเคราะห์จากมุมมองของผม และหากว่าเรื่องราวในกระทู้นี้มีประโยชน์ต่อท่าน ผมก็หวังว่าจะสามารถ
นำไปเป็นแนวคิดเพื่อ เด็กๆลูกหลานของท่านไม่มากก็น้อยครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาส่วนหนึ่งจะมาจากน้องชายครับซึ่งตอนนี้เขาเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งใน กรุงเทพฯ ซึ่งอายุเราห่างกันเกือบ 20 ปีครับ และข้อมูลอีกส่วนคือข้อมูลที่มาจากประสบการณ์ตรงของผม รวมถึงผู้คนและเด็กๆที่ผมได้เจอมาในชีวิตนี้ครับ
ปัจจุบันเรามักจะได้เห็นนวัตกรรมทีมีประโยชน์ต่อโลก ทั้งด้านการใช้ประโยชน์รวมถึงด้านเศรษฐกิจ ย้ำอีกครั้งนะครับ นวัตกรรม
คือสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นแล้วสามารถทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้น สะดวกขึ้น ไม่รวมสิ่งของลอกเลียนแบบหรือของเทียมนะครับ นวัตกรรมส่วนใหญ่
มักมาจากที่ไหนบ้าง เดาไม่น่ายากใช่ไหมครับ ประเทศเหล่านี้หนุ่มสาวและวัยรุ่นในประเทศ มักจะแข่งกันคิดแข่งกันสร้าง และมักได้การสนับสนุนที่ดี
ทั้งด้านการเงินและทรัพยากร ต่างๆเพื่อการค้นคว้าวิจัย ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็คทรอนิค ซอร์ฟแวร์ อากาศยาน
อุปกรณ์สื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นต้น สิ่งที่ประเทศเหล่านี้ได้คืออะไร สิ่งแรกที่คิดออกไวๆเลยคือ ลดการนำเข้ามหาศาลมากครับ
เพราะว่า สิ่งของเหล่านี้มักมีมูลค่าสูงมากๆ รายได้เข้าประเทศ สร้างงานให้คนในชาติ เกิดการแข่งขันในด้านการพัฒนานวัตกรรม
ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทีนี้ในสื่อต่างๆ รวมถึงบนโซเชียลมีเดีย ก็มักจะมีข่าวเทคโนโลยีใหม่ๆ แนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความคิดเต็มไปหมด ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ ในการพัฒนาเด็กรุ่นใหม่ครับ
ทีนี้เรามาลองมองย้อนในบ้านเราบ้างครับ ผมได้มีโอกาสได้เห็นโครงงานวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยจากหลายๆที่นะครับ ตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย
ไล่ไปจนถึงระดับประถมครับ หลายๆโครงงานที่ผมได้พบเจอนั้นมีประโยชน์มหาศาลครับ แต่ก็ต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการต่อยอดเพื่อให้
โครงการเป็นรูปธรรมมากขึ้นครับ ถ้าพูดกันตรงๆก็คือขาดเงินทุนครับ นักศึกษาหลายๆคนที่ผมพบเจอ มีความคิดที่ดีมากๆครับแต่ไม่มีโอกาสได้
ลงมือทำจริงครับ เพราะเขามองว่าเรื่องที่เขาคิดนั้นเป็นไปได้ยาก หลักๆก็เพราะเงินทุนในการหาเทคโนโลยีมาเพื่อการวิจัยล้วนๆครับ พอเกิดแบบนี้
ทุกๆวันเข้า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คืออะไรครับ
ปัจจุบันหากเราเล่นโซเชียลมีเดียเป็นประจำ จะพอรู้ไม่มากก็น้อยครับว่าคนส่วนใหญ่สนใจเรื่องอะไร ขายอะไรกัน มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่เป็นที่นิยม
และเป็นกระแส ลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพแล้วกันนะครับ ตัวอย่างเช่น ครีมผิวขาว สบู่ ยาลดความอ้วน เสื้อผ้าจากจีน กระเป๋าก็อปปี้ ศัลยกรรม
เครื่องสำอางค์ ตัวอย่างที่กล่าวมา มีให้เกลื่อนตลาดเลยครับ ลองนึกภาพตามนะครับ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนในประเทศไทย ห้างสรรพสินค้า ตลาดกลางคืน
ร้านค้าออนไลน์ รวมไปถึงร้านค้าโชว์ห่วยแล้วครับปัจจุบัน จะต้องมีสินค้าเหล่านี้ขายซ้ำกัน เยอะมากๆครับ จนทุกวันนี้ผมเบื่อกับการเข้าห้างสรรพสินค้าไปแล้วครับ จะเข้าก็ต่อเมื่อต้องไปทำธุระแค่นั้นครับ แล้วผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่มีอยู่มากมายไปหมด คำถามคือทำไมถึงมีแต่สินค้าเหล่านี้เต็มท้องตลาดไปหมด ผมยังไม่เห็นประโยชน์และความจำเป็นว่าประเทศๆหนึ่งจะต้องมีสินค้าเหล่านี้เยอะๆนะครับ ยิ่งเยอะ ยิ่งแข่งราคาแทนที่ลูกค้าจะได้ซื้อของดีๆกับกลายเป็นว่า ต้องเลือกซื้อกันที่ราคาและก็ไม่รู้ว่า ลดต้นทุนกันมาขนาดไหนเพื่อให้ขายถูกๆได้ นอกจเสียจากการที่เด็กสาววัยรุ่นต่างอยากเป็น เน็ตไอดอลวัยรุ่นทรงโตโชว์หน้าอก แก้ผ้า เพื่อมาขายของเหล่านี้กันเต็มไปหมดครับ สรุปปัญหาเหล่านี้เกิดจากการทำตามๆกันใช่หรือไม่ครับ ไม่มีใครกล้าคิดต่าง คิดนวัตกรรมเลยครับ ที่นี้ข่าวสารต่างๆที่มีออกมาก็มีแต่ (ขออภัยนะครับ) ข่าว

ชีวิตชาวบ้านทั้งนั้นเลยครับ คนนู้นเป็นอย่างนี้คนนี้เป็นอย่างนั้น ไร้ประโยชน์ แถมไม่มีสาระอะไรที่ดีเลยครับ เรื่องราวเหล่านี้เกิดจากอะไรครับ หลักๆคือการปลูกฝังจากครอบครัว และจากสถาบันการศึกษาหรือเปล่าครับ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ ลองวิเคราะห์เป็นเรื่องๆไปเลยครับ
1. พ่อแม่ในยุคปัจจุบันนิยมคิดแทนลูก จัดการเรื่องต่างๆให้ลูกโดยที่ลูกมีหน้าที่อย่างเดียวคือ ทำตามที่ท่านๆตีกรอบเอาไว้เท่านั้น จนกลายเป็นว่า
หากเด็กต้องการจะทำอะไรในสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยบอกให้ทำ จะต้องขออนุญาตตลอดทุกเรื่อง ไม่กล้าคิดอะไรเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ตัวอย่างหนึ่งที่ผมพบเจอกับตัวเองเลย คือวันหนึ่งผมไปยืนต่อคิวที่ตู้ ATM และมีคุณผู้หญิงท่านนึงยืนใช้งานอยุ่ก่อน คุณผู้หญิงท่านนี้อายุน่าจะวัยเดียวกับผมครับ ใส่ชุดทำงานครับแต่งกายดีครับและสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตู้ ATM นั้นเกิดขัดข้องครับและบัตรของเธอก็ยังอยู่ในนั้นครับ สิ่งแรกที่เธอทำคือกดโทรศัพท์ครับ แล้วเธอก็พูดว่า
" แม่ทำยังไงดี ตุ้ ATM มันดูดบัตรหนุเข้าไป หนุยืนกดเงินอยุ่แล้วมันก็บอกว่าเกิดขัดข้อง " คือที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะว่า บนตู้ ATM มันก็มี
เบอร์ติดต่อสำหรับกรณีเกิดปัญหาจากการใช้งานครับ และชัดเจนมากครับ เวลาเราเจอปัญหาอะไรจะมีอยู่สองทางครับ คือเรียกให้คนอื่นช่วย
โดยที่ "ไม่พยายาม" เองก่อน หรือลองแก้ปัญหาด้วยตนเองก่อนนะครับ ผมต่อว่าตรงๆเลยครับเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลยครับ และก็ไม่อยากให้เกิด
แบบนี้กับเด็กรุ่นใหม่เลยครับ เรื่องนี้สำคัญมากเลยนะครับในการคิดอะไรนอกกรอบ หรือจะออกแบบอะไร ถ้าติดอยู่กับกรอบเดิมๆ หรือไม่กล้าคิด
ไม่มีทางเลยครับที่จะมีนวัตกรรมดีๆอะไรออกมาได้เลย
2. เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องการนำตำราเรียน มาใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงครับ วันหนึ่งผมได้ถามน้องชายว่า "อาทิตย์ที่ผ่านมาเรียน เลขเรื่องอะไร"
เขาก็ตอบมาว่าเรื่องนี้ และผมก็ถามต่อไปว่า "คิดว่าเรื่องที่เรียนไปนี่เอามาทำประโยชน์อะไรได้บ้างไหม" คำตอบที่ผมได้รับคือ "ไม่รู้อ่ะ" ผมก็ย้ำ
ไปว่า "เอาดีๆถามจริงจัง สาระเลย อย่ากวนตีน" เขาก็ตอบว่า "จริงจัง ไม่รู้จริงๆ" ผมถึงกับอึ้งกับคำตอบเลยครับเนื้อหาที่เขาเได้เรียนเป็นเรื่องที่ดี
เลยนะครับแต่ผม ผิดหวังจริงๆครับที่สิ่งที่เขาเรียนนั้นเขาไม่เข้าใจว่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้ นำไปสร้างหรือพัฒนาอะไรได้ กลายเป็นว่า
เด็กก็เรียนๆให้จบๆไป อย่างนักศึกษาที่จบคณะวิทยาศาตร์ แล้วต้องไปทำงานธนาคาร ผมไม่ได้บอกว่าการทำงานธนาคารไม่ดีนะครับ แต่สิ่ง
ที่พวกคุณได้เรียนมานั้นสามารถสร้างและพัฒนาอะไรได้ยิ่งใหญ่กว่านั่นมากๆเลยนะครับ แต่บ้านเรากลับยังไม่ให้ความสำคัญในการทำวิจัย
และพัฒนาในเชิงวิทยาศาสตร์ ( พูดกันตรงๆคือทำงานธนาคาร เงินเดือนจะดีกว่าทำงานในสถาบันวิจัยครับ )
3. เรื่องนี้เป็นเรื่องบุคคลตัวอย่างครับ เราปฏิเสธไม่ได้นะครับ ว่าเรามักจะมองว่าสิ่งที่พ่อแม่หรือคนรอบข้างนั้นทำ มักจะเป็นเรื่องที่เราเคยชินหรือเห็นจนชินตาสำหรับเราเสมอ ตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อแม่หรือคนในสังคม คนรอบข้างขายเสื้อผ้าเลียนแบบ ( ก็อปแบรนด์ ) ก็จะปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกก็จะชินตากับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เกิดเป็นวงจรนี้ไม่จบสิ้น ตามจับอย่างไรก็ไม่มีทางหมดหรอกครับ จากธุรกิจที่เคยเป็นสีดำก็กลายเป็นขาวทันที จากความเคยชิน กลายเป็นว่าไม่มีนวัตกรรมอะไรใหม่ในประเทศและสังคมเลยครับ เด็กรุ่นใหม่ก็ได้แค่ลอกเลียนแบบสินค้า หรือนวัตกรรมจากต่างชาติไม่จบไม่สิ้น และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงๆในสังคมปัจจุบันนี้ครับ สังเกตุจาก ห้างสรรพสินค้า ตลาดขายของกลางคืน ตลาดวัยรุ่น ได้เลยครับ ขายเหมือนๆกันหมดทั้งตลาดเลยครับ
4. เรื่องนี้เป็นที่เด็กปัจจุบันเป็นกันเยอะมากๆๆๆ ครับเรียนไปแต่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรอยากทำอะไร ไม่ต้องใครที่ไหนไกลเลยครับ ตัวผมเองเลยครับ
สมัยตอนยังเรียนอยู่ ตอนเรียนอยากเป็นวิศวกร ใครๆก็บอกว่าผมเรียนได้ๆ ทั้งครู และเพื่อนๆ แต่เอาเข้าจริงๆพอได้เรียนด้านนี้ รู้เลยว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบจริงๆและไม่ตอบโจทย์ชีวิตผมเลยครับ มาค้นหาตัวเองจนพบว่าเราชอบด้านการค้าการบริหารครับ กลายเป็นว่าผมต้องมาเริ่มใหม่เองที่นอกห้องเรียนครับ คือชีวิตธุรกิจจริงๆครับ เจ๊งจริง เจ็บจริง ครับเพราะขาดความรู้ล้วนๆครับ กว่าจะยืนได้ขวากหนามทิ่มแทงสารพัดนึกเลยครับ ผมไม่อยากให้ความไม่ใช่ตัวตนไปเกิดขึ้นกับเด็กรุ่นใหม่ครับ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเกิดการใส่ใจอย่างถูกต้อง (ไม่ตีกรอบ ออกคำสั่ง คิดแทน ชี้นิ้วให้เขาเป็น ) ของพ่อแม่และครูแนะแนวนะครับ เรียนหมอ เรียนวิศวะ ภาพลักษณ์มันดีครับ แต่ถ้าไม่ใช่ตัวตนของเรา ชีวิตเด็กคนนึงอาจจบไม่สวยเลยนะครับ แทนที่จะไปทำอะไรที่เขาถนัดและสร้างมันได้ดี
5. ในปัจจุบันเด็กไทยนิยมเรียนพิเศษตามสถาบันกวดวิชากันมาก เพื่อให้ผลการเรียนดีขึ้น เพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จนกลายเป็นว่าตอนอยู่
ที่โรงเรียนเด็กแทบไม่ได้อะไรเลย หวังว่าจะไปเข้าใจ เนื้อหาที่เรียนจากติวเตอร์แทน ทั้งๆที่เด็กควรจะได้ความรู้ความเข้าใจจากที่โรงเรียนมาเลย
ถ้าอย่างนั้นผมเสนอว่าให้จัดตั้งสถาบันกวดวิชา ให้เป็นสถานศึกษาไปเลยครับและสามารถออกวุฒิการศึกษาให้เด็กได้ ผลที่ได้น่าจะออกมาดีกว่า
สถาบันการศึกษาที่มีในปัจจุบันครับ เวลาที่นอกเหนือจากการเรียนในสถานศึกษา จะได้เป็นเวลาของเด็กได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ได้ไปเที่ยว
เรียนรู้หาประสบการณ์ชีวิต ทั้งในประเทศและต่างประเทศบ้าง ได้ไปลองทำงานพิเศษได้ลองเจอชีวิตจริงบ้าง จะได้เป็นคนพยายาม อดทน สู้งาน
ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เวลาของเด็กเราไม่ควรพรากโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้สิ่งดีๆ ที่อยู่นอกห้องเรียนนอกเหนือจากตำราบ้างครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันจะมาประกอบกันให้ออกมาดีได้ มันขึ้นอยู่ที่การศึกษาครับไม่จำกัดว่าต้องเรียนในห้องเรียนท่องตำราเท่านั้นนะครับ
แต่สิ่งที่ท่านศึกษาค้นคว้านั้น ต้องนำมาใช้ประโยชน์ให้เป็น และก่อเกิดนวัตกรรมที่ดีต่อโลกได้ครับ ต่างชาติเขาทำได้ และผมก็มั่นใจ
ว่าคนไทยก็ทำได้ครับ แค่ต้องเดินให้ถูกทาง ศึกษาและนำมาใช้จริงได้ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ พยายาม ทุ่มเท ไม่ขี้แพ้ ครับ
หากท่านใดมีปัญหาอื่นนอกเหนือจากที่ผมกล่าวมา มาแชร์แบ่งปันกันได้นะครับ เผื่อกระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ไม่มากก็น้อยครับ
การศึกษาไทย ที่กี่สิบปีก็ไม่เคยพัฒนา
รณรงค์ให้เด็กไทยมองว่าการเรียนคือ สิ่งที่เลวร้ายตรงกันข้ามการศึกษาคือสิ่งที่จะพัฒนามนุษย์ให้เจริญขึ้นในทุกๆด้านครับ
ผมอยากให้ทุกท่านลองวิเคราะห์จากมุมมองของผม และหากว่าเรื่องราวในกระทู้นี้มีประโยชน์ต่อท่าน ผมก็หวังว่าจะสามารถ
นำไปเป็นแนวคิดเพื่อ เด็กๆลูกหลานของท่านไม่มากก็น้อยครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาส่วนหนึ่งจะมาจากน้องชายครับซึ่งตอนนี้เขาเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งใน กรุงเทพฯ ซึ่งอายุเราห่างกันเกือบ 20 ปีครับ และข้อมูลอีกส่วนคือข้อมูลที่มาจากประสบการณ์ตรงของผม รวมถึงผู้คนและเด็กๆที่ผมได้เจอมาในชีวิตนี้ครับ
ปัจจุบันเรามักจะได้เห็นนวัตกรรมทีมีประโยชน์ต่อโลก ทั้งด้านการใช้ประโยชน์รวมถึงด้านเศรษฐกิจ ย้ำอีกครั้งนะครับ นวัตกรรม
คือสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นแล้วสามารถทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้น สะดวกขึ้น ไม่รวมสิ่งของลอกเลียนแบบหรือของเทียมนะครับ นวัตกรรมส่วนใหญ่
มักมาจากที่ไหนบ้าง เดาไม่น่ายากใช่ไหมครับ ประเทศเหล่านี้หนุ่มสาวและวัยรุ่นในประเทศ มักจะแข่งกันคิดแข่งกันสร้าง และมักได้การสนับสนุนที่ดี
ทั้งด้านการเงินและทรัพยากร ต่างๆเพื่อการค้นคว้าวิจัย ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็คทรอนิค ซอร์ฟแวร์ อากาศยาน
อุปกรณ์สื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นต้น สิ่งที่ประเทศเหล่านี้ได้คืออะไร สิ่งแรกที่คิดออกไวๆเลยคือ ลดการนำเข้ามหาศาลมากครับ
เพราะว่า สิ่งของเหล่านี้มักมีมูลค่าสูงมากๆ รายได้เข้าประเทศ สร้างงานให้คนในชาติ เกิดการแข่งขันในด้านการพัฒนานวัตกรรม
ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทีนี้ในสื่อต่างๆ รวมถึงบนโซเชียลมีเดีย ก็มักจะมีข่าวเทคโนโลยีใหม่ๆ แนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความคิดเต็มไปหมด ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ ในการพัฒนาเด็กรุ่นใหม่ครับ
ทีนี้เรามาลองมองย้อนในบ้านเราบ้างครับ ผมได้มีโอกาสได้เห็นโครงงานวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยจากหลายๆที่นะครับ ตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย
ไล่ไปจนถึงระดับประถมครับ หลายๆโครงงานที่ผมได้พบเจอนั้นมีประโยชน์มหาศาลครับ แต่ก็ต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการต่อยอดเพื่อให้
โครงการเป็นรูปธรรมมากขึ้นครับ ถ้าพูดกันตรงๆก็คือขาดเงินทุนครับ นักศึกษาหลายๆคนที่ผมพบเจอ มีความคิดที่ดีมากๆครับแต่ไม่มีโอกาสได้
ลงมือทำจริงครับ เพราะเขามองว่าเรื่องที่เขาคิดนั้นเป็นไปได้ยาก หลักๆก็เพราะเงินทุนในการหาเทคโนโลยีมาเพื่อการวิจัยล้วนๆครับ พอเกิดแบบนี้
ทุกๆวันเข้า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คืออะไรครับ
ปัจจุบันหากเราเล่นโซเชียลมีเดียเป็นประจำ จะพอรู้ไม่มากก็น้อยครับว่าคนส่วนใหญ่สนใจเรื่องอะไร ขายอะไรกัน มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่เป็นที่นิยม
และเป็นกระแส ลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพแล้วกันนะครับ ตัวอย่างเช่น ครีมผิวขาว สบู่ ยาลดความอ้วน เสื้อผ้าจากจีน กระเป๋าก็อปปี้ ศัลยกรรม
เครื่องสำอางค์ ตัวอย่างที่กล่าวมา มีให้เกลื่อนตลาดเลยครับ ลองนึกภาพตามนะครับ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนในประเทศไทย ห้างสรรพสินค้า ตลาดกลางคืน
ร้านค้าออนไลน์ รวมไปถึงร้านค้าโชว์ห่วยแล้วครับปัจจุบัน จะต้องมีสินค้าเหล่านี้ขายซ้ำกัน เยอะมากๆครับ จนทุกวันนี้ผมเบื่อกับการเข้าห้างสรรพสินค้าไปแล้วครับ จะเข้าก็ต่อเมื่อต้องไปทำธุระแค่นั้นครับ แล้วผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่มีอยู่มากมายไปหมด คำถามคือทำไมถึงมีแต่สินค้าเหล่านี้เต็มท้องตลาดไปหมด ผมยังไม่เห็นประโยชน์และความจำเป็นว่าประเทศๆหนึ่งจะต้องมีสินค้าเหล่านี้เยอะๆนะครับ ยิ่งเยอะ ยิ่งแข่งราคาแทนที่ลูกค้าจะได้ซื้อของดีๆกับกลายเป็นว่า ต้องเลือกซื้อกันที่ราคาและก็ไม่รู้ว่า ลดต้นทุนกันมาขนาดไหนเพื่อให้ขายถูกๆได้ นอกจเสียจากการที่เด็กสาววัยรุ่นต่างอยากเป็น เน็ตไอดอลวัยรุ่นทรงโตโชว์หน้าอก แก้ผ้า เพื่อมาขายของเหล่านี้กันเต็มไปหมดครับ สรุปปัญหาเหล่านี้เกิดจากการทำตามๆกันใช่หรือไม่ครับ ไม่มีใครกล้าคิดต่าง คิดนวัตกรรมเลยครับ ที่นี้ข่าวสารต่างๆที่มีออกมาก็มีแต่ (ขออภัยนะครับ) ข่าว
1. พ่อแม่ในยุคปัจจุบันนิยมคิดแทนลูก จัดการเรื่องต่างๆให้ลูกโดยที่ลูกมีหน้าที่อย่างเดียวคือ ทำตามที่ท่านๆตีกรอบเอาไว้เท่านั้น จนกลายเป็นว่า
หากเด็กต้องการจะทำอะไรในสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยบอกให้ทำ จะต้องขออนุญาตตลอดทุกเรื่อง ไม่กล้าคิดอะไรเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ตัวอย่างหนึ่งที่ผมพบเจอกับตัวเองเลย คือวันหนึ่งผมไปยืนต่อคิวที่ตู้ ATM และมีคุณผู้หญิงท่านนึงยืนใช้งานอยุ่ก่อน คุณผู้หญิงท่านนี้อายุน่าจะวัยเดียวกับผมครับ ใส่ชุดทำงานครับแต่งกายดีครับและสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตู้ ATM นั้นเกิดขัดข้องครับและบัตรของเธอก็ยังอยู่ในนั้นครับ สิ่งแรกที่เธอทำคือกดโทรศัพท์ครับ แล้วเธอก็พูดว่า
" แม่ทำยังไงดี ตุ้ ATM มันดูดบัตรหนุเข้าไป หนุยืนกดเงินอยุ่แล้วมันก็บอกว่าเกิดขัดข้อง " คือที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะว่า บนตู้ ATM มันก็มี
เบอร์ติดต่อสำหรับกรณีเกิดปัญหาจากการใช้งานครับ และชัดเจนมากครับ เวลาเราเจอปัญหาอะไรจะมีอยู่สองทางครับ คือเรียกให้คนอื่นช่วย
โดยที่ "ไม่พยายาม" เองก่อน หรือลองแก้ปัญหาด้วยตนเองก่อนนะครับ ผมต่อว่าตรงๆเลยครับเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลยครับ และก็ไม่อยากให้เกิด
แบบนี้กับเด็กรุ่นใหม่เลยครับ เรื่องนี้สำคัญมากเลยนะครับในการคิดอะไรนอกกรอบ หรือจะออกแบบอะไร ถ้าติดอยู่กับกรอบเดิมๆ หรือไม่กล้าคิด
ไม่มีทางเลยครับที่จะมีนวัตกรรมดีๆอะไรออกมาได้เลย
2. เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องการนำตำราเรียน มาใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงครับ วันหนึ่งผมได้ถามน้องชายว่า "อาทิตย์ที่ผ่านมาเรียน เลขเรื่องอะไร"
เขาก็ตอบมาว่าเรื่องนี้ และผมก็ถามต่อไปว่า "คิดว่าเรื่องที่เรียนไปนี่เอามาทำประโยชน์อะไรได้บ้างไหม" คำตอบที่ผมได้รับคือ "ไม่รู้อ่ะ" ผมก็ย้ำ
ไปว่า "เอาดีๆถามจริงจัง สาระเลย อย่ากวนตีน" เขาก็ตอบว่า "จริงจัง ไม่รู้จริงๆ" ผมถึงกับอึ้งกับคำตอบเลยครับเนื้อหาที่เขาเได้เรียนเป็นเรื่องที่ดี
เลยนะครับแต่ผม ผิดหวังจริงๆครับที่สิ่งที่เขาเรียนนั้นเขาไม่เข้าใจว่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้ นำไปสร้างหรือพัฒนาอะไรได้ กลายเป็นว่า
เด็กก็เรียนๆให้จบๆไป อย่างนักศึกษาที่จบคณะวิทยาศาตร์ แล้วต้องไปทำงานธนาคาร ผมไม่ได้บอกว่าการทำงานธนาคารไม่ดีนะครับ แต่สิ่ง
ที่พวกคุณได้เรียนมานั้นสามารถสร้างและพัฒนาอะไรได้ยิ่งใหญ่กว่านั่นมากๆเลยนะครับ แต่บ้านเรากลับยังไม่ให้ความสำคัญในการทำวิจัย
และพัฒนาในเชิงวิทยาศาสตร์ ( พูดกันตรงๆคือทำงานธนาคาร เงินเดือนจะดีกว่าทำงานในสถาบันวิจัยครับ )
3. เรื่องนี้เป็นเรื่องบุคคลตัวอย่างครับ เราปฏิเสธไม่ได้นะครับ ว่าเรามักจะมองว่าสิ่งที่พ่อแม่หรือคนรอบข้างนั้นทำ มักจะเป็นเรื่องที่เราเคยชินหรือเห็นจนชินตาสำหรับเราเสมอ ตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อแม่หรือคนในสังคม คนรอบข้างขายเสื้อผ้าเลียนแบบ ( ก็อปแบรนด์ ) ก็จะปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกก็จะชินตากับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เกิดเป็นวงจรนี้ไม่จบสิ้น ตามจับอย่างไรก็ไม่มีทางหมดหรอกครับ จากธุรกิจที่เคยเป็นสีดำก็กลายเป็นขาวทันที จากความเคยชิน กลายเป็นว่าไม่มีนวัตกรรมอะไรใหม่ในประเทศและสังคมเลยครับ เด็กรุ่นใหม่ก็ได้แค่ลอกเลียนแบบสินค้า หรือนวัตกรรมจากต่างชาติไม่จบไม่สิ้น และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงๆในสังคมปัจจุบันนี้ครับ สังเกตุจาก ห้างสรรพสินค้า ตลาดขายของกลางคืน ตลาดวัยรุ่น ได้เลยครับ ขายเหมือนๆกันหมดทั้งตลาดเลยครับ
4. เรื่องนี้เป็นที่เด็กปัจจุบันเป็นกันเยอะมากๆๆๆ ครับเรียนไปแต่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรอยากทำอะไร ไม่ต้องใครที่ไหนไกลเลยครับ ตัวผมเองเลยครับ
สมัยตอนยังเรียนอยู่ ตอนเรียนอยากเป็นวิศวกร ใครๆก็บอกว่าผมเรียนได้ๆ ทั้งครู และเพื่อนๆ แต่เอาเข้าจริงๆพอได้เรียนด้านนี้ รู้เลยว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบจริงๆและไม่ตอบโจทย์ชีวิตผมเลยครับ มาค้นหาตัวเองจนพบว่าเราชอบด้านการค้าการบริหารครับ กลายเป็นว่าผมต้องมาเริ่มใหม่เองที่นอกห้องเรียนครับ คือชีวิตธุรกิจจริงๆครับ เจ๊งจริง เจ็บจริง ครับเพราะขาดความรู้ล้วนๆครับ กว่าจะยืนได้ขวากหนามทิ่มแทงสารพัดนึกเลยครับ ผมไม่อยากให้ความไม่ใช่ตัวตนไปเกิดขึ้นกับเด็กรุ่นใหม่ครับ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเกิดการใส่ใจอย่างถูกต้อง (ไม่ตีกรอบ ออกคำสั่ง คิดแทน ชี้นิ้วให้เขาเป็น ) ของพ่อแม่และครูแนะแนวนะครับ เรียนหมอ เรียนวิศวะ ภาพลักษณ์มันดีครับ แต่ถ้าไม่ใช่ตัวตนของเรา ชีวิตเด็กคนนึงอาจจบไม่สวยเลยนะครับ แทนที่จะไปทำอะไรที่เขาถนัดและสร้างมันได้ดี
5. ในปัจจุบันเด็กไทยนิยมเรียนพิเศษตามสถาบันกวดวิชากันมาก เพื่อให้ผลการเรียนดีขึ้น เพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จนกลายเป็นว่าตอนอยู่
ที่โรงเรียนเด็กแทบไม่ได้อะไรเลย หวังว่าจะไปเข้าใจ เนื้อหาที่เรียนจากติวเตอร์แทน ทั้งๆที่เด็กควรจะได้ความรู้ความเข้าใจจากที่โรงเรียนมาเลย
ถ้าอย่างนั้นผมเสนอว่าให้จัดตั้งสถาบันกวดวิชา ให้เป็นสถานศึกษาไปเลยครับและสามารถออกวุฒิการศึกษาให้เด็กได้ ผลที่ได้น่าจะออกมาดีกว่า
สถาบันการศึกษาที่มีในปัจจุบันครับ เวลาที่นอกเหนือจากการเรียนในสถานศึกษา จะได้เป็นเวลาของเด็กได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ได้ไปเที่ยว
เรียนรู้หาประสบการณ์ชีวิต ทั้งในประเทศและต่างประเทศบ้าง ได้ไปลองทำงานพิเศษได้ลองเจอชีวิตจริงบ้าง จะได้เป็นคนพยายาม อดทน สู้งาน
ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เวลาของเด็กเราไม่ควรพรากโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้สิ่งดีๆ ที่อยู่นอกห้องเรียนนอกเหนือจากตำราบ้างครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันจะมาประกอบกันให้ออกมาดีได้ มันขึ้นอยู่ที่การศึกษาครับไม่จำกัดว่าต้องเรียนในห้องเรียนท่องตำราเท่านั้นนะครับ
แต่สิ่งที่ท่านศึกษาค้นคว้านั้น ต้องนำมาใช้ประโยชน์ให้เป็น และก่อเกิดนวัตกรรมที่ดีต่อโลกได้ครับ ต่างชาติเขาทำได้ และผมก็มั่นใจ
ว่าคนไทยก็ทำได้ครับ แค่ต้องเดินให้ถูกทาง ศึกษาและนำมาใช้จริงได้ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ พยายาม ทุ่มเท ไม่ขี้แพ้ ครับ
หากท่านใดมีปัญหาอื่นนอกเหนือจากที่ผมกล่าวมา มาแชร์แบ่งปันกันได้นะครับ เผื่อกระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ไม่มากก็น้อยครับ