ขอเกริ่นถึงที่มาของการตั้งกระทู้นี้ก่อน หลังจากเราได้อ่านกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/36440977 ก็รู้สึกชื่นชม จขกท ก่อนเลยว่ามีความกล้า และเขียนกระทู้ได้ตรงประเด็นมีแต่ความจริง แล้วก็ไม่อ้างอิงถึงชื่อวัดให้วัดเสียหายหรือให้เข้าเกณฑ์หมิ่นประมาทด้วย ทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาบ้าง
เราไม่ขอแนะนำตัวมาก แต่ขอบอกว่าเราได้เข้าวัดนี้มานานละ และก็รู้จักกับพระในวัดนี้ที่บวชมานานนนน หลายต่อหลายรูป และแม่ชี กับคนวัดอีกหลายคนและก็ได้รับรู้เรื่องราวแย่ๆ ของหลวงเจ๊กลุ่มนี้มานานมากๆ แล้ว หลังจากมีคนออกมาพูดความจริงก็ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา กระทู้นั้นทำให้หลวงเจ๊ทั้งหลายและบรรดาลูกสมุน ได้หนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน เพราะที่ผ่านๆมาเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถทำอะไรพวกเจ๊แกได้เลยหน้าด้านมากๆ ว่างั้น
กระทู้นี้เราจะขอเจาะลึกรายบุคคลกันไปเลยถึงวีรกรรมของแต่ละท่าน เริ่มจาก ชื่อเล่นของหลวงเจ๊กลุ่มนี้ที่คนในวัดเรียกกันก็คือ “วัง.....” แต่เพื่อความไม่พาดพิงจะขอเรียกว่า “วังดอกไม้” (ความหมายคล้ายๆกัน) ก็แล้วกันนะ มาจากที่พวกเจ๊ๆ แกเป็นตุ๊ดที่ชอบใช้ของหรูอ อยู่สบาย และพวกแกก็ชอบจัดดอกไม้ตามงานพิธีต่างๆ และยังเป็นแหล่งมั่วสุมอะไรหลายๆอย่าง คนก็เลยเรียกกลุ่มนี้ว่าวังดอกไม้ ซึ่งจริงๆแล้วการจัดดอกไม้ก็ผิดพระวินัย เพราะพระวินัยบัญญัติไว้ว่าพระจัดดอกไม้ไม่ได้ แต่มันก็อาจจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยกับสิ่งที่แก๊งวังบุปผาเคยได้ทำ ทั้งคอยจับจองพระรูปหล่อที่ตัวเองชอบ หรือพระที่รวยเพื่อที่จะได้เป็นพระพี่เลี้ยง ทั้งชอบลวนลาม แอบจับ หรือลูบไล้ร่างกายพระเหล่านั้น ถ้าพระใหม่ยอม พวกแกก็จะลามไปถึงจับก้น หอมแก้ม หรือล้วงอวัยวะเพศ (หรือจะทำอะไรมากกว่านั้นก็ไม่ทราบได้)
เอาละ เรามาเจาะลึกรายบุคคลกัน
คนที่หนึ่ง “หลวงเจ๊สอนขานนาค”
คนแรกจะขอพูดถึงหลวงเจ๊สอนขานนาค รูปร่างอ้วนดำ พูดจาจีบปากจีบคอตลอดเวลา หลวงเจ๊ไม่เคยสนใจเรื่องทำวัตร สวดมนต์หรือปฏิบัติธรรมภาวนา มักจะนอนดึกตื่นสาย ไม่บิณฑบาตร หากว่าได้เข้าไปดูใน Facebook ของเจ๊ เจ๊จะบอกว่าสิ่งที่เจ๊ทำอยู่คืองานในฝัน ก็แหงล่ะ ได้เจอผู้ชายหน้าใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ได้คอยหยอกล้อ คอยส่งตาหวานเล่นหูเล่นตากับพระหนุ่มๆ ที่ถูกสเปค มีทั้งพูดจาจับจองขอให้ตัวเองได้เป็นพระพี่เลี้ยงของคนที่มาเตรียมบวชที่ตัวเองถูกใจ ทั้งลวนลามลูบไล้ แล้วยังมีบังคับให้พระหนุ่มเณรน้อยเข้าไปนอนค้างที่กุฏิของตัวเองอีก
ช่วงปีที่แล้ว Pokemon Go กำลังดังแบบถล่มทลาย หลวงเจ๊คนนี้แหละก็เป็นหนึ่งในเทรนเนอร์ที่ตั้งใจเล่นไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงขนาดชักชวนให้พระใหม่ที่บวชในพรรษามาร่วมเล่นและยังพยายามให้พระรูปอื่นๆ เปลี่ยนให้อยู่ทีมสีเดียวกันอีกด้วย และขอบอกเลยนะว่าในพรรษานั้นหลวงเจ๊แกได้รับมอบหมายให้สอนพระวินัยให้กับพระที่จำพรรษาในหลักสูตรนักธรรมตรีอีกด้วยนะ แน่มั้ยล่ะ เจ๊สอนพระวินัยแต่ก็ชวนเล่นเกม
เรื่องน่าเม้าอีกเรื่องก็คือตอนทางวัดมีการจัดงานบุญใหญ่ก็จะมีทหารมาช่วยงาน หลวงเจ๊คนนี้ก็จะขอรับหน้าที่ดูแลทหารตลอด ด้วยความเต็มใจ ดูกระดี๊กระด๊ามีความสุขอยู่เสมอ และหลวงเจ๊ยังชอบทำงานที่ได้ออกหน้าออกตา เช่นงานบวชโครงการต่างๆ หรือแม้แต่พระมาจากวัดอื่นเจ๊ก็จะขอมีส่วนร่วม พระบวชใหม่ในโครงการก็มีทั้งแก่คราวพ่อหลวงเจ๊ หรือหนุ่มๆ ก็มี แต่หลวงเจ๊แกเรียกว่าเด็กๆ หรือลูกๆ ปานประหนึ่งเอ็นดูลูกหลาน สร้างความเอือมระอาให้กับคนที่ได้พบเห็นหรือได้ยินอยู่เสมอ แต่เจ๊ก็ไม่เคยสนใจ
คนที่ 2 “หลวงตานกเพนกวิ้น”
คนที่ 2 จะขอเล่าถึงหลวงตานกเพนกวิ้นจากกระทู้
https://pantip.com/topic/36440977 (ใครตามไม่ทันก็กลับไปอ่านกระทู้ที่อ้างอิงไว้นะ) หลวงตาคนนี้ดูภายนอกถ้าไม่รู้จักกันแกจะไม่ออกสาวเลย กุฏิใหญ่ของแกจะเป็นด่านแรกของผู้เคราะห์ร้ายหลายๆคน ที่ไม่รู้จักกับใครในวัดนี้เลย ส่วนมากถ้าจู่ๆก็เข้ามาบวชแบบไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรในวัด ก็จะถูกจับเข้าพักกับหลวงตานี้ ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นที่ชื่นชอบของหลวงตาไม่น้อยเช่นกันที่ได้เจอผู้ชายหน้าใหม่ๆตลอด
แถมยังมีวิธีหากินที่น่า...มาก คือญาติโยมที่เข้ามาขอบวข ด้วยความไม่รู้ก็ขอให้หลวงตาจัดชุดบวชให้ หลวงตากับพรรคพวกก็จะมีการเวียนเอาอัฐบริขาร บาตร จีวร ของเก่าจากพระที่สึกไปแล้วทำบุญไว้กะว่าให้คนอื่นได้ใช้ต่อ ซึ่งหลวงตาก็จะเอามาจัดเข้าชุดบวชใหม่ โดยคิดราคาเต็มเท่ากับซื้อของใหม่ในร้านขายสังฆภัณฑ์ในซอยวัด มีแต่ได้กับได้ ฉลาดไหมละ
คนใหม่ๆบางทีก็อาจจะให้เข้ามานวด ”เอาบุญ” จากพระผู้ใหญ่ แล้วถ้ายังอยู่ในกุฏิแกเรื่อยๆ แล้วถูกใจแกเข้าก็จะมีทั้งหอมแก้มหรือพยายามดู จับ หรือล้วง อวัยวะเพศของผ้าขาวหรือพระที่อยู่กับแกอยู่เรื่อยๆ แล้วยังมีคนจากข้างนอกท่าทางน่าสงสัย แต่ก็เห็นมาหาแกอยู่เรื่อยๆ เดาว่าคงจะมาเอาเงิน เพราะมาทีไร เงินของหลวงตาก็จะลดลงไม่น้อยเลย บ่อยครั้งที่บัญชีแกติดลบเป็นหลักหมื่น หรือหลักแสน แล้วก็ยังถึงกับมีญาติโยมเคยเอาถั่วดำมาถวายให้ด้วยความประชด แต่แกก็ยังกระทำการลวนลามและยักยอกเงิน อยู่เสมอมา เมื่อก่อนหลวงตานี่เรียกได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลมากเลยทีเดียว จะเรียกว่าทำตัวเป็น “มาเฟีย” ก็ไม่ผิดจากความเป็นจริงเลยนะ เพราะถือตัวว่าเป็นน้องเจ้าอาวาสจะทำอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้เจ้าอาวาสเสียไปแล้ว ก็ดูจะถูกลดบทบาทลงไป
คนที่ 3 “หลวงเจ๊แบรนด์เนม”
คนที่ 3 จะขอพูดถึงกระเทยอ้วนที่จีบปากจีบคอไม่น้อยกว่ากระเทยอ้วนดำ หลวงเจ๊คนนี้นั้นมาจาก จ.เพชรบูรณ์ เคยถูกไล่มาจากวัดป่าชื่อดังทางอีสานด้วยพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แล้วหลวงเจ๊ก็ไม่ได้บวชที่วัดนี้อีกด้วย ตอนแรกที่จะมาอยู่วัดนี้ อดีตเจ้าอาวาสก็ไม่อนุญาติ แต่ก็พยายามหาคนนู้นคนนี้มาช่วยจนผลักดันตัวเองเข้ามาอยู่ในวัดนี้ได้ แล้วด้วยความพยายามและความทะเยอทะยานทำให้เจ๊แกมีบทบาทในวัดและนอกวัด มีหน้ามีตาในวัดหลวงในเขต กทม.อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วยังมีบทบาทไม่น้อยในโครงการพระธรรมทูติที่อบรมส่งพระไปต่างประเทศอีกด้วย
หลวงเจ๊ผู้นี้เป็นผู้ครอบครองกุฏิใหญ่โตติดแอร์ทุกห้อง พร้อม wifi, tablet ครบครัน พร้อมกับด้วยนิสัยที่แกชอบจัดดอกไม้ และใช้กุฏิใหญ่นั้นเป็นที่มั่วสุมและเป็นที่ซ่องสุมกำลังพล คนในวัดจึงเรียกกุฏินี้ว่า “วังดอกไม้” ซึ่งก็เหมารวมถึงสมาชิกในแก๊งของแกด้วยเช่นกัน ก็มีอยู่หลายคนที่อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวแกเป็นหัวหน้าวังดอกไม้นี้ (แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะมีอีกคนนึงแล้วจะเล่าต่อไป) ส่วนตัวแกนั้นชอบไปต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น ชอบใช้ของหรูหรา แว่นตาราคาหลายหมื่น กระเป๋า Louis Vuitton หรือของแบรนด์เนมยี่ห้อต่างๆ เพื่อประดับบารมีและโอ้อวดไปตามประสาคนมีปมด้อยขาดความอบอุ่น แบบที่พ่อหรือแม่ที่มีชู้
เรื่องลวนลาม จับจองพระหรือโยมก็มีเหมือนๆคนอื่นๆในแก็งค์แหละนะ ขี้เกียจพูดบ่อยแล้วเดี่ยวจะเบื่อกัน โดยพรรคพวกของแกก็จะคอยเชิดชูผลงานของแกอยู่เสมอๆ ว่า จัดดอกไม้สวย จัดงานดีเรียบร้อย บลาๆๆ ก็จริงอยู่ที่ว่าแกทำงานดี ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยเงินที่ควรจะเข้าวัดแต่เสีย หรือใช้จ่ายเกินไปในขั้นตอนไหนก็ไม่รู้
คนที่ 4 “หลวงเจ๊กระเทยควาย” หัวหน้าตัวจริงแห่งวังดอกไม้
คนที่ 4 สุดท้ายจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือหัวหน้าตัวจริงแห่งวังดอกไม้ มีบทบาทในวัดไม่น้อยเลยทีเดียวกับหลวงเจ๊คนนี้ เจ๊จะคอยเข้าประชุมคณะสงฆ์อยู่เสมอ ลักษณะภายนอกอาจจะดูไม่ออกว่าเป็นตุ๊ดถ้าไม่รู้จัก แต่อธิบายรูปร่างแบบสั้นๆ ก็คือกระเทยควายนั้นเอง อ้วนตัวใหญ่พูดจาโผงผางเสียงดัง ใช้เสียงดังข่มเป็นอาวุธเวลามีเรื่องเถียงกันกับคนอื่นๆ ดูเผินๆเหมือนจะมีหลักการ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่เลย ถ้าจะมีหลักการก็คงจะมีแต่ตอนพูดต่อหน้าคนอื่นเยอะๆเท่านั้นแหละ พระวินัยอะไรก็ไม่เอา ทำวัตรสวดมนต์ก็ไม่เอาเหมือนกันทั้งแก๊งค์นั่นแหละ
เมื่อสองปีก่อนมีสอนพระวินัยในช่วงเข้าพรรษา โดยปีที่ผ่านๆมาก็จะใช้เวลาเรียนพระวินัยกันมากกว่า 10 วัน แต่คราวนี้เจ๊ขอใช้แค่ 2-3 วันพอ เจ๊บอกว่าเรื่องพระวินัยมันบังคับใช้ไม่ได้แล้ว คือว่าง่ายๆ แกจะสอนให้คนอื่นไม่เคร่งครัดแล้วแกจะได้ทำอะไรก็ได้ประมาณนั้น มีงานมีเงินอยู่ที่ไหน ก็จะมีแกอยู่เรื่อยไป แล้วแกยังชอบจัดโรงทานอีกด้วย โห ดูใจบุญเนอะ ไม่รู้ไปเอาเงินมาจากไหน
ย้อนกลับไปอีกหน่อยเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว แกดูจะได้พบรักกับพระใหม่อยู่รูปหนึ่ง คนในวัดพบเห็นว่าเดินอยู่ด้วยกันอยู่เสมอๆ เป็นอันรู้กันว่าสนิทสนมกัน แต่แล้วจู่ๆพระรูปนั้นก็สึกไปอย่างกระทันหัน ทำให้หลวงเจ๊ร้องไห้เสียใจเป็นอันมาก หูตก คอตก หางตก เซื่องซึมเป็นหมาหงอยไปเป็นระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
เล่าถึงรายละเอียดถึงหลวงเจ๊พวกนี้แล้ว จะว่าเพราะอยากแฉก็ได้นะ แต่ที่อยากได้มากกว่านั้นก็คืออยากจะเรียกร้องความถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้คนชั่วช่มคนดี ทำดีประมาณนึงแล้วเอามาปกปิดความชั่วทั้งหมดได้ โดยทำดีแล้วจะทำชั่วอย่างไรก็ได้ จะมีคนปกป้องแล้วเรื่องก็จบลงเพราะกลัวเสียชื่อเสียงวัด และจากที่ฟังจากพระที่วัดมาว่าอิทธิพลจากกระทู้พันทิปกลับมีผลมากกว่าเสียงแห่งความถูกต้องในวัดเสียอีก ซึ่งฟังดูก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า และเราก็ไม่อยากจะปล่อยไว้เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย
เราขอเดาว่าคุณสมาชิกหมายเลข 3852093 จากกระทู้นั้นคือคนที่บวชโครงการประจำเดือนเมษา เพราะข้อมูลมันค่อนข้างที่จะชัด แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ เราไม่มีเจตนามาขุดคุ้ยว่าคุณคือใคร แต่เรามีเจตนาคือสานต่อเจตนารมณ์ ทั้งในเรื่องการเตือนคนที่จะเข้ามาบวช และคนที่จะส่งลูกหลานเข้ามาบวช ว่าคนกลุ่มนี้ใช้ชื่ออดีตเจ้าอาวาส และชื่อวัดในการหากินยังไง โดยที่งานบุญนี้จัดขึ้นเพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้ามาบวชโดยไม่เสียค่าใช่จ่ายใดๆเลย แน่นอนว่าต้องมีเจ้าภาพ และเงินทำบุญนั้นที่ได้มานั้นก็ไม่น้อย ทั้งเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายตลอดการบวชทั้งเครื่องอัฐบริขาร ฯลฯ ประเด็นคือเมื่องานจบ พระสึก เงินเหลือนั้นเกินอะไรขึ้น ก็พวกแก๊งวังบุปผานี่แหละที่เอาเงินมาแบ่งเข้ากระเป๋ากินกันเอง
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง พวกมันเอาเงินบุญโดยใช้ชื่ออดีตเจ้าอาวาสและชื่อวัด เอาเงินที่เหลือจากงานบุญการบวชมาแบ่งกินกันเอง โดยไม่ได้นำเข้าวัด ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องนำเงินนี้เข้าวัดเพื่อบำรุงวัดต่อไป แต่นี่จะเรียกว่าอะไรกันดีล่ะ เลวระดับไหนลองนึกกันดู
แล้วมีคนอีกไม่รู้กี่คน หลัก ร้อย พัน หรือหมื่นแล้วที่ต้องหมดศรัทธาไปจากวัด หรือจากศาสนาพุทธไปเลย เกลียดวัด เกลียดพระไปเลย ก็เยอะ เพราะถูกไอมารศาสนาพวกนี้ลวนลาม และใช้อุบายหลอกเอาเงินไปอีก ไม่ใช่เฉพาะผู้ชายที่โดนลวนลามเท่านั้นหรอก เพราะถ้าพวกเขาเจออะไรแบบนี้เขาก็จะต้องบอกต่ออยู่แล้ว แต่ก็มีน้อยที่จะมีใครกล้าที่จะออกมาฟ้องมายืนยันว่าพวกเจ๊นี้ทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้บ้าง คนที่เคยอยยากจะไปเอาเรื่องก็มักจะมีพระรูปอื่น ไม่รู้พวกเดียวกันมั้ยชอบมาขอร้องว่าอย่าทำเลยเดี๋ยววัดจะเสียชื่อเสียง ไอ้พวกนี้มันก็ได้ใจทำต่อมาอย่างยาวนานสิ ก็ขอออกมาเรียกร้องไม่ใช่แค่คนที่เคยถูกพระลวนลามทางเพศนะ ทุกคนนั่นแหละอย่าอายเลย ออกมาเปิดไฟส่องไปหาไอ้พวกนี้ พวกมันจะได้อยู่ในสังคมไม่ได้ เพราะถ้ายิ่งเงียบ ยิ่งเหนียมอาย ไอ้พวกนี้มันก็ยิ่งลอยหน้าลอยตาหน้าด้านทำชั่วต่อไปในสังคมต่อไปเรื่อยๆ ไม่ไปไหนสักที
เมื่อได้รับรู้เรื่องราวเช่นนี้แล้ว ... เราจะแก้ไขอย่างไรกันดี??
เราจะทำอย่างไรดี?? ในยุคที่ยิ่งกว่าใต้เตียงดารา คือใต้หลังคากุฏิ (ต่อจากระทู้ลูกชายของผมถูกพระลวนลาม)
เราไม่ขอแนะนำตัวมาก แต่ขอบอกว่าเราได้เข้าวัดนี้มานานละ และก็รู้จักกับพระในวัดนี้ที่บวชมานานนนน หลายต่อหลายรูป และแม่ชี กับคนวัดอีกหลายคนและก็ได้รับรู้เรื่องราวแย่ๆ ของหลวงเจ๊กลุ่มนี้มานานมากๆ แล้ว หลังจากมีคนออกมาพูดความจริงก็ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา กระทู้นั้นทำให้หลวงเจ๊ทั้งหลายและบรรดาลูกสมุน ได้หนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน เพราะที่ผ่านๆมาเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถทำอะไรพวกเจ๊แกได้เลยหน้าด้านมากๆ ว่างั้น
กระทู้นี้เราจะขอเจาะลึกรายบุคคลกันไปเลยถึงวีรกรรมของแต่ละท่าน เริ่มจาก ชื่อเล่นของหลวงเจ๊กลุ่มนี้ที่คนในวัดเรียกกันก็คือ “วัง.....” แต่เพื่อความไม่พาดพิงจะขอเรียกว่า “วังดอกไม้” (ความหมายคล้ายๆกัน) ก็แล้วกันนะ มาจากที่พวกเจ๊ๆ แกเป็นตุ๊ดที่ชอบใช้ของหรูอ อยู่สบาย และพวกแกก็ชอบจัดดอกไม้ตามงานพิธีต่างๆ และยังเป็นแหล่งมั่วสุมอะไรหลายๆอย่าง คนก็เลยเรียกกลุ่มนี้ว่าวังดอกไม้ ซึ่งจริงๆแล้วการจัดดอกไม้ก็ผิดพระวินัย เพราะพระวินัยบัญญัติไว้ว่าพระจัดดอกไม้ไม่ได้ แต่มันก็อาจจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยกับสิ่งที่แก๊งวังบุปผาเคยได้ทำ ทั้งคอยจับจองพระรูปหล่อที่ตัวเองชอบ หรือพระที่รวยเพื่อที่จะได้เป็นพระพี่เลี้ยง ทั้งชอบลวนลาม แอบจับ หรือลูบไล้ร่างกายพระเหล่านั้น ถ้าพระใหม่ยอม พวกแกก็จะลามไปถึงจับก้น หอมแก้ม หรือล้วงอวัยวะเพศ (หรือจะทำอะไรมากกว่านั้นก็ไม่ทราบได้)
เอาละ เรามาเจาะลึกรายบุคคลกัน
คนที่หนึ่ง “หลวงเจ๊สอนขานนาค”
คนแรกจะขอพูดถึงหลวงเจ๊สอนขานนาค รูปร่างอ้วนดำ พูดจาจีบปากจีบคอตลอดเวลา หลวงเจ๊ไม่เคยสนใจเรื่องทำวัตร สวดมนต์หรือปฏิบัติธรรมภาวนา มักจะนอนดึกตื่นสาย ไม่บิณฑบาตร หากว่าได้เข้าไปดูใน Facebook ของเจ๊ เจ๊จะบอกว่าสิ่งที่เจ๊ทำอยู่คืองานในฝัน ก็แหงล่ะ ได้เจอผู้ชายหน้าใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ได้คอยหยอกล้อ คอยส่งตาหวานเล่นหูเล่นตากับพระหนุ่มๆ ที่ถูกสเปค มีทั้งพูดจาจับจองขอให้ตัวเองได้เป็นพระพี่เลี้ยงของคนที่มาเตรียมบวชที่ตัวเองถูกใจ ทั้งลวนลามลูบไล้ แล้วยังมีบังคับให้พระหนุ่มเณรน้อยเข้าไปนอนค้างที่กุฏิของตัวเองอีก
ช่วงปีที่แล้ว Pokemon Go กำลังดังแบบถล่มทลาย หลวงเจ๊คนนี้แหละก็เป็นหนึ่งในเทรนเนอร์ที่ตั้งใจเล่นไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงขนาดชักชวนให้พระใหม่ที่บวชในพรรษามาร่วมเล่นและยังพยายามให้พระรูปอื่นๆ เปลี่ยนให้อยู่ทีมสีเดียวกันอีกด้วย และขอบอกเลยนะว่าในพรรษานั้นหลวงเจ๊แกได้รับมอบหมายให้สอนพระวินัยให้กับพระที่จำพรรษาในหลักสูตรนักธรรมตรีอีกด้วยนะ แน่มั้ยล่ะ เจ๊สอนพระวินัยแต่ก็ชวนเล่นเกม
เรื่องน่าเม้าอีกเรื่องก็คือตอนทางวัดมีการจัดงานบุญใหญ่ก็จะมีทหารมาช่วยงาน หลวงเจ๊คนนี้ก็จะขอรับหน้าที่ดูแลทหารตลอด ด้วยความเต็มใจ ดูกระดี๊กระด๊ามีความสุขอยู่เสมอ และหลวงเจ๊ยังชอบทำงานที่ได้ออกหน้าออกตา เช่นงานบวชโครงการต่างๆ หรือแม้แต่พระมาจากวัดอื่นเจ๊ก็จะขอมีส่วนร่วม พระบวชใหม่ในโครงการก็มีทั้งแก่คราวพ่อหลวงเจ๊ หรือหนุ่มๆ ก็มี แต่หลวงเจ๊แกเรียกว่าเด็กๆ หรือลูกๆ ปานประหนึ่งเอ็นดูลูกหลาน สร้างความเอือมระอาให้กับคนที่ได้พบเห็นหรือได้ยินอยู่เสมอ แต่เจ๊ก็ไม่เคยสนใจ
คนที่ 2 “หลวงตานกเพนกวิ้น”
คนที่ 2 จะขอเล่าถึงหลวงตานกเพนกวิ้นจากกระทู้ https://pantip.com/topic/36440977 (ใครตามไม่ทันก็กลับไปอ่านกระทู้ที่อ้างอิงไว้นะ) หลวงตาคนนี้ดูภายนอกถ้าไม่รู้จักกันแกจะไม่ออกสาวเลย กุฏิใหญ่ของแกจะเป็นด่านแรกของผู้เคราะห์ร้ายหลายๆคน ที่ไม่รู้จักกับใครในวัดนี้เลย ส่วนมากถ้าจู่ๆก็เข้ามาบวชแบบไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรในวัด ก็จะถูกจับเข้าพักกับหลวงตานี้ ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นที่ชื่นชอบของหลวงตาไม่น้อยเช่นกันที่ได้เจอผู้ชายหน้าใหม่ๆตลอด
แถมยังมีวิธีหากินที่น่า...มาก คือญาติโยมที่เข้ามาขอบวข ด้วยความไม่รู้ก็ขอให้หลวงตาจัดชุดบวชให้ หลวงตากับพรรคพวกก็จะมีการเวียนเอาอัฐบริขาร บาตร จีวร ของเก่าจากพระที่สึกไปแล้วทำบุญไว้กะว่าให้คนอื่นได้ใช้ต่อ ซึ่งหลวงตาก็จะเอามาจัดเข้าชุดบวชใหม่ โดยคิดราคาเต็มเท่ากับซื้อของใหม่ในร้านขายสังฆภัณฑ์ในซอยวัด มีแต่ได้กับได้ ฉลาดไหมละ
คนใหม่ๆบางทีก็อาจจะให้เข้ามานวด ”เอาบุญ” จากพระผู้ใหญ่ แล้วถ้ายังอยู่ในกุฏิแกเรื่อยๆ แล้วถูกใจแกเข้าก็จะมีทั้งหอมแก้มหรือพยายามดู จับ หรือล้วง อวัยวะเพศของผ้าขาวหรือพระที่อยู่กับแกอยู่เรื่อยๆ แล้วยังมีคนจากข้างนอกท่าทางน่าสงสัย แต่ก็เห็นมาหาแกอยู่เรื่อยๆ เดาว่าคงจะมาเอาเงิน เพราะมาทีไร เงินของหลวงตาก็จะลดลงไม่น้อยเลย บ่อยครั้งที่บัญชีแกติดลบเป็นหลักหมื่น หรือหลักแสน แล้วก็ยังถึงกับมีญาติโยมเคยเอาถั่วดำมาถวายให้ด้วยความประชด แต่แกก็ยังกระทำการลวนลามและยักยอกเงิน อยู่เสมอมา เมื่อก่อนหลวงตานี่เรียกได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลมากเลยทีเดียว จะเรียกว่าทำตัวเป็น “มาเฟีย” ก็ไม่ผิดจากความเป็นจริงเลยนะ เพราะถือตัวว่าเป็นน้องเจ้าอาวาสจะทำอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้เจ้าอาวาสเสียไปแล้ว ก็ดูจะถูกลดบทบาทลงไป
คนที่ 3 “หลวงเจ๊แบรนด์เนม”
คนที่ 3 จะขอพูดถึงกระเทยอ้วนที่จีบปากจีบคอไม่น้อยกว่ากระเทยอ้วนดำ หลวงเจ๊คนนี้นั้นมาจาก จ.เพชรบูรณ์ เคยถูกไล่มาจากวัดป่าชื่อดังทางอีสานด้วยพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แล้วหลวงเจ๊ก็ไม่ได้บวชที่วัดนี้อีกด้วย ตอนแรกที่จะมาอยู่วัดนี้ อดีตเจ้าอาวาสก็ไม่อนุญาติ แต่ก็พยายามหาคนนู้นคนนี้มาช่วยจนผลักดันตัวเองเข้ามาอยู่ในวัดนี้ได้ แล้วด้วยความพยายามและความทะเยอทะยานทำให้เจ๊แกมีบทบาทในวัดและนอกวัด มีหน้ามีตาในวัดหลวงในเขต กทม.อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วยังมีบทบาทไม่น้อยในโครงการพระธรรมทูติที่อบรมส่งพระไปต่างประเทศอีกด้วย
หลวงเจ๊ผู้นี้เป็นผู้ครอบครองกุฏิใหญ่โตติดแอร์ทุกห้อง พร้อม wifi, tablet ครบครัน พร้อมกับด้วยนิสัยที่แกชอบจัดดอกไม้ และใช้กุฏิใหญ่นั้นเป็นที่มั่วสุมและเป็นที่ซ่องสุมกำลังพล คนในวัดจึงเรียกกุฏินี้ว่า “วังดอกไม้” ซึ่งก็เหมารวมถึงสมาชิกในแก๊งของแกด้วยเช่นกัน ก็มีอยู่หลายคนที่อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวแกเป็นหัวหน้าวังดอกไม้นี้ (แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะมีอีกคนนึงแล้วจะเล่าต่อไป) ส่วนตัวแกนั้นชอบไปต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น ชอบใช้ของหรูหรา แว่นตาราคาหลายหมื่น กระเป๋า Louis Vuitton หรือของแบรนด์เนมยี่ห้อต่างๆ เพื่อประดับบารมีและโอ้อวดไปตามประสาคนมีปมด้อยขาดความอบอุ่น แบบที่พ่อหรือแม่ที่มีชู้
เรื่องลวนลาม จับจองพระหรือโยมก็มีเหมือนๆคนอื่นๆในแก็งค์แหละนะ ขี้เกียจพูดบ่อยแล้วเดี่ยวจะเบื่อกัน โดยพรรคพวกของแกก็จะคอยเชิดชูผลงานของแกอยู่เสมอๆ ว่า จัดดอกไม้สวย จัดงานดีเรียบร้อย บลาๆๆ ก็จริงอยู่ที่ว่าแกทำงานดี ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยเงินที่ควรจะเข้าวัดแต่เสีย หรือใช้จ่ายเกินไปในขั้นตอนไหนก็ไม่รู้
คนที่ 4 “หลวงเจ๊กระเทยควาย” หัวหน้าตัวจริงแห่งวังดอกไม้
คนที่ 4 สุดท้ายจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือหัวหน้าตัวจริงแห่งวังดอกไม้ มีบทบาทในวัดไม่น้อยเลยทีเดียวกับหลวงเจ๊คนนี้ เจ๊จะคอยเข้าประชุมคณะสงฆ์อยู่เสมอ ลักษณะภายนอกอาจจะดูไม่ออกว่าเป็นตุ๊ดถ้าไม่รู้จัก แต่อธิบายรูปร่างแบบสั้นๆ ก็คือกระเทยควายนั้นเอง อ้วนตัวใหญ่พูดจาโผงผางเสียงดัง ใช้เสียงดังข่มเป็นอาวุธเวลามีเรื่องเถียงกันกับคนอื่นๆ ดูเผินๆเหมือนจะมีหลักการ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่เลย ถ้าจะมีหลักการก็คงจะมีแต่ตอนพูดต่อหน้าคนอื่นเยอะๆเท่านั้นแหละ พระวินัยอะไรก็ไม่เอา ทำวัตรสวดมนต์ก็ไม่เอาเหมือนกันทั้งแก๊งค์นั่นแหละ
เมื่อสองปีก่อนมีสอนพระวินัยในช่วงเข้าพรรษา โดยปีที่ผ่านๆมาก็จะใช้เวลาเรียนพระวินัยกันมากกว่า 10 วัน แต่คราวนี้เจ๊ขอใช้แค่ 2-3 วันพอ เจ๊บอกว่าเรื่องพระวินัยมันบังคับใช้ไม่ได้แล้ว คือว่าง่ายๆ แกจะสอนให้คนอื่นไม่เคร่งครัดแล้วแกจะได้ทำอะไรก็ได้ประมาณนั้น มีงานมีเงินอยู่ที่ไหน ก็จะมีแกอยู่เรื่อยไป แล้วแกยังชอบจัดโรงทานอีกด้วย โห ดูใจบุญเนอะ ไม่รู้ไปเอาเงินมาจากไหน
ย้อนกลับไปอีกหน่อยเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว แกดูจะได้พบรักกับพระใหม่อยู่รูปหนึ่ง คนในวัดพบเห็นว่าเดินอยู่ด้วยกันอยู่เสมอๆ เป็นอันรู้กันว่าสนิทสนมกัน แต่แล้วจู่ๆพระรูปนั้นก็สึกไปอย่างกระทันหัน ทำให้หลวงเจ๊ร้องไห้เสียใจเป็นอันมาก หูตก คอตก หางตก เซื่องซึมเป็นหมาหงอยไปเป็นระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
เล่าถึงรายละเอียดถึงหลวงเจ๊พวกนี้แล้ว จะว่าเพราะอยากแฉก็ได้นะ แต่ที่อยากได้มากกว่านั้นก็คืออยากจะเรียกร้องความถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้คนชั่วช่มคนดี ทำดีประมาณนึงแล้วเอามาปกปิดความชั่วทั้งหมดได้ โดยทำดีแล้วจะทำชั่วอย่างไรก็ได้ จะมีคนปกป้องแล้วเรื่องก็จบลงเพราะกลัวเสียชื่อเสียงวัด และจากที่ฟังจากพระที่วัดมาว่าอิทธิพลจากกระทู้พันทิปกลับมีผลมากกว่าเสียงแห่งความถูกต้องในวัดเสียอีก ซึ่งฟังดูก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า และเราก็ไม่อยากจะปล่อยไว้เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย
เราขอเดาว่าคุณสมาชิกหมายเลข 3852093 จากกระทู้นั้นคือคนที่บวชโครงการประจำเดือนเมษา เพราะข้อมูลมันค่อนข้างที่จะชัด แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ เราไม่มีเจตนามาขุดคุ้ยว่าคุณคือใคร แต่เรามีเจตนาคือสานต่อเจตนารมณ์ ทั้งในเรื่องการเตือนคนที่จะเข้ามาบวช และคนที่จะส่งลูกหลานเข้ามาบวช ว่าคนกลุ่มนี้ใช้ชื่ออดีตเจ้าอาวาส และชื่อวัดในการหากินยังไง โดยที่งานบุญนี้จัดขึ้นเพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้ามาบวชโดยไม่เสียค่าใช่จ่ายใดๆเลย แน่นอนว่าต้องมีเจ้าภาพ และเงินทำบุญนั้นที่ได้มานั้นก็ไม่น้อย ทั้งเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายตลอดการบวชทั้งเครื่องอัฐบริขาร ฯลฯ ประเด็นคือเมื่องานจบ พระสึก เงินเหลือนั้นเกินอะไรขึ้น ก็พวกแก๊งวังบุปผานี่แหละที่เอาเงินมาแบ่งเข้ากระเป๋ากินกันเอง
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง พวกมันเอาเงินบุญโดยใช้ชื่ออดีตเจ้าอาวาสและชื่อวัด เอาเงินที่เหลือจากงานบุญการบวชมาแบ่งกินกันเอง โดยไม่ได้นำเข้าวัด ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องนำเงินนี้เข้าวัดเพื่อบำรุงวัดต่อไป แต่นี่จะเรียกว่าอะไรกันดีล่ะ เลวระดับไหนลองนึกกันดู
แล้วมีคนอีกไม่รู้กี่คน หลัก ร้อย พัน หรือหมื่นแล้วที่ต้องหมดศรัทธาไปจากวัด หรือจากศาสนาพุทธไปเลย เกลียดวัด เกลียดพระไปเลย ก็เยอะ เพราะถูกไอมารศาสนาพวกนี้ลวนลาม และใช้อุบายหลอกเอาเงินไปอีก ไม่ใช่เฉพาะผู้ชายที่โดนลวนลามเท่านั้นหรอก เพราะถ้าพวกเขาเจออะไรแบบนี้เขาก็จะต้องบอกต่ออยู่แล้ว แต่ก็มีน้อยที่จะมีใครกล้าที่จะออกมาฟ้องมายืนยันว่าพวกเจ๊นี้ทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้บ้าง คนที่เคยอยยากจะไปเอาเรื่องก็มักจะมีพระรูปอื่น ไม่รู้พวกเดียวกันมั้ยชอบมาขอร้องว่าอย่าทำเลยเดี๋ยววัดจะเสียชื่อเสียง ไอ้พวกนี้มันก็ได้ใจทำต่อมาอย่างยาวนานสิ ก็ขอออกมาเรียกร้องไม่ใช่แค่คนที่เคยถูกพระลวนลามทางเพศนะ ทุกคนนั่นแหละอย่าอายเลย ออกมาเปิดไฟส่องไปหาไอ้พวกนี้ พวกมันจะได้อยู่ในสังคมไม่ได้ เพราะถ้ายิ่งเงียบ ยิ่งเหนียมอาย ไอ้พวกนี้มันก็ยิ่งลอยหน้าลอยตาหน้าด้านทำชั่วต่อไปในสังคมต่อไปเรื่อยๆ ไม่ไปไหนสักที
เมื่อได้รับรู้เรื่องราวเช่นนี้แล้ว ... เราจะแก้ไขอย่างไรกันดี??