“มหาวิบัติภาพยนตร์แอ็คชั่นจักรกลสะเทือนดวงดาวสะท้านโลกา”
กลับมาอีกครั้งในครั้งที่ 5 ของภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟหุ่นยนต์ระเบิดโลก Transformers ในชื่อภาคว่า The Last Knight อัศวินรุ่นสุดท้ายที่ยังคงอยู่กับการต่อสู้ของฝ่ายออโต้บอทและดิเซ็ปติค่อนเหมือนเดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือประวัติศาสตร์โลกมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับพวกหุ่นยนต์มาตลอดฟังดูน่าสนใจแต่เมื่อได้ไปชมจริง ๆ แล้วก็พบว่า......เอ่อ.....เอิ่ม.....ช่างเหอะ
Transformers 5 มีความน่าสนใจตรงที่บทเนื้อหาที่นำเอาประวัติศาสตร์มาผูกเชื่อมโยงกันกับเหล่าหุ่นยนต์ทรานฟอร์มเมอร์ว่าพวกมันเกี่ยวข้องกับโลกของเรามานานมากตั้งแต่สมัยกษัตริย์อาเธอร์ , สงครามโลกครั้งที่ 2 จวบจนมาจนถึงปัจจุบันแต่สิ่งที่เจอในหนังกลับกลายเป็นการยัดเนื้อหาใหญ่ ๆ โดยที่ไม่ย่อยให้ง่ายเสียก่อนเหมือนกินข้าวแล้วไม่ได้เคี้ยวแล้วโดนบังคับให้กลืนไปเลยทำให้หลัก ๆ ของเรื่องจะเน้นไปที่การพูดคุยอันแสนจะน่าเบื่อแม้ว่าในระหว่างนั้นจะมีมุกตลกหรือฉากแอ็คชั่นมาคั่นกลางบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้น่าสนใจมันดูซ้ำ ๆ เชย ๆ อย่างมาก
เรื่องยัดเยียดเนื้อหายังไม่พอตัวหนังยังยัดเยียดตัวละคร/หุ่นทรานฟอร์มเมอร์ที่ไม่จำเป็นเข้ามาเยอะถึงเยอะมาก ๆ มันอาจจะดูดีเพราะเราจะได้เห็นหุ่นตัวใหม่ ๆ หลากหลายแต่ความอัปปรีย์ก็บังเกิดขึ้นได้หากตัวละครเหล่านั้นถูกใช้อย่างทิ้งขว้างไม่กระจายบทได้ดีเพียงพอซึ่ง Transformers 5 เป็นอย่างหลังอยากยัดตัวละครก็ยัดมาเหมือนว่าผู้กำกับทำหนังประชดคนดู
อยากเห็นหุ่นตัวใหม่ ๆ เหรอ ได้!!
อยากเห็นเนื้อหาแน่น ๆ ใช่มั้ย ได้!!
อยากเห็นตัวละครเก่า ๆ เหรอได้!!
อยากให้ Tie-In โฆษณาใช่มั้ยได้!!
อยากเห็นหุ่นตีกันแต่เด็กต้องดูได้และต้องใช้พลังหญิงด้วย ได้!!!
ทุกอย่างถูกใส่มาทั้งหมดโดยไม่ได้เรียบเรียงหรือถ่ายทอดให้ดีสุดท้ายมันก็กลายภาพยนตร์อะไรก็ไม่รู้ที่ใส่นู่นนี่นั่นเต็มไปหมดไมรู้จะโฟกัสไปจุดไหนเพราะทุกอย่างพี่แกให้ความสำคัญหมดเลยและแน่นอนว่าสัมผัสได้ถึงความไม่มีกะใจจะทำหนังต่ออย่างชัดเจนของ ไมเคิล เบย์ ที่ต่อให้มีระเบิดตูมตามเป็นเครื่องหมายการค้าแต่ดูยังไงก็ไม่หนุกอ่ะ
ด้านหุ่นยนต์เหล่าทรานฟอร์มเมอร์ทั้งหลายก็ขนมาให้เห็นกันเหมือนเดิมได้เห็นการเปลี่ยนร่างเท่ ๆ กับรถสวย ๆ เช่นเคยแต่การเปลี่ยนร่างภาคนี้ดูจะไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่แบบว่า บรึบๆๆๆๆๆๆ แปลงร่างเสร็จละยังไม่ทันได้เห็นรายละเอียดการเปลี่ยนร่างอะไรเลยเฮ้ย!
ตัวละครฝั่งหุ่นยนต์ก็ไม่ได้รับการเกลี่ยบทหุ่นบางตัวก็แค่มาพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็หายไปจากจอหรือสู้กันอยู่ดี ๆ ก็หายไปไหนก็ไม่รู้เหลือแค่เพียง 2 ตัวละครหลักที่จำได้คือ ออฟติมัส กับ บับเบิล บี ส่วนเมกาทรอนวายร้ายของเรื่องก็เป็นตัวร้ายที่ถูกลืมแต่ก็ถือว่าไม่ได้ต่ำตมเหมือนภาค 3 และภาค 4
ตัวหนังปูเรื่องโปรโมทมาให้ ออฟติมัส เป็นวายร้ายอย่างเต็มที่เหมือนใน Fast 8 ทำแต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วมันคนละเรื่องเลยฉากต่อกรระหว่าง บี และ ไพร์ม ก็ไม่มากถ้าหากดูตัวอย่างที่ปล่อยออกมาหรือคลิปโปรโมทก็ขอบอกตรงนี้เลยว่ามันมีอยู่แค่นั้นแหละ!!!
ยิ่งไปกว่านั้นการทำให้ไพร์มเป็นตัวร้ายก็ไม่ได้มีน้ำหนักที่เพียงพอเล้ย! บทจะให้ร้ายก็ร้ายขึ้นมาซะงั้นนี่มันเป็นการโปรโมทหนังเรียกกระแสเรียกคนเข้าไปดูเท่านั้นเองและถ้าหากเทียบกับ Fast 8 ที่ดอมเป็นตัวร้ายนั้นถือว่า Fast 8 ดีกว่าหลายขุมหลายโยชน์เลยซึ่งใน Transformers 5 เรียกว่าใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่เสียของสุด ๆ
นักแสดงฝ่ายมนุษย์ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก เคด เยเกอร์ ที่ได้ มาร์ค วาลห์เบิร์ก มารับบทนำก็จัดว่าเสียของมากใช้ประโยชน์จากพระเอกนักบู๊ไม่เต็มที่แถมบทที่มาที่ไปจากนักประดิษฐ์ไส้แห้งเป็นวีรบุรุษฮีโร่กู้โลกซะงั้นเอางั้นเลยเหรอเพ่!!
หรือทางนักแสดงฝ่ายหญิงก็มีส่วนที่น่ารำคาญสุด ๆ เพราะบทดันน้องเด็กผู้หญิงมากเกินไปก็ไม่รู้ว่าจะสื่อความเป็นพลังหญิงหรือเปล่าแต่บอกเลยว่าใส่มาได้ยัดเยียดเหลือเกินและการใส่ความเป็นพลังหญิงในหนังหุ่นยนต์เด็กผู้ชายมันจะไปเข้ากันได้ยังไงแถมบทบาทของเธอในช่วงหลังก็ถูกทอดทิ้งกลายเป็นตัวประกอบไปซะงั้น (แล้วที่ปูบทมาเทพ ๆ ในตอนแรกล่ะเฮ้ย!!)
มุกตลกก็เป็นอีกส่วนที่สร้างความวิบัติให้แก่หนังเพราะว่ามุกตลกที่มีจัดว่าป๊อกแป๊ก 5 บาท 10 บาทก็เล่นใส่มุกไม่ถูกจังหวะบทจะซีเรียส ๆ หน่อยก็หยอดมุกตลกปิดท้ายเป็นอย่างนี้ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบซึ่ง The Mummy ที่ว่ามีมุกตลกใส่ไม่ถูกจังหวะเยอะแล้วใน Transformers 5 มีเยอะยิ่งกว่าจนไม่รู้ว่านี่เป็นหนังแอ็คชั่นหรือหนังตลก
ตลอดทั้งเรื่องแสดงให้เห็นว่าผู้กำกับไม่สามารถควบคุมหนังสเกลใหญ่ที่มีตัวละครมาก ๆ ได้การลำดับเรื่องที่ไม่สมส่วนตัวละครบางตัวถูกทอดทิ้งและต่อให้เป็นฉากแอ็คชั่นตลอดทั้งเรื่องที่น่าจะเป็นจุดเด่นไฮไลท์ก็ทำได้ไม่น่าสนใจหรือตื่นเต้นไม่น่าเอาใจช่วย
แต่อาจจะยกเว้น 30 นาทีสุดท้ายของหนังที่อัดกระหน่ำฉากระเบิดตูมตามในช่วงนี้ถือว่าทำได้ดีกว่าภาคที่ 4 เยอะแต่อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ดูสปอตโฆษณาโปรโมทก็เป็นได้เลยทำให้แอ็คชั่นช่วงสุดท้ายของเรื่องดูสนุกเอามันส์ได้อยู่นะเรียกว่าเป็น 30 นาทีที่กู้หน้าลบภาพความหายนะที่มีตั้งแต่แรกได้เลยทีเดียว
ข้อดีที่มีอย่างน้อย ๆ ที่สุดเราก็สัมผัสความเป็น Transformers 1 , 2 , 3 , 4 รวมกันเราจะเห็นได้จากฉากสถานที่/คำพูด/ตัวละครที่เป็นซิกเนเจอร์แต่ละภาคก็ถูกรวมมาให้เห็นในภาคที่ 5 ด้วยในส่วนนี้ก็ถือว่าช่วยรำลึกเหตุการณ์ได้โอเคทีเดียวและภาพมุมกล้อง CGI ก็ยังคงความเฉียบคมสวยงามคงเส้นคงวาได้แจ่มเลยอยากดูภาพสวย ๆ รถเท่ ๆ สาวสวยอึ๋ม ๆ ในเรื่องนี้มีให้คุณครับ
อย่างน้อย Transformers 5 รวม ๆ แล้วทำได้ดีกว่าภาค 4 เยอะแต่อัดเนื้อหายาก ๆ เข้ามามากเกินไปมันเป็นเรื่องดีที่มีเนื้อหาแน่น ๆ แต่ช่วยย่อยเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายกว่านี้จะดีกว่าบวกกับการเพิ่มตัวละครมากมายเต็มไปหมดทำให้ตัวหนังไม่รู้จะมุ่งไปทางไหน
ประกอบกับการไม่ใส่ใจตัวละครที่ใส่มาพร้อมกับเหตุผลแรงจูงใจการกระทำของตัวละครนั้น ๆ เลยทำให้หนังเรื่องนี้มันขาดเสน่ห์ไปต่างจาก Transformers 1 ที่มีสัดส่วนที่ลงตัวมีเหตุมีผล (กว่า) อย่างสิ้นเชิงแต่ก็อย่างว่านี่เป็นหนังทำเงินไม่สน 4 สน 8 อยู่แล้วขอแค่มีคนดูก็พอเอาหุ่นยนต์ยัด ๆ เข้าไปมันก็กลายเป็นสูตรสำเร็จทำรายได้ให้กับหนังอยู่แล้วนี่นาใครจะไปสนใจรายละเอียดพรรค์นั้นกันล่ะ
สรุปท้ายสุดจริง ๆ ใครอยากเสพฉากต่อยตีแบบไม่สนใจเนื้อหาอะไรมากหรืออยากเห็นรถสวย ๆ แปลงร่างก็เข้าไปดูกันได้เลยมีให้เห็นเต็มที่แต่จะดีกว่านี้ให้ผู้กำกับคนอื่นมาทำแทนดีกว่าเพราะในหนังไม่ได้สัมผัสความสนุก (มากเท่าที่หวัง) แต่สัมผัสถึงความหมดใจของแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ของป๋า ไมเคิล เบย์ แบบเต็ม ๆ (ตั้งแต่ภาค 4 แล้ว!!)
“ถ้าหาก ออปติมัส ไพร์ม เป็นผู้นำ ออโต้บอทผู้ปกป้องมวลมนุษย์ชาติแล้วงั้นช่วยให้เขาเอา ไมเคิล เบย์ ออกไปจากการกำกับหนัง Transformers ทีเถอะ”
“Transformers: The Last Shit”
"5/10" (D+ (Dog Shit) Rank)
ที่มา -
https://www.facebook.com/myinnermovie
[Review] - Transformers 5: The Last Knight
กลับมาอีกครั้งในครั้งที่ 5 ของภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟหุ่นยนต์ระเบิดโลก Transformers ในชื่อภาคว่า The Last Knight อัศวินรุ่นสุดท้ายที่ยังคงอยู่กับการต่อสู้ของฝ่ายออโต้บอทและดิเซ็ปติค่อนเหมือนเดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือประวัติศาสตร์โลกมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับพวกหุ่นยนต์มาตลอดฟังดูน่าสนใจแต่เมื่อได้ไปชมจริง ๆ แล้วก็พบว่า......เอ่อ.....เอิ่ม.....ช่างเหอะ
Transformers 5 มีความน่าสนใจตรงที่บทเนื้อหาที่นำเอาประวัติศาสตร์มาผูกเชื่อมโยงกันกับเหล่าหุ่นยนต์ทรานฟอร์มเมอร์ว่าพวกมันเกี่ยวข้องกับโลกของเรามานานมากตั้งแต่สมัยกษัตริย์อาเธอร์ , สงครามโลกครั้งที่ 2 จวบจนมาจนถึงปัจจุบันแต่สิ่งที่เจอในหนังกลับกลายเป็นการยัดเนื้อหาใหญ่ ๆ โดยที่ไม่ย่อยให้ง่ายเสียก่อนเหมือนกินข้าวแล้วไม่ได้เคี้ยวแล้วโดนบังคับให้กลืนไปเลยทำให้หลัก ๆ ของเรื่องจะเน้นไปที่การพูดคุยอันแสนจะน่าเบื่อแม้ว่าในระหว่างนั้นจะมีมุกตลกหรือฉากแอ็คชั่นมาคั่นกลางบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้น่าสนใจมันดูซ้ำ ๆ เชย ๆ อย่างมาก
เรื่องยัดเยียดเนื้อหายังไม่พอตัวหนังยังยัดเยียดตัวละคร/หุ่นทรานฟอร์มเมอร์ที่ไม่จำเป็นเข้ามาเยอะถึงเยอะมาก ๆ มันอาจจะดูดีเพราะเราจะได้เห็นหุ่นตัวใหม่ ๆ หลากหลายแต่ความอัปปรีย์ก็บังเกิดขึ้นได้หากตัวละครเหล่านั้นถูกใช้อย่างทิ้งขว้างไม่กระจายบทได้ดีเพียงพอซึ่ง Transformers 5 เป็นอย่างหลังอยากยัดตัวละครก็ยัดมาเหมือนว่าผู้กำกับทำหนังประชดคนดู
อยากเห็นหุ่นตัวใหม่ ๆ เหรอ ได้!!
อยากเห็นเนื้อหาแน่น ๆ ใช่มั้ย ได้!!
อยากเห็นตัวละครเก่า ๆ เหรอได้!!
อยากให้ Tie-In โฆษณาใช่มั้ยได้!!
อยากเห็นหุ่นตีกันแต่เด็กต้องดูได้และต้องใช้พลังหญิงด้วย ได้!!!
ทุกอย่างถูกใส่มาทั้งหมดโดยไม่ได้เรียบเรียงหรือถ่ายทอดให้ดีสุดท้ายมันก็กลายภาพยนตร์อะไรก็ไม่รู้ที่ใส่นู่นนี่นั่นเต็มไปหมดไมรู้จะโฟกัสไปจุดไหนเพราะทุกอย่างพี่แกให้ความสำคัญหมดเลยและแน่นอนว่าสัมผัสได้ถึงความไม่มีกะใจจะทำหนังต่ออย่างชัดเจนของ ไมเคิล เบย์ ที่ต่อให้มีระเบิดตูมตามเป็นเครื่องหมายการค้าแต่ดูยังไงก็ไม่หนุกอ่ะ
ด้านหุ่นยนต์เหล่าทรานฟอร์มเมอร์ทั้งหลายก็ขนมาให้เห็นกันเหมือนเดิมได้เห็นการเปลี่ยนร่างเท่ ๆ กับรถสวย ๆ เช่นเคยแต่การเปลี่ยนร่างภาคนี้ดูจะไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่แบบว่า บรึบๆๆๆๆๆๆ แปลงร่างเสร็จละยังไม่ทันได้เห็นรายละเอียดการเปลี่ยนร่างอะไรเลยเฮ้ย!
ตัวละครฝั่งหุ่นยนต์ก็ไม่ได้รับการเกลี่ยบทหุ่นบางตัวก็แค่มาพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็หายไปจากจอหรือสู้กันอยู่ดี ๆ ก็หายไปไหนก็ไม่รู้เหลือแค่เพียง 2 ตัวละครหลักที่จำได้คือ ออฟติมัส กับ บับเบิล บี ส่วนเมกาทรอนวายร้ายของเรื่องก็เป็นตัวร้ายที่ถูกลืมแต่ก็ถือว่าไม่ได้ต่ำตมเหมือนภาค 3 และภาค 4
ตัวหนังปูเรื่องโปรโมทมาให้ ออฟติมัส เป็นวายร้ายอย่างเต็มที่เหมือนใน Fast 8 ทำแต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วมันคนละเรื่องเลยฉากต่อกรระหว่าง บี และ ไพร์ม ก็ไม่มากถ้าหากดูตัวอย่างที่ปล่อยออกมาหรือคลิปโปรโมทก็ขอบอกตรงนี้เลยว่ามันมีอยู่แค่นั้นแหละ!!!
ยิ่งไปกว่านั้นการทำให้ไพร์มเป็นตัวร้ายก็ไม่ได้มีน้ำหนักที่เพียงพอเล้ย! บทจะให้ร้ายก็ร้ายขึ้นมาซะงั้นนี่มันเป็นการโปรโมทหนังเรียกกระแสเรียกคนเข้าไปดูเท่านั้นเองและถ้าหากเทียบกับ Fast 8 ที่ดอมเป็นตัวร้ายนั้นถือว่า Fast 8 ดีกว่าหลายขุมหลายโยชน์เลยซึ่งใน Transformers 5 เรียกว่าใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่เสียของสุด ๆ
นักแสดงฝ่ายมนุษย์ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก เคด เยเกอร์ ที่ได้ มาร์ค วาลห์เบิร์ก มารับบทนำก็จัดว่าเสียของมากใช้ประโยชน์จากพระเอกนักบู๊ไม่เต็มที่แถมบทที่มาที่ไปจากนักประดิษฐ์ไส้แห้งเป็นวีรบุรุษฮีโร่กู้โลกซะงั้นเอางั้นเลยเหรอเพ่!!
หรือทางนักแสดงฝ่ายหญิงก็มีส่วนที่น่ารำคาญสุด ๆ เพราะบทดันน้องเด็กผู้หญิงมากเกินไปก็ไม่รู้ว่าจะสื่อความเป็นพลังหญิงหรือเปล่าแต่บอกเลยว่าใส่มาได้ยัดเยียดเหลือเกินและการใส่ความเป็นพลังหญิงในหนังหุ่นยนต์เด็กผู้ชายมันจะไปเข้ากันได้ยังไงแถมบทบาทของเธอในช่วงหลังก็ถูกทอดทิ้งกลายเป็นตัวประกอบไปซะงั้น (แล้วที่ปูบทมาเทพ ๆ ในตอนแรกล่ะเฮ้ย!!)
มุกตลกก็เป็นอีกส่วนที่สร้างความวิบัติให้แก่หนังเพราะว่ามุกตลกที่มีจัดว่าป๊อกแป๊ก 5 บาท 10 บาทก็เล่นใส่มุกไม่ถูกจังหวะบทจะซีเรียส ๆ หน่อยก็หยอดมุกตลกปิดท้ายเป็นอย่างนี้ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบซึ่ง The Mummy ที่ว่ามีมุกตลกใส่ไม่ถูกจังหวะเยอะแล้วใน Transformers 5 มีเยอะยิ่งกว่าจนไม่รู้ว่านี่เป็นหนังแอ็คชั่นหรือหนังตลก
ตลอดทั้งเรื่องแสดงให้เห็นว่าผู้กำกับไม่สามารถควบคุมหนังสเกลใหญ่ที่มีตัวละครมาก ๆ ได้การลำดับเรื่องที่ไม่สมส่วนตัวละครบางตัวถูกทอดทิ้งและต่อให้เป็นฉากแอ็คชั่นตลอดทั้งเรื่องที่น่าจะเป็นจุดเด่นไฮไลท์ก็ทำได้ไม่น่าสนใจหรือตื่นเต้นไม่น่าเอาใจช่วย
แต่อาจจะยกเว้น 30 นาทีสุดท้ายของหนังที่อัดกระหน่ำฉากระเบิดตูมตามในช่วงนี้ถือว่าทำได้ดีกว่าภาคที่ 4 เยอะแต่อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ดูสปอตโฆษณาโปรโมทก็เป็นได้เลยทำให้แอ็คชั่นช่วงสุดท้ายของเรื่องดูสนุกเอามันส์ได้อยู่นะเรียกว่าเป็น 30 นาทีที่กู้หน้าลบภาพความหายนะที่มีตั้งแต่แรกได้เลยทีเดียว
ข้อดีที่มีอย่างน้อย ๆ ที่สุดเราก็สัมผัสความเป็น Transformers 1 , 2 , 3 , 4 รวมกันเราจะเห็นได้จากฉากสถานที่/คำพูด/ตัวละครที่เป็นซิกเนเจอร์แต่ละภาคก็ถูกรวมมาให้เห็นในภาคที่ 5 ด้วยในส่วนนี้ก็ถือว่าช่วยรำลึกเหตุการณ์ได้โอเคทีเดียวและภาพมุมกล้อง CGI ก็ยังคงความเฉียบคมสวยงามคงเส้นคงวาได้แจ่มเลยอยากดูภาพสวย ๆ รถเท่ ๆ สาวสวยอึ๋ม ๆ ในเรื่องนี้มีให้คุณครับ
อย่างน้อย Transformers 5 รวม ๆ แล้วทำได้ดีกว่าภาค 4 เยอะแต่อัดเนื้อหายาก ๆ เข้ามามากเกินไปมันเป็นเรื่องดีที่มีเนื้อหาแน่น ๆ แต่ช่วยย่อยเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายกว่านี้จะดีกว่าบวกกับการเพิ่มตัวละครมากมายเต็มไปหมดทำให้ตัวหนังไม่รู้จะมุ่งไปทางไหน
ประกอบกับการไม่ใส่ใจตัวละครที่ใส่มาพร้อมกับเหตุผลแรงจูงใจการกระทำของตัวละครนั้น ๆ เลยทำให้หนังเรื่องนี้มันขาดเสน่ห์ไปต่างจาก Transformers 1 ที่มีสัดส่วนที่ลงตัวมีเหตุมีผล (กว่า) อย่างสิ้นเชิงแต่ก็อย่างว่านี่เป็นหนังทำเงินไม่สน 4 สน 8 อยู่แล้วขอแค่มีคนดูก็พอเอาหุ่นยนต์ยัด ๆ เข้าไปมันก็กลายเป็นสูตรสำเร็จทำรายได้ให้กับหนังอยู่แล้วนี่นาใครจะไปสนใจรายละเอียดพรรค์นั้นกันล่ะ
สรุปท้ายสุดจริง ๆ ใครอยากเสพฉากต่อยตีแบบไม่สนใจเนื้อหาอะไรมากหรืออยากเห็นรถสวย ๆ แปลงร่างก็เข้าไปดูกันได้เลยมีให้เห็นเต็มที่แต่จะดีกว่านี้ให้ผู้กำกับคนอื่นมาทำแทนดีกว่าเพราะในหนังไม่ได้สัมผัสความสนุก (มากเท่าที่หวัง) แต่สัมผัสถึงความหมดใจของแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ของป๋า ไมเคิล เบย์ แบบเต็ม ๆ (ตั้งแต่ภาค 4 แล้ว!!)
“ถ้าหาก ออปติมัส ไพร์ม เป็นผู้นำ ออโต้บอทผู้ปกป้องมวลมนุษย์ชาติแล้วงั้นช่วยให้เขาเอา ไมเคิล เบย์ ออกไปจากการกำกับหนัง Transformers ทีเถอะ”
“Transformers: The Last Shit”
"5/10" (D+ (Dog Shit) Rank)
ที่มา - https://www.facebook.com/myinnermovie