สวัสดีค่ะ วันนี้จะมารีวิวทริปอินเดีย-ราชาสถาน นี่เป็นกระทู้แรกของเรา ถ้ามีอะไรผิดพลาดยังไงขออภัยล่วงหน้าเลยนะคะ และต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่ากระทู้นี้อาจจะไม่ได้เน้นสาระความรู้อะไรมาก แต่เราเน้นความเป็นธรรมชาติและเรื่องโหดๆฮาๆที่เราไปประสบพบเจอมาในอินเดียค่ะ 55555
ทริปนี้เป็นทริปแบคแพ็คของเรากับเพื่อนๆค่ะ ไม่ได้เน้นประหยัดมาก เน้นอยู่รอด555 โดนโกงบ้าง กินหรูบ้าง อดบ้าง บางมื้อ เสียค่าโง่บ้างนิดหน่อยพอขำๆ(?) แต่โดยรวมแล้วถือเป็นทริปที่สนุกและประทับใจมาก ได้เจอคนอินเดียน่ารักๆเยอะแยะมากมาย แต่ไม่น่ารักก็มี555 เฮฮาดีค่ะ ขำทั้งทริป 55555555 ครั้งนี้มีสมาชิกไปลุยด้วยกันทั้งหมด 4 คน โดยเส้นทางที่เราเลือกก็คือ รัฐราชาสถาน (Rajasthan) พวกเราไปกัน 8 วัน เดินทางกันทั้งหมด 6 เมือง ตามลำดับ
Delhi → Udaipur → Jodhpur → Jaisalmer → Jaipur → Agra → Delhi
ช่วงที่พวกเราไปนั้น ( 6-13 มิ.ย.60 ) อากาศร้อนมากกกร้อนถึงที่สุด ร้อนแบบทะลุ 40 องศาเกือบทุกวัน แล้วแดดนี่ก็ โอ้โห แผดเผาซะเหลือเกิน เรียกได้ว่าหนีร้อนจากกรุงเทพไปเจอร้อนกว่าที่อินเดีย555555 ใครจะไปช่วงนี้ก็อย่าลืมพกครีมกันแดดไปด้วยนะคะ โบกไปเยอะๆ ได้ใช้แน่นอน เพราะมันร้อนสุดๆจริงๆ
.
.
แผนการเดินทาง
DAY 1 (6/6/17)
- BKK → DEL
- เที่ยว Red Fort
- เที่ยว Jama Masjid
DAY 2 (7/6/17)
- นั่งเครื่องบิน DEL → UDR (Udaipur)
- เที่ยว City Palace
DAY 3 (8/6/17)
- นั่งรถบัส Udaipur → Jodhpur
- เที่ยวป้อม Mehrangarh Fort
- เดินเที่ยว Blue city
- นั่งรถไฟ Jodhpur → Jaisalmer
- ไปนอนทะเลทรายที่ Jaisalmer
DAY 4 (9/6/17)
- Safari Tour
- เดินเที่ยว Golden city
- นอนบนรถไฟ Jaisalmer → Jaipur
DAY 5 (10/6/17)
- เที่ยว Jal Mahal - Amber Fort
- เที่ยว Pink city Hawa Mahal - City Palace
- ดูพระอาทิตย์ตกที่ Nahargarh Fort
DAY 6 (11/6/17)
- นั่งรถไฟ Jaipur → Agra
- เที่ยว Taj Mahal
- เที่ยว Agra Fort
- ชมพระอาทิตย์ตกที่สวน Mehtab Bagh ตรงข้าม Taj Mahal
DAY 7 (12/6/17)
- นั่งรถไฟ Agra → Delhi
- เดินเล่น Connaught Place
DAY 8 (13/6/17)
- DEL → BKK
ค่าใช้จ่าย ( ต่อคน โดยประมาณ )
ค่าวีซ่าแบบ Tourist 4,358 บาท
ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ BKK-DEL(TG) 11,966 บาท
ค่าที่พัก 1,000 บาท
ค่าทัวร์ทะเลทราย 1,100 รูปี (ประมาณ 550 บาท)
ค่ารถไฟ/รถบัส 2,225 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 5,000 บาท
(อาหาร/ของฝาก/แท็กซี่/ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ)
รวม 25,099 บาท
* เราซื้อ sim2fly ของ AIS 3 GB ใช้ได้ 8 วัน ราคา 399 บาท แต่ซิมนี้จะไม่สามารถใช้ได้ในบางรัฐของอินเดียนะคะ เช่นพวกรัฐอัสสัม จัมมู แคชเมียร์ ฯลฯ ลองสอบถามที่ศูนย์บริการดูอีกทีก็ได้ค่ะ
DAY 1 : BKK-DEL / Red Fort / Jama Masjid
พวกเรานัดกันที่สนามบินตอน 5.30 น.เพื่อที่จะขึ้นเครื่องในเวลา 7.35 น.แต่เราก็มาถึงกันตั้งแต่ 4.30 น.ด้วยความตื่นเต้นเกินเหตุ55555 หลังจากเช็คอินเรียบร้อย ก็ขอวาร์ปไปอินเดียเลยนะคะ555
แล้วเราก็เดินทางมาถึง นิวเดลี สนามบินอินทิรา คานธี ถึงในเวลาประมาณเที่ยงของที่นั่น (ที่อินเดียเวลาช้ากว่าไทย 1.30 ชม.) ใช้เวลาบินประมาณ 3.30 ชม. หลังจากผ่านตม.แล้วพวกเราก็ออกมาจากสนามบิน ก็เดินตามป้ายไป metro ค่ะ รูปมีความสั่นเนื่องจากเดินไปถ่ายไปขออภัยด้วยค่ะ
จากนั้นเราก็นั่งรถไฟใต้ดินจากสนามบิน ไปที่สถานี New Delhi แอบจำได้รางๆว่าเป็น Yellow line ค่ะอารมณ์ก็คล้ายๆกันกับ Airport Link บ้านเรา ต่างกันตรงที่บ้านเค้าจะมีการตรวจร่างกายและกระเป๋าอย่างเข้มงวด แบบที่ว่ามีทหารตรวจจริงจังกันมากๆ แยกแถวผู้ชายผู้หญิงเลย ในที่นี้รวมไปถึงสถานที่ทุกๆที่ที่เราไป เช่น สถานีรถไฟ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าเดินทางกันเองแบบเราก็เตรียมของให้คล่องตัวหน่อยเพราะจะต้องถอดเข้า ถอดออก แบกๆ วางๆ กันทั้งวันเลยทีเดียว
เมื่อเดินทางมาถึงสถานี New Delhi ก่อนเดินออกพวกเราก็เตรียมตัวเตรียมใจกันมากๆ ว่าจะพุ่งตัวไปแบบจรวดและทำตัวให้ดูเหมือนเซียนมาก เนื่องจากอ่านรีวิวมาว่าคนอินเดียเนี่ยจะมาล้อมมะรุมมะตุ้มเราจนไปไหนไม่ได้ และถ้ายิ่งบอกว่ามาอินเดียครั้งแรก ก็จะยิ่งเป็นที่หมายปองของพี่แขกทั้งหลาย พวกเราก็ถามกันว่าพร้อมนะ? พร้อมยัง?เปิดแผนที่ไว้เลยแล้วเดินลุยออกไป say no อย่างเดียวนะ ..ปรากฎหลังจากเดินออกมานั้น ไม่มีใครสนใจเราเลยแม้แต่คนเดียว55555555 ไหนล่ะ ไหนบอกจะมารุม กริบสุด ความเงิบนี้55555
เราได้เดินจากรถไฟฟ้าใต้ดินไปที่ที่พักของเราในวันแรก ชื่อว่า Hotel Staywell Dx ค่ะ อยู่ใกล้ๆกับ New Delhi Railway Station เลย ใช้เวลาเดินประมาณ 10-15 นาที ระหว่างเดินนั้นมีคนมองพวกเราตลอดทางประหนึ่งเดินที่ลอนดอน แฟชั่นวีค ไม่ใช่มองธรรมดาแต่มองแล้วมองอีก จ้องเอาๆขนาดเดินเลยไปแล้วยังหันกลับมามองจนเกือบนึกไปว่าอยู่ในกรงที่สวนสัตว์ดุสิต555 ในส่วนของการเดินข้ามถนนในอินเดียนั้นอยากข้ามตรงไหนก็ข้าม อยากเดินตรงไปทางไหนอย่ารอช้า ถือคติรถชนเรา รถผิด 555555
ในที่สุดเราก็ผ่านถนนอันสุดแสนจะวุ่นวายจนมาถึงที่พัก หลังจากทำการเช็คอินเรียบร้อย ด้วยความหิวจัด เราก็ได้ทำการสั่งรูม เซอร์วิส สั่งแบบมั่วๆไม่ลืมหูลืมตา
นี่ก็คืออาหารแขกมื้อแรกของเรา มีเซทอาหารแขกชื่อว่า Non-veg.Thali มาพร้อมแป้ง naan และขนมหวาน Gulab Jamun ข้าวผัดไก่ธรรมดากันตาย และด้วยความเหนื่อยมากหลังจากเดินฝ่าแดดมาก็สั่ง banana shake และ mango shake ไป
เมื่ออาหารมาถึงสิ่งแรกที่ทำคือรีบดูดน้ำจาก skake ที่สั่งมาด้วยความรู้สึกว่าต้องสดชื่นแน่ๆ ดูดคำใหญ่ไปแทบพุ่งงง เนื่องจาก shake บ้านเค้าเนี่ยไม่มีน้ำแข็ง! เหมือนดูดอะไรอุ่นๆรสชาติก็เป็นกล้วยปั่นและมะม่วงปั่นที่อร่อยอยู่ติดแค่มันไม่เย็น เป็นประสบการณ์แรกที่ทำให้รู้สึกงงกับความเป็นอินเดียเล็กน้อย
ส่วนอาหารเซทที่สั่งมาถือว่าใช้ได้เลย แกงบ้านเค้าส่วนใหญ่จะเน้นเครื่องเทศร้อยพันแปดชนิด เผ็ดนิดหน่อย แต่ที่พิเศษสุดคือ แกงสีขาวหน้าตาประหลาด จำชื่อไม่ได้ จำได้แต่ว่ามันแหล่กไม่ล่ายยยเลยค่ะ 5555555 คือเหมือนเค้าใส่โยเกิร์ต รสชาติเปรี้ยวๆแปลกๆรวมๆแล้วรสชาติเหมือนกลิ่นเต่า สุดท้ายพวกเราก็ยอมแพ้ไป ปล่อยมันเหลือไว้อย่างนั้นแหละ ส่วนอย่างอื่นเก็บเกลี้ยงจ้า 55555
ต่อมาจะขอเล่าโมเมนต์ที่ประทับใจที่สุดของการเดินทางในวันแรกนิดนึง ซึ่งก็คือน้ำจิตน้ำใจของคนที่นี่ค่ะ เริ่มจากพวกเราจะเดินทางไป Red fort โดยเรียกรถแท๊กซี่ที่หน้าโรงแรม(รถสีขาวตามรูปบน) ด้วยความอ่อนเพลียก็นั่งเหม่อลอยไปตามเรื่องตามราว อยู่ดีๆก็เกิดการเบรคแรงมากแรงจนตัวโยน ปรากฏว่ามีรถสามล้อ(คู่กรณีในรูปล่าง555) พุ่งมาชนแท๊กซี่ที่พวกเรานั่งอยู่ด้วยความแรง แต่ลุงขับแท็กซี่ก็ได้แต่หันไปตะโกนเถียงกับคู่กรณีเล็กน้อย ไม่นานก็ส่งแยกย้าย เฉ๊ยยยย พวกเราที่นั่งบนรถก็ได้แต่งงเด้ งงเด้ คือถ้าเป็นบ้านเราชนกันขนาดนี้ ต้องมีเรียกประกันมาเคลียร์กันละ แต่นี่คือคุยกันไม่กี่ประโยคแล้วก็ต่างคนต่างไป ง่ายๆดีค่ะ ฮาา5555555
เมื่อมาถึง Red fort หรือแปลเป็นไทยตรงๆ “ป้อมแดง” ยิ่งใหญ่อลังการมากค่ะ สีแดงสมชื่อจริงๆ ที่นี่เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่เป็นมรดกโลกของอินเดีย ได้รับการรับรองจากยูเนสโก ตั้งแต่ปี 2007 และยังเป็นหลักฐานของระบอบกษัตริย์ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดอีกด้วย
อ้อ! สำหรับที่ Red Fort นี้ ถ้าเป็นคนไทยจะเสียค่าเข้าในราคาที่ถูกกว่าชาติอื่นๆค่ะ ปกติแล้วคนต่างชาติจะเสียค่าเข้าชม 250 รูปี แต่สำหรับคนไทยเสียแค่ 10 รูปี เนื่องจากประเทศไทยเป็นภาคีในกลุ่ม BIMSTEC ดี๊ดีอ่ะ (ใช้ได้กับโบราณสถานหลายๆที่เลยนะ) ดังนั้นก็อย่าลืมเอาหนังสือเดินทางมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูด้วยนะคะ จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทย อิอิ
ระหว่างทางเดินเข้าป้อมแดง มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปพวกเราสองสามกลุ่ม ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าพวกเราหน้าตาดีเป็นที่ดึงดูดของคนรอบข้างด้วยความมั่นหน้ามั่นโหนกอย่างเต็มที่ แต่ความจริงเรามโนค่ะ 555555 การมาขอถ่ายรูปหรือ Selfies ถือเป็นเรื่องปกติมากๆของคนอินเดียที่จะเข้ามาขอชาวต่างชาติถ่ายรูป และคนอินเดียเอง ส่วนใหญ่ก็ชอบการถูกถ่ายรูปเหมือนกัน
และก็มาถึงทางเข้าป้อมแดงค่ะ ไปดูบรรยากาศภายในป้อมกันนะคะ
หลังจากเดินชมป้อมแดงจนเสร็จแล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือ Jama Masjid ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากป้อมแดง ก็เลยคิดว่าจะเดินไป แต่เราก็ได้ถูกตามตื้อจากลุงคนขับสามล้อ ด้วยความเหนื่อยและร้อน หลังจากต่อราคาด้วยจิตใจที่อ่อนล้าอ่อนแรงของเราจึงได้ตกลงปลงใจนั่งสามล้อจนได้ โดนไปคันละ 150 รูปี ส่วนระยะทางนั้นนั่งไปแปปเดียวประมาณ 10 นาทีก็ถึงมัสยิดแล้ว
Jama Masjid นั้นถือเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเดลลี ลุงสามล้อบอกว่าที่นี่เข้าฟรี เสียแค่ค่ากล้องถ่ายรูป 300 รูปีเท่านั้น แต่พวกเราก็โดนเจ้าหน้าที่เรียกเงินเพิ่มไปแบบงงๆ
เริ่มจากสมาชิกในกลุ่มเราคนนึงโดนบอกให้ใส่เสื้อคลุมยาวๆลายดอกที่ทางมัสยิดจัดให้ ทั้งๆที่ก็ใส่เสื้อยืดกางเกงขายาวปกติเหมือนคนอื่นๆ จากนั้นเจ้าหน้าที่คนเดียวกันนี่แหละค่ะ ก็พาเราเดิน (ทั้งๆที่เราบอกแล้วว่าไม่เอา เราจะเดินเอง) แต่ก่อนที่จะเข้ามัสยิดเนี่ยเราต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไป แล้วพวกเราก็โดนหลอกจนได้โดยให้ฝากรองเท้ากับคุณลุงแขกหน้าทางเข้าเป็นเงิน 100 รูปี ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถถือเดินเข้าไปได้เลย ส่วนใครที่จะไปในช่วงร้อนๆแบบนี้ ขอเตือนให้ใส่ถุงเท้าไปด้วย ด้วยความที่เราใส่รองเท้าแตะไปทำให้ตอนเดินมันร้อนเท้ามากเหมือนเดินบนกระทะร้อนๆเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องไม่จบอยู่แค่นั้น เพราะมันร้อนมากจนรีบเดินไม่ดูทางทำให้สะดุดหินก้อนใหญ่จนได้เลือด T_T ดังนั้นเวลาเดินก็ระวังๆกันด้วยนะคะ หลังจากที่เดินตามเจ้าหน้าที่คนนั้นไปต่อแบบร้อนๆเท้า เค้าก็บอกเราว่าให้รีบๆเดินนะ เดี๋ยวคนมุสลิมจะละหมาดกันแล้ว แล้วบังแกก็พาไปถ่ายรูปมุมต่างๆอย่างรวดเร็ว เร็วมากจริงๆค่ะ แบบได้มุมละช็อตแล้ววิ่งไปจุดต่อไป55555 และนี่คือมุมที่บังแนะนำ
[CR] [CR] แบกเป้ไปอินเดีย "เที่ยวราชาสถาน แบบที่ว่าขอทานยังไม่อยากยุ่ง"
สวัสดีค่ะ วันนี้จะมารีวิวทริปอินเดีย-ราชาสถาน นี่เป็นกระทู้แรกของเรา ถ้ามีอะไรผิดพลาดยังไงขออภัยล่วงหน้าเลยนะคะ และต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่ากระทู้นี้อาจจะไม่ได้เน้นสาระความรู้อะไรมาก แต่เราเน้นความเป็นธรรมชาติและเรื่องโหดๆฮาๆที่เราไปประสบพบเจอมาในอินเดียค่ะ 55555
ทริปนี้เป็นทริปแบคแพ็คของเรากับเพื่อนๆค่ะ ไม่ได้เน้นประหยัดมาก เน้นอยู่รอด555 โดนโกงบ้าง กินหรูบ้าง อดบ้าง บางมื้อ เสียค่าโง่บ้างนิดหน่อยพอขำๆ(?) แต่โดยรวมแล้วถือเป็นทริปที่สนุกและประทับใจมาก ได้เจอคนอินเดียน่ารักๆเยอะแยะมากมาย แต่ไม่น่ารักก็มี555 เฮฮาดีค่ะ ขำทั้งทริป 55555555 ครั้งนี้มีสมาชิกไปลุยด้วยกันทั้งหมด 4 คน โดยเส้นทางที่เราเลือกก็คือ รัฐราชาสถาน (Rajasthan) พวกเราไปกัน 8 วัน เดินทางกันทั้งหมด 6 เมือง ตามลำดับ
Delhi → Udaipur → Jodhpur → Jaisalmer → Jaipur → Agra → Delhi
ช่วงที่พวกเราไปนั้น ( 6-13 มิ.ย.60 ) อากาศร้อนมากกกร้อนถึงที่สุด ร้อนแบบทะลุ 40 องศาเกือบทุกวัน แล้วแดดนี่ก็ โอ้โห แผดเผาซะเหลือเกิน เรียกได้ว่าหนีร้อนจากกรุงเทพไปเจอร้อนกว่าที่อินเดีย555555 ใครจะไปช่วงนี้ก็อย่าลืมพกครีมกันแดดไปด้วยนะคะ โบกไปเยอะๆ ได้ใช้แน่นอน เพราะมันร้อนสุดๆจริงๆ
.
.
แผนการเดินทาง
DAY 1 (6/6/17)
- BKK → DEL
- เที่ยว Red Fort
- เที่ยว Jama Masjid
DAY 2 (7/6/17)
- นั่งเครื่องบิน DEL → UDR (Udaipur)
- เที่ยว City Palace
DAY 3 (8/6/17)
- นั่งรถบัส Udaipur → Jodhpur
- เที่ยวป้อม Mehrangarh Fort
- เดินเที่ยว Blue city
- นั่งรถไฟ Jodhpur → Jaisalmer
- ไปนอนทะเลทรายที่ Jaisalmer
DAY 4 (9/6/17)
- Safari Tour
- เดินเที่ยว Golden city
- นอนบนรถไฟ Jaisalmer → Jaipur
DAY 5 (10/6/17)
- เที่ยว Jal Mahal - Amber Fort
- เที่ยว Pink city Hawa Mahal - City Palace
- ดูพระอาทิตย์ตกที่ Nahargarh Fort
DAY 6 (11/6/17)
- นั่งรถไฟ Jaipur → Agra
- เที่ยว Taj Mahal
- เที่ยว Agra Fort
- ชมพระอาทิตย์ตกที่สวน Mehtab Bagh ตรงข้าม Taj Mahal
DAY 7 (12/6/17)
- นั่งรถไฟ Agra → Delhi
- เดินเล่น Connaught Place
DAY 8 (13/6/17)
- DEL → BKK
ค่าใช้จ่าย ( ต่อคน โดยประมาณ )
ค่าวีซ่าแบบ Tourist 4,358 บาท
ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ BKK-DEL(TG) 11,966 บาท
ค่าที่พัก 1,000 บาท
ค่าทัวร์ทะเลทราย 1,100 รูปี (ประมาณ 550 บาท)
ค่ารถไฟ/รถบัส 2,225 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 5,000 บาท
(อาหาร/ของฝาก/แท็กซี่/ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ)
รวม 25,099 บาท
* เราซื้อ sim2fly ของ AIS 3 GB ใช้ได้ 8 วัน ราคา 399 บาท แต่ซิมนี้จะไม่สามารถใช้ได้ในบางรัฐของอินเดียนะคะ เช่นพวกรัฐอัสสัม จัมมู แคชเมียร์ ฯลฯ ลองสอบถามที่ศูนย์บริการดูอีกทีก็ได้ค่ะ
DAY 1 : BKK-DEL / Red Fort / Jama Masjid
พวกเรานัดกันที่สนามบินตอน 5.30 น.เพื่อที่จะขึ้นเครื่องในเวลา 7.35 น.แต่เราก็มาถึงกันตั้งแต่ 4.30 น.ด้วยความตื่นเต้นเกินเหตุ55555 หลังจากเช็คอินเรียบร้อย ก็ขอวาร์ปไปอินเดียเลยนะคะ555
แล้วเราก็เดินทางมาถึง นิวเดลี สนามบินอินทิรา คานธี ถึงในเวลาประมาณเที่ยงของที่นั่น (ที่อินเดียเวลาช้ากว่าไทย 1.30 ชม.) ใช้เวลาบินประมาณ 3.30 ชม. หลังจากผ่านตม.แล้วพวกเราก็ออกมาจากสนามบิน ก็เดินตามป้ายไป metro ค่ะ รูปมีความสั่นเนื่องจากเดินไปถ่ายไปขออภัยด้วยค่ะ
จากนั้นเราก็นั่งรถไฟใต้ดินจากสนามบิน ไปที่สถานี New Delhi แอบจำได้รางๆว่าเป็น Yellow line ค่ะอารมณ์ก็คล้ายๆกันกับ Airport Link บ้านเรา ต่างกันตรงที่บ้านเค้าจะมีการตรวจร่างกายและกระเป๋าอย่างเข้มงวด แบบที่ว่ามีทหารตรวจจริงจังกันมากๆ แยกแถวผู้ชายผู้หญิงเลย ในที่นี้รวมไปถึงสถานที่ทุกๆที่ที่เราไป เช่น สถานีรถไฟ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าเดินทางกันเองแบบเราก็เตรียมของให้คล่องตัวหน่อยเพราะจะต้องถอดเข้า ถอดออก แบกๆ วางๆ กันทั้งวันเลยทีเดียว
เมื่อเดินทางมาถึงสถานี New Delhi ก่อนเดินออกพวกเราก็เตรียมตัวเตรียมใจกันมากๆ ว่าจะพุ่งตัวไปแบบจรวดและทำตัวให้ดูเหมือนเซียนมาก เนื่องจากอ่านรีวิวมาว่าคนอินเดียเนี่ยจะมาล้อมมะรุมมะตุ้มเราจนไปไหนไม่ได้ และถ้ายิ่งบอกว่ามาอินเดียครั้งแรก ก็จะยิ่งเป็นที่หมายปองของพี่แขกทั้งหลาย พวกเราก็ถามกันว่าพร้อมนะ? พร้อมยัง?เปิดแผนที่ไว้เลยแล้วเดินลุยออกไป say no อย่างเดียวนะ ..ปรากฎหลังจากเดินออกมานั้น ไม่มีใครสนใจเราเลยแม้แต่คนเดียว55555555 ไหนล่ะ ไหนบอกจะมารุม กริบสุด ความเงิบนี้55555
เราได้เดินจากรถไฟฟ้าใต้ดินไปที่ที่พักของเราในวันแรก ชื่อว่า Hotel Staywell Dx ค่ะ อยู่ใกล้ๆกับ New Delhi Railway Station เลย ใช้เวลาเดินประมาณ 10-15 นาที ระหว่างเดินนั้นมีคนมองพวกเราตลอดทางประหนึ่งเดินที่ลอนดอน แฟชั่นวีค ไม่ใช่มองธรรมดาแต่มองแล้วมองอีก จ้องเอาๆขนาดเดินเลยไปแล้วยังหันกลับมามองจนเกือบนึกไปว่าอยู่ในกรงที่สวนสัตว์ดุสิต555 ในส่วนของการเดินข้ามถนนในอินเดียนั้นอยากข้ามตรงไหนก็ข้าม อยากเดินตรงไปทางไหนอย่ารอช้า ถือคติรถชนเรา รถผิด 555555
ในที่สุดเราก็ผ่านถนนอันสุดแสนจะวุ่นวายจนมาถึงที่พัก หลังจากทำการเช็คอินเรียบร้อย ด้วยความหิวจัด เราก็ได้ทำการสั่งรูม เซอร์วิส สั่งแบบมั่วๆไม่ลืมหูลืมตา
นี่ก็คืออาหารแขกมื้อแรกของเรา มีเซทอาหารแขกชื่อว่า Non-veg.Thali มาพร้อมแป้ง naan และขนมหวาน Gulab Jamun ข้าวผัดไก่ธรรมดากันตาย และด้วยความเหนื่อยมากหลังจากเดินฝ่าแดดมาก็สั่ง banana shake และ mango shake ไป
เมื่ออาหารมาถึงสิ่งแรกที่ทำคือรีบดูดน้ำจาก skake ที่สั่งมาด้วยความรู้สึกว่าต้องสดชื่นแน่ๆ ดูดคำใหญ่ไปแทบพุ่งงง เนื่องจาก shake บ้านเค้าเนี่ยไม่มีน้ำแข็ง! เหมือนดูดอะไรอุ่นๆรสชาติก็เป็นกล้วยปั่นและมะม่วงปั่นที่อร่อยอยู่ติดแค่มันไม่เย็น เป็นประสบการณ์แรกที่ทำให้รู้สึกงงกับความเป็นอินเดียเล็กน้อย
ส่วนอาหารเซทที่สั่งมาถือว่าใช้ได้เลย แกงบ้านเค้าส่วนใหญ่จะเน้นเครื่องเทศร้อยพันแปดชนิด เผ็ดนิดหน่อย แต่ที่พิเศษสุดคือ แกงสีขาวหน้าตาประหลาด จำชื่อไม่ได้ จำได้แต่ว่ามันแหล่กไม่ล่ายยยเลยค่ะ 5555555 คือเหมือนเค้าใส่โยเกิร์ต รสชาติเปรี้ยวๆแปลกๆรวมๆแล้วรสชาติเหมือนกลิ่นเต่า สุดท้ายพวกเราก็ยอมแพ้ไป ปล่อยมันเหลือไว้อย่างนั้นแหละ ส่วนอย่างอื่นเก็บเกลี้ยงจ้า 55555
ต่อมาจะขอเล่าโมเมนต์ที่ประทับใจที่สุดของการเดินทางในวันแรกนิดนึง ซึ่งก็คือน้ำจิตน้ำใจของคนที่นี่ค่ะ เริ่มจากพวกเราจะเดินทางไป Red fort โดยเรียกรถแท๊กซี่ที่หน้าโรงแรม(รถสีขาวตามรูปบน) ด้วยความอ่อนเพลียก็นั่งเหม่อลอยไปตามเรื่องตามราว อยู่ดีๆก็เกิดการเบรคแรงมากแรงจนตัวโยน ปรากฏว่ามีรถสามล้อ(คู่กรณีในรูปล่าง555) พุ่งมาชนแท๊กซี่ที่พวกเรานั่งอยู่ด้วยความแรง แต่ลุงขับแท็กซี่ก็ได้แต่หันไปตะโกนเถียงกับคู่กรณีเล็กน้อย ไม่นานก็ส่งแยกย้าย เฉ๊ยยยย พวกเราที่นั่งบนรถก็ได้แต่งงเด้ งงเด้ คือถ้าเป็นบ้านเราชนกันขนาดนี้ ต้องมีเรียกประกันมาเคลียร์กันละ แต่นี่คือคุยกันไม่กี่ประโยคแล้วก็ต่างคนต่างไป ง่ายๆดีค่ะ ฮาา5555555
เมื่อมาถึง Red fort หรือแปลเป็นไทยตรงๆ “ป้อมแดง” ยิ่งใหญ่อลังการมากค่ะ สีแดงสมชื่อจริงๆ ที่นี่เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่เป็นมรดกโลกของอินเดีย ได้รับการรับรองจากยูเนสโก ตั้งแต่ปี 2007 และยังเป็นหลักฐานของระบอบกษัตริย์ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดอีกด้วย
อ้อ! สำหรับที่ Red Fort นี้ ถ้าเป็นคนไทยจะเสียค่าเข้าในราคาที่ถูกกว่าชาติอื่นๆค่ะ ปกติแล้วคนต่างชาติจะเสียค่าเข้าชม 250 รูปี แต่สำหรับคนไทยเสียแค่ 10 รูปี เนื่องจากประเทศไทยเป็นภาคีในกลุ่ม BIMSTEC ดี๊ดีอ่ะ (ใช้ได้กับโบราณสถานหลายๆที่เลยนะ) ดังนั้นก็อย่าลืมเอาหนังสือเดินทางมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูด้วยนะคะ จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทย อิอิ
ระหว่างทางเดินเข้าป้อมแดง มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปพวกเราสองสามกลุ่ม ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าพวกเราหน้าตาดีเป็นที่ดึงดูดของคนรอบข้างด้วยความมั่นหน้ามั่นโหนกอย่างเต็มที่ แต่ความจริงเรามโนค่ะ 555555 การมาขอถ่ายรูปหรือ Selfies ถือเป็นเรื่องปกติมากๆของคนอินเดียที่จะเข้ามาขอชาวต่างชาติถ่ายรูป และคนอินเดียเอง ส่วนใหญ่ก็ชอบการถูกถ่ายรูปเหมือนกัน
และก็มาถึงทางเข้าป้อมแดงค่ะ ไปดูบรรยากาศภายในป้อมกันนะคะ
หลังจากเดินชมป้อมแดงจนเสร็จแล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือ Jama Masjid ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากป้อมแดง ก็เลยคิดว่าจะเดินไป แต่เราก็ได้ถูกตามตื้อจากลุงคนขับสามล้อ ด้วยความเหนื่อยและร้อน หลังจากต่อราคาด้วยจิตใจที่อ่อนล้าอ่อนแรงของเราจึงได้ตกลงปลงใจนั่งสามล้อจนได้ โดนไปคันละ 150 รูปี ส่วนระยะทางนั้นนั่งไปแปปเดียวประมาณ 10 นาทีก็ถึงมัสยิดแล้ว
Jama Masjid นั้นถือเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเดลลี ลุงสามล้อบอกว่าที่นี่เข้าฟรี เสียแค่ค่ากล้องถ่ายรูป 300 รูปีเท่านั้น แต่พวกเราก็โดนเจ้าหน้าที่เรียกเงินเพิ่มไปแบบงงๆ
เริ่มจากสมาชิกในกลุ่มเราคนนึงโดนบอกให้ใส่เสื้อคลุมยาวๆลายดอกที่ทางมัสยิดจัดให้ ทั้งๆที่ก็ใส่เสื้อยืดกางเกงขายาวปกติเหมือนคนอื่นๆ จากนั้นเจ้าหน้าที่คนเดียวกันนี่แหละค่ะ ก็พาเราเดิน (ทั้งๆที่เราบอกแล้วว่าไม่เอา เราจะเดินเอง) แต่ก่อนที่จะเข้ามัสยิดเนี่ยเราต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไป แล้วพวกเราก็โดนหลอกจนได้โดยให้ฝากรองเท้ากับคุณลุงแขกหน้าทางเข้าเป็นเงิน 100 รูปี ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถถือเดินเข้าไปได้เลย ส่วนใครที่จะไปในช่วงร้อนๆแบบนี้ ขอเตือนให้ใส่ถุงเท้าไปด้วย ด้วยความที่เราใส่รองเท้าแตะไปทำให้ตอนเดินมันร้อนเท้ามากเหมือนเดินบนกระทะร้อนๆเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องไม่จบอยู่แค่นั้น เพราะมันร้อนมากจนรีบเดินไม่ดูทางทำให้สะดุดหินก้อนใหญ่จนได้เลือด T_T ดังนั้นเวลาเดินก็ระวังๆกันด้วยนะคะ หลังจากที่เดินตามเจ้าหน้าที่คนนั้นไปต่อแบบร้อนๆเท้า เค้าก็บอกเราว่าให้รีบๆเดินนะ เดี๋ยวคนมุสลิมจะละหมาดกันแล้ว แล้วบังแกก็พาไปถ่ายรูปมุมต่างๆอย่างรวดเร็ว เร็วมากจริงๆค่ะ แบบได้มุมละช็อตแล้ววิ่งไปจุดต่อไป55555 และนี่คือมุมที่บังแนะนำ