เมื่อผมอ่านข่าว น้องจูน นศ. เอกชนทำงานพิเศษ เป็น รปภ.ห้าง แล้ว ย้อนกลับมองตัวเองในวัยที่ใกล้เคียงกัน

เห็นข่าวน้องจูน นศ. ม.เอกชน ทำงานในช่วงปิดเทอมเป็น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ห้างดังแถวรังสิต ที่กำลังเป็นข่าวดังในกระแสโซเชียลอยู่ตอนนี้
ทำให้มีกระแสชื่นชมอย่างมากมาย ซึ่งก็เป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม มีกระแสชื่นชมยินดี...

เรืองนี้ผมยินดีมาก ที่มีข่าวเป็นแบบอย่างที่ดี กับวัยรุ่น วัยเรียน ว่าการทำงานหารายได้โดยสุจริต นั้นเป็นเรื่องที่ดี น่ายกย่อง มากกว่า การจะใช้เรือนร่างโชว์วับ ๆ แวม ๆ หรือ เต้นยั่วโปรโมท เวบ พนันต่าง ๆ ...


เลยทำให้ผมได้ระลึกความทรงจำ เรื่องราวของผม มาแบ่งปันบ้าง เผื่อว่า น้อง ๆ รุ่นหลัง ๆ ที่สนใจจะทำงานนอกเวลาเรียนเพื่อสร้างรายได้ให้ตัวเอง แบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ได้อ่านเป็นแนวทาง หรือ คุณผู้ปกครอง อาจจะมีข้อมูลเพื่อสนับสนุนเด็ก ๆ ให้หันมาทำงานพิเศษเป็นรายได้...

เรื่องย้อนหลังกลับไป เมื่อราว 20 กว่า ปีที่แล้ว ซึ่งในความรู้สึกนั้น ภาพต่าง ๆ ยังเหมือนกับผ่านมาไม่ถึง 10 ปี ด้วยซ้ำ...

เมื่อครั้งยังเรียนหนังสือ ชั้น  ปวช. ช่วงปลาย  ด้านช่างสายอาชีวะ ช่วงปิดเทอม มีช่วงหนึ่งที่ผมว่าง เนื่องจาก เนื่องจาก พี่ชายได้เลิกกิจการค้าขายนอกเวลาราชการไป (ก่อนนั้น ช่วงเลิกเรียน และ ช่วงปิดเทอม ผมจะช่วยกิจการค้าขายของพี่ชายไปด้วย) ...

ทำให้มีโอกาส ได้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ ที่สวนอาหาร ที่ไม่ไกลจากบ้านพักพี่ชายมากนัก …

ผมจะสรุปตลอดเหตุการณ์ ในระหว่างระยะเวลาการทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร และ บาร์เบียร์ ผ่านเหตุการณ์ และ ความรู้สึก ต่าง ๆที่จำได้ดังนี้ครับ


•    เริ่มทำงานแรก ๆ เคอะเขิน ติดขัดไปหมด ไม่ว่า จะเดิน ยืน รินน้ำ รินเบียร์ ผสมเหล้า เสิร์ฟข้าว วางอาหารให้ลูกค้า เกร็งไปหมด    กลัวผิด กลัวเป็นตัวตลก ซึ่ง พอผ่านมาแล้ว เราคิดไปเองทั้งนั้น ลูกค้าเขาไม่ได้มาจ้องจับผิด จะมีบ้างที่ลูกค้าแนะนำ เมื่อเห็นว่าเราทำไม่ถูก
o    เรื่องนี้สอนให้ผมรู้จักการเรียนรู้วิธีทำงาน เมื่อเข้ามาเริ่มงานใหม่ หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ต้องศึกษาเรียนรู้ให้ไว เพราะว่า เราใช้ทักษะในการทำงาน เพื่อหาเงิน



•    ได้พบคนหลากหลาย ระดับ พนักงานเสิร์ฟด้วยกัน พ่อครัว คนสวน เจ้าของร้าน ลูกค้าหลากหลายระดับ และ ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันไป  
o    เรื่องนี้สอนให้ผมทราบว่า เราสามารถอยู่กับคนได้ทุกระดับ แต่ละระดับนั้น เราสามารถศึกษาเรียนรู้ ประสบการณ์ชีวิต และ มองโลกได้กว้างขึ้น เห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล


•    เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ควบคุมจิตใจ และ ความรู้สึก เมื่อได้รับการปฏิบัติจากลูกค้าในสิ่งที่เราไม่ชอบ แรก ๆ ก็ใช้เวลาพอสมควรที่จะสลัดความรู้สึกต่าง ๆ ที่ไม่ดีออกไป เช่น บางครั้งลูกค้าดุด่า บ่นเรื่องอาหารช้า บ่นโน่นนี่นั่น เมาแล้วพูดจาไม่ดี เมื่อเช็ค เคลียร์บิล แล้ว ก็ปล่อยผ่าน ๆ ไป คิดในแง่ดีที่ว่า เราได้เรียนรู้นิสัยของคน เขาปฏิบัติกับเราอย่างดูถูก แต่ไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีของเราลดลงไป
o    เรื่องนี้สอนให้ผมเป็นคน ไม่เก็บอะไรมาคิดให้มาก หากเรื่องนั้นไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญกับชีวิต การที่คนจะมาว่า มาบ่น เมื่อผ่านแล้วก็ผ่านไป ไม่เก็บมาคิดมาเครียด สิ่งนี้ติดตัวผมจนถึงเมื่อทำงาน ผมจะเลือกจำ เลือกให้ความสำคัญ แต่สิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญ ๆ จริง ๆ เรื่องไร้สาระ ไม่ได้ทำให้ผมหงุดหงิด หรือ เครียดได้เท่าไหร่


•    ผม เก็บอาหาร ที่ลูกค้ากินเหลือ และ รวบรวม มาไว้กินกันหลังเลิกงานกับบรรดา หมู่พนักงานเสิร์ฟ ด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ ครอบครัวผมเอง ถึงไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยต้องไปกินของเหลือจากใคร ๆ  สิ่งที่ผมประทับใจ และ จดจำ คือ วันหนึ่งลูกสาวของเจ้าของร้านอาหาร ท่านเห็นพวกผมตั้งวงกินข้าวกัน ด้วยกับข้าวที่ ร้านเตรียมไว้ให้ และ อาหารบางส่วนที่เหลือจากลูกค้า ท่านเจียวไข่มานั่งกินด้วย และ สอนพวกเราว่า อย่าไปถือว่าเป็นอาหาร ที่เหลือและ จะเป็นการเสียศักดิ์ศรี คนเราเกิดมา กินเพื่ออยู่ อาหารที่เหลือมาจากลูกค้า ก่อนกิน ก็ให้อุ่นก่อน และ ยังบอกอีกว่า รู้ไหมว่า ลูกค้าบางคนสั่งอาหาร มากินเพียงนิดเดียว แล้วก็เช็คบิล ไม่ห่อกลับ นั่นคือ เขาสั่งเผื่อให้พนักงานเสิร์ฟได้กิน (อันนี้ ผมรู้สึกได้ จากประสบการณ์การเสิร์ฟ ของผม 2-3 ปี มีลูกค้าประเภทนี้จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อย่างอื่น ทานจนหมด แต่ก่อนเช็คบิล สั่งพวกต้มยำ หรือ ปลาทอด ไก่ทอด ทานอยู่ ไม่กี่คำ ก็เหลือไว้อย่างนั้น)
o    สิ่งนี้สอนให้ผมละวางเรื่องอัตตาไปได้ และ ระลึกเสมอว่า การกินง่าย อยู่ง่ายนั้น ได้เปรียบในหลาย ๆ เรื่อง คือ หากเราไม่ได้เห็นเรื่องกินเป็นใหญ่ เรากินแค่ให้เพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย และ สำคัญต้องสะอาด ก็เพียงพอแล้ว อย่าเก็บเรื่องศักดิ์ศรี ที่ไม่ได้เป็นสาระสำคัญมาให้หนักใจ ศักดิ์ศรี ของคนนั้น อยู่ที่คุณค่า และ การปฏิบัติตัวที่ถูกครรลองต่างหาก


•    สามารถรับรู้ได้ว่า มีคนที่เห็นในสิ่งที่เราตั้งใจทำดี เช่น ลูกค้าหลาย ๆ ท่าน ที่รับทราบว่า ผมเป็นนักศึกษา และ มาหารายได้พิเศษ ก็พูดคุยด้วย ให้กำลังใจ ให้ทิปที่เกินมาตรฐานที่เคยได้ บางครั้ง เคยได้แบงค์ สีม่วง ก็มีบ้าง นาน ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่เราเป็นเด็กผู้ชาย บางครั้ง ไม่ได้ให้ตรง ๆ ฝากพี่นักร้องมาให้ และยังฝากคำสอน และ กำลังใจอันยิ่งใหญ่มาให้
o    สอนให้ผมยึดมั่น ว่า หากเราทำหน้าที่ของเราให้ดี และ ตั้งใจทำอย่างเต็มที่เต็มความสามารถแล้ว สุดท้าย ก็มีคนเห็นอยู่แหละ แม้กระทั่งลูกค้าที่เพียงแค่ผ่านมาทานข้าว แล้วเจอกันไม่กี่ชั่วโมง  ทำให้ผมคิดว่า สิ่งที่ผมทำทุกอย่าง มันอยู่กับตัวผมเอง ผมเห็นตัวเองทำงาน ทำหน้าที่อย่างดี ผมคิดได้ว่า
ผมเองนั้นควรจะรับรู้ และ ภาคภูมิใจกับสิ่งที่เราทำมากกว่าใคร ๆ  ตรงนี้สำคัญมาก เพราะว่าหากเรามั่นใจ ภูมิใจในสิ่งที่เราทำแล้ว เราจะทำมันให้ออกมาดียิ่ง ๆ ขึ้นไป และ ทำต่อไปไม่มีเบื่อ ไม่มีท้อ



•    ผมได้เห็นสังคมของผู้ใหญ่ ล่วงหน้ากว่าวัยของตัวเอง เหมือนเอาตัวเองไปจำลองในเหตุการณ์ที่เราเป็นผู้ใหญ่ เมื่ออยู่ในวงลูกค้า คือ เราเห็นพฤติกรรมหลาย ๆ อย่าง เมื่อลูกค้ามาทานข้าว สังสรรค์ ในร้านอาหาร บาร์เบียร์ การเจรจาธุรกิจระหว่างทานข้าว การพบปะในวงราชการ การพาครอบครัวมาทานข้าวด้วยกัน หัวหน้าครอบครัวที่เคยเห็นพาภรรยาและลูก ๆ มาทานข้าว บางวันมากับสาวอายุคราวลูกดูสนิทสนมกันเกินพอดี ทำให้ได้เรียนรู้ เห็นโลกที่หลากหลาย และ รู้เท่าทันสังคม
o    สอนให้ผมมองเห็นว่า ในอนาคต ที่เราจะเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงาน มีวัยวุฒิ ที่เพิ่มขึ้น เราก็จะต้องอยู่ในสังคมอย่างที่เราเห็น แล้ว เราควรจะเลือกแบบอย่าง แบบไหน ในการครองตน


•    ใช้ชีวิตวัยรุ่นน้อยมาก เรียกได้ว่า จากเด็ก เข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น แล้ว ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่ไป เวลาในการเที่ยวเตร่เฮฮา เหลวไหล ไม่ค่อยมี  ซึ่งบางครั้งผมก็รู้สึก อยากมีเวลาไปสนุกสนานกับเพื่อน ๆ อยากมีเวลาไปเล่นกีฬา อยากมีเวลาไปเที่ยว เสาร์ อาทิตย์ เดินห้าง ดูหนัง เหมือนเพื่อน ๆ บ้าง แต่ เรามีหน้าที่ ที่เลือกแล้วต้องทำ ก็ต้องว่ากันไป
o    สิ่งที่ผมได้ คือ ความคิดความอ่าน ผมค่อนข้างจะมองอะไรเกินกว่าเพื่อน ๆ ในกลุ่มเสมอ เรื่องการใช้ชีวิต การวางแผนชีวิตล่วงหน้า ยกตัวอย่าง ช่วง ผมเรียน ปวส. นั้น เป็นช่วง ต้มยำกุ้งพอดี  และ คำพูดของอาจารย์ท่านหนึ่ง บอกว่า รุ่นของพวกลูก ๆ นี้จะลำบากมาก จะตกงาน เพราะว่าปัญหา เศรษฐกิจ จบ ปวส. ไม่สามารถการันตี การมีงานทำ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว   คำพูดนี้ ทำให้ผม ใช้เวลาในการเรียน ปวส. ปีสุดท้ายทั้ง สองเทอม อ่านหนังสือ เตรียมสอบเข้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันการศึกษาของรัฐบาล ที่ไม่มีศิษย์คนไหน เคยสอบเข้าเรียนได้มาก่อน จนสุดท้ายผมเป็น นักศึกษาคนแรก จาก วิทยาลัยเทคนิคเล็ก ๆ ที่สอบติด คณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้ (ที่ต้องตั้งใจเรียนต่อ เพราะว่า คิดว่า หากเรียน ป.ตรี 3 ปี เศรษฐกิจ ก็น่าจะฟื้นตัวบ้าง และ การมีวุฒิ ป.ตรี ทางสายวิศวะ ก็จะดีกว่า ปวส. ซึ่งผมก็คิดไม่ผิดนัก)



•    ได้รู้ว่าการที่เงินที่ใช้ ๆ อยู่ทุกวันนี้ กว่าจะได้มามันยากเย็น ยืนเสิร์ฟขาแข็ง ทั้งเดือน เงินเดือนน้อยนิด และ กว่าจะได้ทิปจากลูกค้าแต่ละโต๊ะ คือ ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะว่าเมื่อทำหน้าที่อย่างดีแล้ว ลูกค้าประทับใจ เงินทอนเล็ก ๆ น้อย ๆ ลูกค้าจะเมตตา ให้เป็นน้ำใจ ก็สามารถเก็บไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์ ได้มากมาย หรือหากไม่ได้รับแม้แต่บาทเดียวต่อการเสิร์ฟหนึ่งโต๊ะ ก็ทำให้เราฝึกจิตใจว่า นั่นคือหน้าที่ อย่าไปคาดหวังอะไรให้มาก ได้หรือไม่ได้ ก็ยังต้องมีจิตใจที่จะให้บริการให้ดีไม่มีข้อยกเว้น
o    สอนให้ผมรู้จักคุณค่าของเงิน ว่าทุกบาท ทุกสตางค์นั้นมีคุณค่า การจะใช้จ่ายอะไรออกไป คิดแล้วคิดอีก ฉะนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่ไร้สาระ นั้น ผมจะไม่เสียเงินในส่วนนั้นไป อีกทั้ง และ งานทุกอย่างที่ผมทำ ผมก็จะพยายามตั้งใจอย่างเต็มที่ ถึงแม้ผลที่ออกมาบางครั้ง ไม่ได้ดั่งใจ แต่เมื่อทำต่อเนื่อง ผมเห็นว่า
มันจะดีกว่า หากเราทำให้ดียิ่งขึ้นไป ถ้าหยุด เราก็จะไม่ได้อะไรเลย
เมื่อผมโตขึ้น มีรายได้ ผมพยายามทำทุกครั้งที่จะให้กำลังใจ กับ เด็ก ๆ ที่หารายได้ด้วยตัวเอง เช่นทานข้าวที่ร้านอาหาร ผมมีหลักปฏิบัติเวลาให้ทิปกับ น้อง ๆ คือ หากได้รับเงินทอน มีเศษเหรียญ กับ แบงค์ 20,50 หรือ กระทั่ง แบงค์ 100 ผมจะเลือกเก็บเงินเหรียญไว้ แล้ว ให้ทิปเป็นแบงค์ หรือ หากมีเศษเหรียญ ทั้งหมด ผมเลือกที่จะเก็บเหรียญ และ หยิบ แบงค์ในกระเป๋าให้ทิป นี่คือ สิ่งที่เราได้สื่อให้น้อง ๆ รู้กลาย ๆ ว่า เงินที่เราทิปให้ไปนั้น เป็นเงินที่ตั้งใจจะให้ ไม่ใช่ ให้เพราะว่าเป็นเศษเงิน เศษเหรียญที่ไม่ต้องการ และ มีความสุขทุกครั้งที่เห็น น้อง ๆ ได้รับทิป แล้วดูมีความสุข



ที่เล่ามายืดยาว นี่คือ งานเล็ก ๆ ที่ชีวิตผมได้ผ่านมา แต่เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ ที่ผลักดันชีวิตของผม ให้มีในวันนี้ได้ ซึ่ง อาจจะไม่ได้ดีมากมาย กว่าคืนอื่น ๆ เมื่อเทียบกับมาตรฐานสังคมไทย แต่หากผมไม่ได้ทำงานพิเศษ ผมอาจจะไม่ได้มีวันนี้ หรือ มีไม่เท่านี้ ในทุก ๆ ด้าน

ประสบการณ์เหล่านี้ ไม่สามารถสอนกันได้ด้วยคำบอกเล่า ต้องเรียนรู้เองเท่านั้น  ผมมีเรื่องที่น่าประทับใจเกี่ยวกับ การทำงานอีกหลาย ๆ เรื่อง หากมีโอกาส และ สภาพจิตใจปรอดโปร่ง ที่จะเรียบเรียงคำพูด ให้อ่านได้ง่าย ๆ จะมาเล่าให้ฟัง

ผมเพียงอยากจะบอกว่า สังคมเราควรจะให้การสนับสนุน ให้เด็ก ๆ ในวัยเรียน วัยรุ่นได้มีโอกาส ทำงานนอกเวลา เพื่อแบ่งเบาภาระของ ผู้ปกครอง เชื่อผมเถอะครับ มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเงินอย่างเดียว


สิ่งที่จะได้จากการทำงานพิเศษ นั้น มันมากมายจริง ๆ ให้นึกภาพเด็ก ๆ บ้านนอกอย่างผมคนหนึ่ง เรียนจนจบ มัธยมต้น มีโอกาส นั่งรถโดยสารเข้าเมือง เพียงไม่เกิน ปีละ ไม่กี่ ครั้ง เมื่อมีโอกาส ทำงานพิเศษ และ ผ่านมาได้ สามารถใช้ชีวิตในสังคม ไม่ว่าจะระดับไหนได้อย่างไม่เคอะเขิน สามารถรับมือกับความกดดันจากงานทำงาน มากมาย โดยที่ไม่ได้เป็นทุกข์ มากนัก


ฝากไปยังผู้ปกครองที่มีน้อง  ๆ วัยเรียน ที่สามารถทำงานได้ ให้พยายาม สนับสนุนให้น้อง ๆ ได้มีโอกาส ทำงานบ้าง อย่าเลี้ยงลูกแบบประคบประหงม เกินไป เพื่อให้เขาได้มีโอกาส เรียนรู้ เตรียมตัว ที่จะรับมือกับชีวิตโลกภายนอกครอบครัว นอกรั้วโรงเรียน /วิทยาลัย/สถาบัน/มหาวิทยาลัย ได้อย่างรู้เท่าทันสังคมภายนอก และ รู้เท่าทันอารมณ์ จิตใจตัวเอง

เขียนไปเขียนมาก็รู้สึก ว่ายาวยืด เอาเป็นว่า เป็นการเล่าสุ้กันฟังก็แล้วกันครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่