สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ผมตั้งในสื่อออนไลน์และ เป็นครั้งแรกที่ผมจะขอแสดงความคิดเห็นออกสู่โลกสาธารณะ
ในความเป็นจริงแล้วแม้วลี "ไม่บังคับแต่ห้ามขัดขืน" จะเป็นวลีที่ผมคิดขึ้นมาเองแต่ทุกๆท่านก็คงต้องเคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างไม่ว่าจะเป็นจากบริษัท
สถานศึกษา หรือ แม้กระทั่งจากคนรอบข้างโดยเฉพาะจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่าว่า "ไม่ได้บังคับ" ให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยที่จริงๆแล้วคุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าจะมีผลร้ายตามมาแน่ๆหากไม่ทำตาม ตัวอย่างเช่น
คุณช่วยไปจัดการเคลือกับลูกค้าคนนี้ให้ผมหน่อยผมไม่ว่าง แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร
มะรืนนี้งานวันเกิดหัวหน้า อยากให้ช่วยมางานหน่อยอย่าลืมเตรียมของมาด้วยนะ
ช่วงนี้โรงเรียนต้องการจัดงานรณรงค์ ขอรับสมัครตัวแทนนักเรียน 50 คน
ปีนี้มีการเปิดรับสมัคร รด. มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก
แน่นอนประโยคเหล่านี้อาจจะดูรุนแรงมากน้อยต่างกันไปตามแนวคิดของแต่ละคน แต่สำหรับผมแล้วผมต้องการจะแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ลึกลงไปกว่าแค่ผมจากการทำหรือไม่ทำสิ่งเหล่านั้น............คำถามที่แท้จริงคือทำไมไม่ใช่คำว่าบังคับให้ทำหรือไม่ให้ทำไปเลย
คำตอบจากผมคือ "เปลืองตัว" เพราะเมื่อคุณพูดว่าผมจะบังคับให้ทำอะไรซักอย่าง สิ่งที่ตามมมากับสิ่งนั้นคือคำถามว่า "เอาสิทธิ์จากไหน" "ความคิดนี้มาจากไหน" "ผ่านเรื่องนี้มาได้ยังไง" "จะมีผลดีผลเสียยังไง" ด้วยคำถามที่มากมายเหล่านี้ที่ตามมา ดูตัวอย่างได้จากเวลาออกกฎหมาย หรือ มีการลงโทษแรงๆในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย จะมีดราม่าเรื่องพวกนี้ออกมาตลอด ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่ทั้งเรื่องที่ดีหรือไม่ดี แต่เราจะต้องเก็บไว้พูดต่อในโอกาสต่อไป แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคนที่อยู่ในอำนาจได้เห็นสิ่งเหล่านี้แล้ววิธีที่ง่ายที่สุดคืออะไร
การให้ทางเลือกปลอมๆยังไงหล่ะ เพราะเมื่อมีทางเลือกแล้วก็ไม่มีใครพูดได้อีกว่า "มีการบังคับ" "มีการริดรอนสิทธิ" "มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ" และด้วยนิสัยเกรงใจและ เกรงกลัวของคนไทยทุกคนที่โดน "ให้ทางเลือก" ก็มีแต่จะต้องทำตามไปโดยไม่เต็มใจและไม่สามารถตั้งคำถามอะไรได้นี่คือความน่ารังเกียจที่แท้จริงของการกระทำแบบนี้ เพราะมันเป็นทางออกที่มีแต่ชนะ กับ ชนะ สำหรับผู้มีอำนาจเพราะเมื่อไม่มีใครคัดค้านก็มีแค่คนทำตาม และเมื่อมีใครกล้าลองตั้งคำถามก็จะมีคนพูดว่า "เค้าไม่ได้บังคับ" ทั้งๆที่คนที่พูดก็รู้อยู่แก่ใจว่าถูกบังคับอยู่
และเมื่อระบบแบบนี้ถูกปล่อยไปไม่ได้รับการแก้ไข สังคมไทยก็ค่อยๆถดถอยลงพร้อมๆกับ เสียงของเหล่าคนใต้บัญชาที่กลับเคยชินกับการถูกหลอกด้วยทางเลือกจอมปลอม เป็นสังคมที่คนไปร่วมงานเพราะกลัว ไปไหว้วานเพราะเกรงใจ ยอมทำตามไปแม้ในใจจะไม่ได้ไปตามด้วยเลยแม้แต่น้อย และการถกเถียงอย่างมีเหตุผลก็ถูกระงับไปเพราะเค้า "ไม่ได้บังคับ" หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเมื่อไหร่คนไทยจะรู้จัก การร่วมประชุมงานจริงๆ เมื่อไหร่ทุกๆคนจะใส่ใจลงไปในงานที่ได้รับมอบหมาย
ดังนั้นแล้วผมจึงต้องขอพูดว่าแม้ว่าการบังคับใครเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมเห็นด้วย แต่อย่างน้อยก็ควรจะกล้าประกาศออกมาอย่างลูกผู้ชาย และกล้ารับคำวิจารณ์ คำด่า และข้อกังขาที่ถาโถมเข้ามาแทนที่จะหลบอยู่หลังกำแพงที่เรียกว่า "ไม่ได้บังคับ" เพราะจนกว่าคนเหล่านั้นจะกล้าก้าวออกมารับหน้าและวิจารณ์กับอย่างปัญญาชน คำๆนี้ก็จะยังกัดกินระบบความคิดของคนไทยต่อไป
เหยี่ยวดำ
"ไม่บังคับแต่ห้ามขัดขืน" ทำไมวลีนี้ถึงทำลายสังคมไทย
ในความเป็นจริงแล้วแม้วลี "ไม่บังคับแต่ห้ามขัดขืน" จะเป็นวลีที่ผมคิดขึ้นมาเองแต่ทุกๆท่านก็คงต้องเคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างไม่ว่าจะเป็นจากบริษัท
สถานศึกษา หรือ แม้กระทั่งจากคนรอบข้างโดยเฉพาะจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่าว่า "ไม่ได้บังคับ" ให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยที่จริงๆแล้วคุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าจะมีผลร้ายตามมาแน่ๆหากไม่ทำตาม ตัวอย่างเช่น
คุณช่วยไปจัดการเคลือกับลูกค้าคนนี้ให้ผมหน่อยผมไม่ว่าง แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร
มะรืนนี้งานวันเกิดหัวหน้า อยากให้ช่วยมางานหน่อยอย่าลืมเตรียมของมาด้วยนะ
ช่วงนี้โรงเรียนต้องการจัดงานรณรงค์ ขอรับสมัครตัวแทนนักเรียน 50 คน
ปีนี้มีการเปิดรับสมัคร รด. มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก
แน่นอนประโยคเหล่านี้อาจจะดูรุนแรงมากน้อยต่างกันไปตามแนวคิดของแต่ละคน แต่สำหรับผมแล้วผมต้องการจะแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ลึกลงไปกว่าแค่ผมจากการทำหรือไม่ทำสิ่งเหล่านั้น............คำถามที่แท้จริงคือทำไมไม่ใช่คำว่าบังคับให้ทำหรือไม่ให้ทำไปเลย
คำตอบจากผมคือ "เปลืองตัว" เพราะเมื่อคุณพูดว่าผมจะบังคับให้ทำอะไรซักอย่าง สิ่งที่ตามมมากับสิ่งนั้นคือคำถามว่า "เอาสิทธิ์จากไหน" "ความคิดนี้มาจากไหน" "ผ่านเรื่องนี้มาได้ยังไง" "จะมีผลดีผลเสียยังไง" ด้วยคำถามที่มากมายเหล่านี้ที่ตามมา ดูตัวอย่างได้จากเวลาออกกฎหมาย หรือ มีการลงโทษแรงๆในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย จะมีดราม่าเรื่องพวกนี้ออกมาตลอด ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่ทั้งเรื่องที่ดีหรือไม่ดี แต่เราจะต้องเก็บไว้พูดต่อในโอกาสต่อไป แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคนที่อยู่ในอำนาจได้เห็นสิ่งเหล่านี้แล้ววิธีที่ง่ายที่สุดคืออะไร
การให้ทางเลือกปลอมๆยังไงหล่ะ เพราะเมื่อมีทางเลือกแล้วก็ไม่มีใครพูดได้อีกว่า "มีการบังคับ" "มีการริดรอนสิทธิ" "มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ" และด้วยนิสัยเกรงใจและ เกรงกลัวของคนไทยทุกคนที่โดน "ให้ทางเลือก" ก็มีแต่จะต้องทำตามไปโดยไม่เต็มใจและไม่สามารถตั้งคำถามอะไรได้นี่คือความน่ารังเกียจที่แท้จริงของการกระทำแบบนี้ เพราะมันเป็นทางออกที่มีแต่ชนะ กับ ชนะ สำหรับผู้มีอำนาจเพราะเมื่อไม่มีใครคัดค้านก็มีแค่คนทำตาม และเมื่อมีใครกล้าลองตั้งคำถามก็จะมีคนพูดว่า "เค้าไม่ได้บังคับ" ทั้งๆที่คนที่พูดก็รู้อยู่แก่ใจว่าถูกบังคับอยู่
และเมื่อระบบแบบนี้ถูกปล่อยไปไม่ได้รับการแก้ไข สังคมไทยก็ค่อยๆถดถอยลงพร้อมๆกับ เสียงของเหล่าคนใต้บัญชาที่กลับเคยชินกับการถูกหลอกด้วยทางเลือกจอมปลอม เป็นสังคมที่คนไปร่วมงานเพราะกลัว ไปไหว้วานเพราะเกรงใจ ยอมทำตามไปแม้ในใจจะไม่ได้ไปตามด้วยเลยแม้แต่น้อย และการถกเถียงอย่างมีเหตุผลก็ถูกระงับไปเพราะเค้า "ไม่ได้บังคับ" หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเมื่อไหร่คนไทยจะรู้จัก การร่วมประชุมงานจริงๆ เมื่อไหร่ทุกๆคนจะใส่ใจลงไปในงานที่ได้รับมอบหมาย
ดังนั้นแล้วผมจึงต้องขอพูดว่าแม้ว่าการบังคับใครเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมเห็นด้วย แต่อย่างน้อยก็ควรจะกล้าประกาศออกมาอย่างลูกผู้ชาย และกล้ารับคำวิจารณ์ คำด่า และข้อกังขาที่ถาโถมเข้ามาแทนที่จะหลบอยู่หลังกำแพงที่เรียกว่า "ไม่ได้บังคับ" เพราะจนกว่าคนเหล่านั้นจะกล้าก้าวออกมารับหน้าและวิจารณ์กับอย่างปัญญาชน คำๆนี้ก็จะยังกัดกินระบบความคิดของคนไทยต่อไป
เหยี่ยวดำ