สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ถามว่าทำไมแถบนั้นถึงมีอารยธรรมเก่าแก่เป็นที่อาศัยของมนุษย์มาแต่โบราณทั้งที่มันแห้งแล้งไม่น่าอยู่ ก็ต้องบอกว่าเพราะสภาพความแห้งแล้งนั่นแหละ เมื่อดินแดนแถบนั้นแห้งแล้งก็เท่ากับว่าพื้นที่ป่าน้อย เมื่อพื้นที่ป่าน้อยก็เท่ากับสัตว์ป่ามีน้อยโรคภัยไข้เจ็บมีน้อยตามส่งผลให้อัตราการตายของคนแถบทะเลทรายน้อยกว่าแถบพื้นที่ร้อนชื้นมีป่ามากๆ และเมื่ออัตราการตายน้อยการส่งต่อส่งผ่านความรู้ก็สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำหรับคนสมัยก่อนที่ยังไม่ค่อยมีอารยธรรมการป่วยไข้ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย รวมไปถึงต้องระวังอันตรายจากสัตว์ป่าต่างๆเพราะอาวุธยังไม่มีศักยภาพ ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานถ้าเลือกได้ก็จะเลือกตั้งมั่นในดินแดนที่มีความปลอดภัยไว้ก่อน ซึ่งในจุดนี้ดินแดนแถบทะเลทรายจัดว่าตอบโจทย์ได้ครบ ป่าไม่ค่อยมีโรคภัยก็น้อยตาม สัตว์ป่าไม่ค่อยมีก็มีความปลอดภัยสูง เมื่อเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยคนก็จึงลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ได้ราบรื่น (แม้ว่ามันจะร้อนไปไม่หน่อย) เพียงแต่ต้องเลือกหาถิ่นฐานในแถบที่พอจะมีน้ำและเพาะปลูกได้ จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นได้รวดเร็วสามารถสร้างสังคมตนเองจากชนเผ่าเข้าสู่ชุมชนเมืองและอาณาจักรได้อย่างรวดเร็ว
และอีกประการคือพื้นที่ที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์นี้ทำให้คนในอดีตใช้ชีวิตแบบหาของป่ายาก ทำให้ต้องดิ้นรนพัฒนาตนเองโดยการทำการเกษตรขึ้น ต่างจากพื้นที่อุดมสมบูรณ์ป่ามากมายแบบไทยที่เดินเข้าป่าไปเดี๋ยวเดียวก็เก็บหาของป่ามาเป็นอาหารได้เพียบแล้ว จึงไม่ค่อยมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาระบบการเกษตรมากมาย
เมื่อคนเราลงหลักปักฐานอยู่ในถิ่นใดนานๆก็จะเริ่มมีการสร้างวัฒนธรรมขึ้นมา ซึ่งจุดนี้พื้นที่แถบทะเลทรายจะได้เปรียบเพราะค่อนข้างปลอดภัยจึงสามารถส่งต่อวัฒนธรรมและอารยธรรมต่อมาได้เรื่อยๆไม่ขาดสายต่างจากดินแดนแถบอื่นที่อุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้นที่อันตรายมีรอบด้าน ดูอย่างพื้นที่แถบของไทยที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยป่า แม้ว่าอาหารจะสมบูรณ์แต่อันตรายมีรอบด้านทั้งโรคภัยไข้เจ็บและสัตว์ร้าย ตั้งถิ่นฐานอยู่ไปๆเดี๋ยวโดนสัตว์ร้ายคาบไปกินเดี๋ยวโรคภัยมาเยือนตายหมดหมู่บ้านทำให้อาศัยอยู่ยากการส่งผ่านวัฒนธรรมทำได้น้อยกว่า เราจึงจะเห็นว่าพื้นที่ในโลกนี้ที่เป็นพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยป่าอย่างแถบอเมซอน ป่าแอฟริกา เอเชียอาคเนย์ บอร์เนียว พวกนี้อารยธรรมเกิดขึ้นมาค่อนข้างช้ากว่าดินแดนแถบอื่นๆอย่างยุโรป จีน ตะวันออกกลางมาก กว่าจะเริ่มเปลี่ยนจากสังคมชนเผ่าเป็นสังคมเมืองก่อตั้งอาณาจักรเป็นจักรวรรดิได้ดินแดนแถบอื่นก็เจริญมานานแล้ว
และอีกประการคือพื้นที่ที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์นี้ทำให้คนในอดีตใช้ชีวิตแบบหาของป่ายาก ทำให้ต้องดิ้นรนพัฒนาตนเองโดยการทำการเกษตรขึ้น ต่างจากพื้นที่อุดมสมบูรณ์ป่ามากมายแบบไทยที่เดินเข้าป่าไปเดี๋ยวเดียวก็เก็บหาของป่ามาเป็นอาหารได้เพียบแล้ว จึงไม่ค่อยมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาระบบการเกษตรมากมาย
เมื่อคนเราลงหลักปักฐานอยู่ในถิ่นใดนานๆก็จะเริ่มมีการสร้างวัฒนธรรมขึ้นมา ซึ่งจุดนี้พื้นที่แถบทะเลทรายจะได้เปรียบเพราะค่อนข้างปลอดภัยจึงสามารถส่งต่อวัฒนธรรมและอารยธรรมต่อมาได้เรื่อยๆไม่ขาดสายต่างจากดินแดนแถบอื่นที่อุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้นที่อันตรายมีรอบด้าน ดูอย่างพื้นที่แถบของไทยที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยป่า แม้ว่าอาหารจะสมบูรณ์แต่อันตรายมีรอบด้านทั้งโรคภัยไข้เจ็บและสัตว์ร้าย ตั้งถิ่นฐานอยู่ไปๆเดี๋ยวโดนสัตว์ร้ายคาบไปกินเดี๋ยวโรคภัยมาเยือนตายหมดหมู่บ้านทำให้อาศัยอยู่ยากการส่งผ่านวัฒนธรรมทำได้น้อยกว่า เราจึงจะเห็นว่าพื้นที่ในโลกนี้ที่เป็นพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยป่าอย่างแถบอเมซอน ป่าแอฟริกา เอเชียอาคเนย์ บอร์เนียว พวกนี้อารยธรรมเกิดขึ้นมาค่อนข้างช้ากว่าดินแดนแถบอื่นๆอย่างยุโรป จีน ตะวันออกกลางมาก กว่าจะเริ่มเปลี่ยนจากสังคมชนเผ่าเป็นสังคมเมืองก่อตั้งอาณาจักรเป็นจักรวรรดิได้ดินแดนแถบอื่นก็เจริญมานานแล้ว
ความคิดเห็นที่ 13
เรามาเริ่มกันไกลๆก่อน เอาที่การสิ้นสุดของยุคน้ำแข็ง เมื่อราวๆ 13,000 BC ทำให้ Monsoon (ลมมรสุม) ย้ายขึ้นมาทางเหนือ ทำให้บริเวณ จอร์แดน ปาเลสไตน์ และเมโสโปเตเมีย กลายเป็น สวนสวรรค์ ซึ่งจะเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมสำคัญของมนุษย์
มาถึง 10,500 BC เกิดการตีกลับของอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นมากลับกลายเป็นเย็นลงอย่างกระทันหัน เราเรียกยุคนี้ว่า Younger Dryas เกิดภาวะแห้งแล้งไปทั่วคาบสมุทรอาระเบีย จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงจากสังคม Hunter Gatherer เป็นสังคม Agricultural นักวิชาการอธิบายว่าเนื่องจากอาหารตามธรรมชาติหาได้ยากขึ้น(เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงกระทันหัน) มนุษย์เลยต้องปรับตัวมาทำการเพาะปลูก และเมื่อมีการเพาะปลูกก็ย่อมเกิดชุมชนขึ้นตามธรรมชาติ
หลังจากนั้นพันปี Younger Dryas จบลง ความอุดมสมบูรณ์ก็กลับมาเยือนเมโสโปเตเมียอีกครั้ง
สรุปง่ายๆ อารยธรรมแรกๆเกิดในบริเวณ อบอุ่น (ไม่ได้ร้อน) และอุดมสมบูรณ์ (ไม่ได้แห้งแล้งเป็นทะเลทราย)
การที่จะมองประวัติศาสตร์ เราต้องมองมันในภาวะของยุคนั้น อย่าเอาภาพของปัจจุบันไปทับกับประวัติศาสตร์ มันจะทำให้ความเข้าใจเราผิดเพี้ยน
แถบเมโสโปเตเมียที่เกิดอารยธรรมนั้นเป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เรื่อยมา แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ถึงจะไม่เท่ากับสมัยที่เป็น สวนสวรรค์*ก็ตาม
*นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า สวนสวรรค์ (Garden of Eden) จำลองภาพมาจาก ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แถบเมโสโปเตเมียเมื่อราวๆ 6000 BC - 4000 BC ที่อากาศอบอุ่นกว่าปัจจุบัน และสภาพอากาศแบบเส้นศูนย์สูตร ขยายมาทางเหนือจนถึงบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรติส
มาถึง 10,500 BC เกิดการตีกลับของอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นมากลับกลายเป็นเย็นลงอย่างกระทันหัน เราเรียกยุคนี้ว่า Younger Dryas เกิดภาวะแห้งแล้งไปทั่วคาบสมุทรอาระเบีย จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงจากสังคม Hunter Gatherer เป็นสังคม Agricultural นักวิชาการอธิบายว่าเนื่องจากอาหารตามธรรมชาติหาได้ยากขึ้น(เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงกระทันหัน) มนุษย์เลยต้องปรับตัวมาทำการเพาะปลูก และเมื่อมีการเพาะปลูกก็ย่อมเกิดชุมชนขึ้นตามธรรมชาติ
หลังจากนั้นพันปี Younger Dryas จบลง ความอุดมสมบูรณ์ก็กลับมาเยือนเมโสโปเตเมียอีกครั้ง
สรุปง่ายๆ อารยธรรมแรกๆเกิดในบริเวณ อบอุ่น (ไม่ได้ร้อน) และอุดมสมบูรณ์ (ไม่ได้แห้งแล้งเป็นทะเลทราย)
การที่จะมองประวัติศาสตร์ เราต้องมองมันในภาวะของยุคนั้น อย่าเอาภาพของปัจจุบันไปทับกับประวัติศาสตร์ มันจะทำให้ความเข้าใจเราผิดเพี้ยน
แถบเมโสโปเตเมียที่เกิดอารยธรรมนั้นเป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เรื่อยมา แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ถึงจะไม่เท่ากับสมัยที่เป็น สวนสวรรค์*ก็ตาม
*นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า สวนสวรรค์ (Garden of Eden) จำลองภาพมาจาก ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แถบเมโสโปเตเมียเมื่อราวๆ 6000 BC - 4000 BC ที่อากาศอบอุ่นกว่าปัจจุบัน และสภาพอากาศแบบเส้นศูนย์สูตร ขยายมาทางเหนือจนถึงบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรติส
แสดงความคิดเห็น
ทำไมกำเนิดอารยธรรมมนุษย์เมโสโปเตเมียถึงเริ่มที่ดินแดนทะเลทรายแถบอิรักครับ