เรื่องสั้น “พี่ชายที่แสนดี”เคยลงค้างเอาไว้นานแล้ว วันนี้อยากวางให้อ่านจนจบค่ะ เป็นนิยายเรื่องแรกสุดในชีวิตที่เขียนเลยก็ว่าได้ เพราะเขียนตอนรับราชการปีแรก อายุประมาณ 21 ปี ตอนนั้นแค่อยากเขียนเล่นๆ เป็นการบันทึกความทรงจำขณะทำงานเอาไว้ เพราะประทับใจหลายอย่าง ตั้งชื่อเรื่องว่า "ใต้เงากรรม" ตั้งนามปากกาตัวเองว่า "คนลำพูน" ไม่นึกว่าจะมี "ล. วิลิศมาหรา" ในวันนี้เลยค่ะ
เรื่องราวของมานีบางส่วนมาจากการรับฟังเด็กซึ่งถูกเรียกว่าเป็นเด็กมีปัญหาขณะทำงานในโครงการเสริมทักษะชีวิตของมูลนิธิหนึ่ง ผสมกับชีวิตจริงของผู้เขียนบ้างนิดหน่อย ส่วนเรื่องราวการทำงานในสถานีอนามัยเป็นเรื่องจริงของลิค่ะ
ตอนที่ 1 (ตอนที่ 2 ลบไปแล้วค่ะ เพราะสุ่มเสี่ยงต่อล็อคอิน อิอิ)
https://pantip.com/topic/35017564
พี่ชายที่แสนดี 3
ในที่สุดมานีก็สอบชิงทุนได้เป็นที่หนึ่งของจังหวัด จากจำนวนผู้สอบคัดเลือกเข้าเรียนพยาบาลหลักสูตรเรียนสองปีเกือบพันคน เธอดีใจและภูมิใจที่สามารถเอาชนะอุปสรรคในการสอบคัดเลือกมาได้ โชคดีที่ปีนั้นเขารับเด็กศิลป์เป็นปีสุดท้าย ช่างคุ้มค่ากับการท่องดิชชั่นนารีทั้งเล่มจนจำขึ้นใจเสียจริงๆ เธอไม่รู้เลยว่าอุปสรรคขั้นต่อไปนั้นหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น เมื่อต้องเรียนวิชาฟิสิกค์ เคมีและอนาโตมี แต่วิชาเอาตัวรอด ศาสตร์ที่เธอถนัดที่สุดช่วยเธอได้เสมอ อย่างเช่นตอนที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา
“อาทิตย์หน้าให้ผู้ปกครองมารับใบเกรดนะนักเรียน ครูอยากพบผู้ปกครองของทุกคน เพื่อจะได้รายงานผลการเรียนและความประพฤติของพวกเธอให้รับทราบ”
เรื่องนั้นไม่เห็นจำเป็นสำหรับเธอเลยจนนิดเดียว เพราะตั้งแต่เข้าเรียน ม. 1 ที่นี่ เธอไม่เคยรบกวนแม่ให้มาเป็นผู้ปกครอง ยายก็แก่เกินไป แค่ให้รู้ว่าเธอเลื่อนชั้นได้เรื่อยๆ ก็พอแล้ว แต่เมื่อยายเสียตอนเธอกำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 4 ค่าเทอม ค่าหนังสือและเสื้อผ้าที่พอมีจากการขายลำไยของยายจึงจบสิ้นลง มีการพูดคุยกันถึงเรื่องแบ่งที่ทางระหว่างลูกๆ ของยายทั้งสาม น้าสาวได้กรรมสิทธิ์ในบ้านไม้ของยายและขอซื้อที่ดินส่วนของแม่ไป ส่วนเธอก็อพยพออกจากบ้านยายมาเงียบ ๆ บอกแม่กับญาติๆ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอมีที่ไป บ้านสำหรับเธอไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป
ยังมีคนที่เข้าใจเธอและให้ที่พัก เด็กผู้หญิงบ้านแตกอีกคนหนึ่งในสังคมเสื่อมทราม เด็กที่ดูเหมือนมีเพียบพร้อมทุกสิ่งทั้งพ่อแม่และมีฐานะดี ขาดอยู่อย่างเดียวคือความรักความอบอุ่นจากคนในครอบครัว
“พ่อกูมีเมียน้อย แม่กูหาเรื่องทะเลาะกับพ่อได้ทุกวัน โคตรเบื่อว่ะ กูเลยขอออกมาอยู่ข้างนอก ”
“ทำไมพ่อแม่มิงยอมล่ะ”
“ก็ลองไม่ยอมสิ กูขู่จะฆ่าตัวตาย”
ผู้ปกครองของเด็กผู้หญิงสองคนจึงเป็นคนเดียวกัน แม่ของเพื่อนเมตตาเธออยู่มาก นอกจากยอมให้พักอยู่กับลูกสาวแล้วบางคราวยังให้เงินเธอใช้ แลกกับการทำงานในโรงโม่กระเทียมของท่านช่วงวันหยุด เสาร์- อาทิตย์ แต่ถึงอย่างไรเงินที่ต้องใช้ในการศึกษาเล่าเรียนก็ยังไม่พออยู่ดี
“ใครไม่มีหนังสือให้นั่งดูกับเพื่อนนะ”
ความยากจนทำให้ไม่เหลือความอาย บ่อยครั้งที่เธอต้องลากเก้าอี้ไปนั่งดูหนังสือกับเพื่อน หรือหางานทำหลังเลิกเรียนเพื่อสะสมเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น เธอยอมทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหาร ถึงแม้จะง่วงและเหนื่อย แต่มันก็เป็นเพียงอาชีพเดียวที่เด็กผู้หญิงอย่างเธอจะทำได้ในตอนนั้น และที่นี่ก็ทำให้เธอได้รู้จักกับพี่บอย ผู้ชายที่มีรอยสักเต็มตัวกับมอเตอร์ไซค์แต่งซิ่งประจำกายคันโก้
พี่บอยเป็นผลผลิตบัดซบอีกชิ้นหนึ่งของสังคมเลวทราม เขาเป็นลูกของนักการเมืองท้องถิ่นผู้มีชื่อเสียง ร่ำรวยและชอบช่วยเหลือสังคม มักปรากฏตัวตามหน้าสื่อให้เห็นอยู่เสมอเพื่อโปรโมทชื่อเสียงตัวเอง หวังก้าวขึ้นสู่เส้นทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ พี่บอยบอกเธอว่าพ่อกับแม่ของเขามีเวลาให้คนอื่นเสมอยกเว้นให้เวลาซึ่งกันและกัน และให้กับลูกชายคนเดียว
เขาเป็นเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยในยามที่เธอมาถึงทางตัน แม่ของเพื่อนสาวจำต้องส่งเพื่อนไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย หลังเพื่อนเธอเกิดตั้งท้องขึ้นมากะทันหัน และไม่มีใครแสดงตัวรับว่าเป็นพ่อเด็กในท้องจนหล่อนต้องไปทำแท้ง โชคไม่ดีที่ฝีมือทำแท้งของหมอเถื่อนทำให้หล่อนติดเชื้อในช่องท้องอาการรุนแรงถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลจนเป็นข่าวดัง
มานีเก็บข้าวของเพียงไม่กี่ชิ้นใส่ในลังกระดาษ ย้ายออกมาเช่าห้องอยู่รวมกับเพื่อนที่ทำงานเสริฟอาหารในร้านเดียวกัน โดยมีพี่บอยเป็นคนคอยจ่ายค่าที่พักให้
ในทุกค่ำคืนเธอกับเขาจะชวนกันขี่มอเตอร์ไซค์โฉบไปทั่วตัวเมือง บางครั้งก็ไปรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่บิดคันเร่งพุ่งทะยานออกไปราวพายุ สองมือเธอโอบรอบเอวเขาไว้แน่น ซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้าง มือหนึ่งของเขาบิดคันเร่ง อีกมือหนึ่งคอยจับมือเธอที่กอดเอวเขาอยู่คล้ายกลัวเธอจะปลิวหายไป
“พี่รักนีจัง”
“นีก็รักพี่”
“สัญญานะว่าเราจะรักกันอย่างนี้ตลอดไป”
ไม่มีอะไรยั่งยืนในคำสัญญาปากเปล่าของเด็กบ้านแตกอย่างเธอกับเขา และแล้วกาลเวลาก็เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไป
ใ
นพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้มานีเป็นที่พึ่งของชาวบ้านที่ต้องการหมอ หากแต่หมอที่หมายถึงแพทย์ไม่เคยมีเพียงพอมาจนถึงสถานีอนามัยไกลปืนเที่ยงอย่างที่นี่ คนไข้ของเธอร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นคนยากจน บางส่วนเป็นชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยง ซึ่งบางคนมีบัตรประจำตัวประชาชนแต่พูดและเขียนภาษาไทยไม่ได้แม้แต่คำเดียว เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการยังไม่ส่งครูเข้ามาในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้ จึงเป็นภาวะจำยอมที่หมอบ้านนอกอย่างเธอต้องควบหน้าที่สอนหนังสือให้กับเด็กๆ ที่ต้องการเพียงเขียนชื่อตัวเองให้เป็นไปด้วย
“ฉันไหว้ล่ะหมอ ช่วยไปดูมันหน่อย มันป่วยหนักมาหลายวันแล้ว เดินก็ไม่ไหว ลงมาหาหมอที่นี่ไม่ได้จริงๆ”
เด็กสาวอายุยี่สิบอย่างเธอจะทำอย่างไรดีกับความรับผิดชอบต่อชีวิตมนุษย์ที่แสนสาหัสนี้ ญาติคนป่วยบนดอยสูงเดินข้ามเขามาหา เพื่อหวังมารับตัวหมอไปรักษาคนไข้เจ็บหนักที่ข้างบนนั้น หลังจากที่พวกเขาหาทางรักษาตามวิธีของตนเองจนหมดปัญญาแล้ว แต่ทว่าอาการคนไข้ไม่ดีขึ้นเลยมีแต่จะทรุดลง ที่พึ่งสุดท้ายจึงคือหมอจากพื้นราบที่สถานีอนามัย
มานีจัดยาทุกอย่างที่คิดว่าพอช่วยคนไข้ได้ลงกระเป๋าเยี่ยมบ้านใบใหญ่ ในใจรู้ดีว่ายาขนานเอกที่แท้จริงคือใบหน้าของหมอนั่นเอง มีชาวบ้านอาสาเดินไปส่งซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชายฉกรรจ์ ญาติคนป่วยเดินนำหน้า มานีเดินอยู่ระหว่างกลางของชายถือปืนแก๊ปยาวสองคน ผู้นำทางพาเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยที่มีน้ำไหลรินๆ เดินกันมาครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ถึงเสียที
“ขอนั่งพักนิดหนึ่งนะจ๊ะ” มานีเหนื่อยล้าจนก้าวขาแทบไม่ออก บอกขอหยุดพักเหนื่อยสักครู่ คนทั้งหมดจึงหยุดเดินแล้วพากันนั่งพักบนโขดหินในลำห้วย แต่คนนำทางกลับเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่าง
“รีบขึ้นไปบนดอย”ฉับพลันเขาร้องสั่งเสียงดังลั่นอย่างตกใจ พลางฉุดมือเธอให้ลุกขึ้นแล้วลากตัวเธอให้วิ่งตาม คนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจดีว่ากำลังจะเจอกับอะไร ต่างพากันออกวิ่งตามมาทันที
“มีอะไรกันเหรอคะยอ”เธอวิ่งพลางร้องถาม
“น้ำป่ากำลังมา”ตอบเสียงระรัว ทุกคนตาลีตาเหลือกปีนขึ้นเขาอย่างฉุกละหุก แว่วเสียงดังครืนๆ ดังมาไกลๆ
“ยังไม่พอ หมอ ต้องปีนสูงขึ้นไปอีก”
เสียงเร่งร้อนรนอยู่ข้างหลังทำให้เธอออกแรงปีนป่ายเขาเร็วยิ่งขึ้น ความตกใจทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เรี่ยวแรงไม่รู้ว่ามาจากไหน พริบตาเดียวก็สามารถขึ้นไปยืนอยู่เกือบครึ่งดอยที่ลูกไม่สูงมากนัก ที่เห็นเต็มสองตาคล้อยหลังพวกเธอไปนิดเดียวก็คือความรุนแรงของสายน้ำป่าที่เชี่ยวกราก มันถาโถมมาตามลำห้วยอย่างบ้าคลั่ง กวาดเอาทุกสิ่งที่กีดขวางทางน้ำอยู่ให้หมุนคว้างปลิวกระแทกกันโครมคราม สายน้ำไม่รู้ว่ามาจากไหนหลั่งทะลักมาตั้งมากมาย จนแม้ปีนขึ้นสูง ระดับของน้ำก็ยังเกือบถึงจุดที่พวกเธอยืนดูอยู่
“น้ำป่ามาไม่นานหรอก เดี๋ยวก็แห้ง แต่เราคงรอไม่ได้เพราะจะมืดเสียก่อน เห็นทีจะไปทางลำห้วยไม่ได้เสียแล้วคงต้องไปทางหน้าผา”คนนำทางชี้ขึ้นไปบนเขาลูกที่กำลังยืนอยู่
“ข้ามเขาลูกนี้ไปก็ถึงแล้วครับ”
เธอกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ โธ่...ขนาดเดินมาตามลำห้วยยังแสนเหนื่อย นี่จะต้องปีนเขาทั้งลูก...เวรกรรมจริงๆ
(ต่อพรุ่งนี้นะคะ)
พี่ชายที่แสนดี ตอนที่ 3
เรื่องสั้น “พี่ชายที่แสนดี”เคยลงค้างเอาไว้นานแล้ว วันนี้อยากวางให้อ่านจนจบค่ะ เป็นนิยายเรื่องแรกสุดในชีวิตที่เขียนเลยก็ว่าได้ เพราะเขียนตอนรับราชการปีแรก อายุประมาณ 21 ปี ตอนนั้นแค่อยากเขียนเล่นๆ เป็นการบันทึกความทรงจำขณะทำงานเอาไว้ เพราะประทับใจหลายอย่าง ตั้งชื่อเรื่องว่า "ใต้เงากรรม" ตั้งนามปากกาตัวเองว่า "คนลำพูน" ไม่นึกว่าจะมี "ล. วิลิศมาหรา" ในวันนี้เลยค่ะ
เรื่องราวของมานีบางส่วนมาจากการรับฟังเด็กซึ่งถูกเรียกว่าเป็นเด็กมีปัญหาขณะทำงานในโครงการเสริมทักษะชีวิตของมูลนิธิหนึ่ง ผสมกับชีวิตจริงของผู้เขียนบ้างนิดหน่อย ส่วนเรื่องราวการทำงานในสถานีอนามัยเป็นเรื่องจริงของลิค่ะ
ตอนที่ 1 (ตอนที่ 2 ลบไปแล้วค่ะ เพราะสุ่มเสี่ยงต่อล็อคอิน อิอิ)
https://pantip.com/topic/35017564
ในที่สุดมานีก็สอบชิงทุนได้เป็นที่หนึ่งของจังหวัด จากจำนวนผู้สอบคัดเลือกเข้าเรียนพยาบาลหลักสูตรเรียนสองปีเกือบพันคน เธอดีใจและภูมิใจที่สามารถเอาชนะอุปสรรคในการสอบคัดเลือกมาได้ โชคดีที่ปีนั้นเขารับเด็กศิลป์เป็นปีสุดท้าย ช่างคุ้มค่ากับการท่องดิชชั่นนารีทั้งเล่มจนจำขึ้นใจเสียจริงๆ เธอไม่รู้เลยว่าอุปสรรคขั้นต่อไปนั้นหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น เมื่อต้องเรียนวิชาฟิสิกค์ เคมีและอนาโตมี แต่วิชาเอาตัวรอด ศาสตร์ที่เธอถนัดที่สุดช่วยเธอได้เสมอ อย่างเช่นตอนที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา
“อาทิตย์หน้าให้ผู้ปกครองมารับใบเกรดนะนักเรียน ครูอยากพบผู้ปกครองของทุกคน เพื่อจะได้รายงานผลการเรียนและความประพฤติของพวกเธอให้รับทราบ”
เรื่องนั้นไม่เห็นจำเป็นสำหรับเธอเลยจนนิดเดียว เพราะตั้งแต่เข้าเรียน ม. 1 ที่นี่ เธอไม่เคยรบกวนแม่ให้มาเป็นผู้ปกครอง ยายก็แก่เกินไป แค่ให้รู้ว่าเธอเลื่อนชั้นได้เรื่อยๆ ก็พอแล้ว แต่เมื่อยายเสียตอนเธอกำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 4 ค่าเทอม ค่าหนังสือและเสื้อผ้าที่พอมีจากการขายลำไยของยายจึงจบสิ้นลง มีการพูดคุยกันถึงเรื่องแบ่งที่ทางระหว่างลูกๆ ของยายทั้งสาม น้าสาวได้กรรมสิทธิ์ในบ้านไม้ของยายและขอซื้อที่ดินส่วนของแม่ไป ส่วนเธอก็อพยพออกจากบ้านยายมาเงียบ ๆ บอกแม่กับญาติๆ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอมีที่ไป บ้านสำหรับเธอไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป
ยังมีคนที่เข้าใจเธอและให้ที่พัก เด็กผู้หญิงบ้านแตกอีกคนหนึ่งในสังคมเสื่อมทราม เด็กที่ดูเหมือนมีเพียบพร้อมทุกสิ่งทั้งพ่อแม่และมีฐานะดี ขาดอยู่อย่างเดียวคือความรักความอบอุ่นจากคนในครอบครัว
“พ่อกูมีเมียน้อย แม่กูหาเรื่องทะเลาะกับพ่อได้ทุกวัน โคตรเบื่อว่ะ กูเลยขอออกมาอยู่ข้างนอก ”
“ทำไมพ่อแม่มิงยอมล่ะ”
“ก็ลองไม่ยอมสิ กูขู่จะฆ่าตัวตาย”
ผู้ปกครองของเด็กผู้หญิงสองคนจึงเป็นคนเดียวกัน แม่ของเพื่อนเมตตาเธออยู่มาก นอกจากยอมให้พักอยู่กับลูกสาวแล้วบางคราวยังให้เงินเธอใช้ แลกกับการทำงานในโรงโม่กระเทียมของท่านช่วงวันหยุด เสาร์- อาทิตย์ แต่ถึงอย่างไรเงินที่ต้องใช้ในการศึกษาเล่าเรียนก็ยังไม่พออยู่ดี
“ใครไม่มีหนังสือให้นั่งดูกับเพื่อนนะ”
ความยากจนทำให้ไม่เหลือความอาย บ่อยครั้งที่เธอต้องลากเก้าอี้ไปนั่งดูหนังสือกับเพื่อน หรือหางานทำหลังเลิกเรียนเพื่อสะสมเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น เธอยอมทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหาร ถึงแม้จะง่วงและเหนื่อย แต่มันก็เป็นเพียงอาชีพเดียวที่เด็กผู้หญิงอย่างเธอจะทำได้ในตอนนั้น และที่นี่ก็ทำให้เธอได้รู้จักกับพี่บอย ผู้ชายที่มีรอยสักเต็มตัวกับมอเตอร์ไซค์แต่งซิ่งประจำกายคันโก้
พี่บอยเป็นผลผลิตบัดซบอีกชิ้นหนึ่งของสังคมเลวทราม เขาเป็นลูกของนักการเมืองท้องถิ่นผู้มีชื่อเสียง ร่ำรวยและชอบช่วยเหลือสังคม มักปรากฏตัวตามหน้าสื่อให้เห็นอยู่เสมอเพื่อโปรโมทชื่อเสียงตัวเอง หวังก้าวขึ้นสู่เส้นทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ พี่บอยบอกเธอว่าพ่อกับแม่ของเขามีเวลาให้คนอื่นเสมอยกเว้นให้เวลาซึ่งกันและกัน และให้กับลูกชายคนเดียว
เขาเป็นเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยในยามที่เธอมาถึงทางตัน แม่ของเพื่อนสาวจำต้องส่งเพื่อนไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย หลังเพื่อนเธอเกิดตั้งท้องขึ้นมากะทันหัน และไม่มีใครแสดงตัวรับว่าเป็นพ่อเด็กในท้องจนหล่อนต้องไปทำแท้ง โชคไม่ดีที่ฝีมือทำแท้งของหมอเถื่อนทำให้หล่อนติดเชื้อในช่องท้องอาการรุนแรงถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลจนเป็นข่าวดัง
มานีเก็บข้าวของเพียงไม่กี่ชิ้นใส่ในลังกระดาษ ย้ายออกมาเช่าห้องอยู่รวมกับเพื่อนที่ทำงานเสริฟอาหารในร้านเดียวกัน โดยมีพี่บอยเป็นคนคอยจ่ายค่าที่พักให้
ในทุกค่ำคืนเธอกับเขาจะชวนกันขี่มอเตอร์ไซค์โฉบไปทั่วตัวเมือง บางครั้งก็ไปรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่บิดคันเร่งพุ่งทะยานออกไปราวพายุ สองมือเธอโอบรอบเอวเขาไว้แน่น ซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้าง มือหนึ่งของเขาบิดคันเร่ง อีกมือหนึ่งคอยจับมือเธอที่กอดเอวเขาอยู่คล้ายกลัวเธอจะปลิวหายไป
“พี่รักนีจัง”
“นีก็รักพี่”
“สัญญานะว่าเราจะรักกันอย่างนี้ตลอดไป”
ไม่มีอะไรยั่งยืนในคำสัญญาปากเปล่าของเด็กบ้านแตกอย่างเธอกับเขา และแล้วกาลเวลาก็เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไป
ในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้มานีเป็นที่พึ่งของชาวบ้านที่ต้องการหมอ หากแต่หมอที่หมายถึงแพทย์ไม่เคยมีเพียงพอมาจนถึงสถานีอนามัยไกลปืนเที่ยงอย่างที่นี่ คนไข้ของเธอร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นคนยากจน บางส่วนเป็นชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยง ซึ่งบางคนมีบัตรประจำตัวประชาชนแต่พูดและเขียนภาษาไทยไม่ได้แม้แต่คำเดียว เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการยังไม่ส่งครูเข้ามาในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้ จึงเป็นภาวะจำยอมที่หมอบ้านนอกอย่างเธอต้องควบหน้าที่สอนหนังสือให้กับเด็กๆ ที่ต้องการเพียงเขียนชื่อตัวเองให้เป็นไปด้วย
“ฉันไหว้ล่ะหมอ ช่วยไปดูมันหน่อย มันป่วยหนักมาหลายวันแล้ว เดินก็ไม่ไหว ลงมาหาหมอที่นี่ไม่ได้จริงๆ”
เด็กสาวอายุยี่สิบอย่างเธอจะทำอย่างไรดีกับความรับผิดชอบต่อชีวิตมนุษย์ที่แสนสาหัสนี้ ญาติคนป่วยบนดอยสูงเดินข้ามเขามาหา เพื่อหวังมารับตัวหมอไปรักษาคนไข้เจ็บหนักที่ข้างบนนั้น หลังจากที่พวกเขาหาทางรักษาตามวิธีของตนเองจนหมดปัญญาแล้ว แต่ทว่าอาการคนไข้ไม่ดีขึ้นเลยมีแต่จะทรุดลง ที่พึ่งสุดท้ายจึงคือหมอจากพื้นราบที่สถานีอนามัย
มานีจัดยาทุกอย่างที่คิดว่าพอช่วยคนไข้ได้ลงกระเป๋าเยี่ยมบ้านใบใหญ่ ในใจรู้ดีว่ายาขนานเอกที่แท้จริงคือใบหน้าของหมอนั่นเอง มีชาวบ้านอาสาเดินไปส่งซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชายฉกรรจ์ ญาติคนป่วยเดินนำหน้า มานีเดินอยู่ระหว่างกลางของชายถือปืนแก๊ปยาวสองคน ผู้นำทางพาเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยที่มีน้ำไหลรินๆ เดินกันมาครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ถึงเสียที
“ขอนั่งพักนิดหนึ่งนะจ๊ะ” มานีเหนื่อยล้าจนก้าวขาแทบไม่ออก บอกขอหยุดพักเหนื่อยสักครู่ คนทั้งหมดจึงหยุดเดินแล้วพากันนั่งพักบนโขดหินในลำห้วย แต่คนนำทางกลับเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่าง
“รีบขึ้นไปบนดอย”ฉับพลันเขาร้องสั่งเสียงดังลั่นอย่างตกใจ พลางฉุดมือเธอให้ลุกขึ้นแล้วลากตัวเธอให้วิ่งตาม คนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจดีว่ากำลังจะเจอกับอะไร ต่างพากันออกวิ่งตามมาทันที
“มีอะไรกันเหรอคะยอ”เธอวิ่งพลางร้องถาม
“น้ำป่ากำลังมา”ตอบเสียงระรัว ทุกคนตาลีตาเหลือกปีนขึ้นเขาอย่างฉุกละหุก แว่วเสียงดังครืนๆ ดังมาไกลๆ
“ยังไม่พอ หมอ ต้องปีนสูงขึ้นไปอีก”
เสียงเร่งร้อนรนอยู่ข้างหลังทำให้เธอออกแรงปีนป่ายเขาเร็วยิ่งขึ้น ความตกใจทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เรี่ยวแรงไม่รู้ว่ามาจากไหน พริบตาเดียวก็สามารถขึ้นไปยืนอยู่เกือบครึ่งดอยที่ลูกไม่สูงมากนัก ที่เห็นเต็มสองตาคล้อยหลังพวกเธอไปนิดเดียวก็คือความรุนแรงของสายน้ำป่าที่เชี่ยวกราก มันถาโถมมาตามลำห้วยอย่างบ้าคลั่ง กวาดเอาทุกสิ่งที่กีดขวางทางน้ำอยู่ให้หมุนคว้างปลิวกระแทกกันโครมคราม สายน้ำไม่รู้ว่ามาจากไหนหลั่งทะลักมาตั้งมากมาย จนแม้ปีนขึ้นสูง ระดับของน้ำก็ยังเกือบถึงจุดที่พวกเธอยืนดูอยู่
“น้ำป่ามาไม่นานหรอก เดี๋ยวก็แห้ง แต่เราคงรอไม่ได้เพราะจะมืดเสียก่อน เห็นทีจะไปทางลำห้วยไม่ได้เสียแล้วคงต้องไปทางหน้าผา”คนนำทางชี้ขึ้นไปบนเขาลูกที่กำลังยืนอยู่
“ข้ามเขาลูกนี้ไปก็ถึงแล้วครับ”
เธอกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ โธ่...ขนาดเดินมาตามลำห้วยยังแสนเหนื่อย นี่จะต้องปีนเขาทั้งลูก...เวรกรรมจริงๆ
(ต่อพรุ่งนี้นะคะ)