หลายๆ ครั้งที่ได้อ่านกระทู้เกี่ยวกับการเดินทางหรือไม่ก็การเล่าของคนที่รู้จัก เกี่ยวกับ “การออกเดินทางคนเดียว” มันน่าจะเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่ซักครั้งในชีวิตน่าลองออกไปทำ ออกไปทำในสิ่งที่แปลกใหม่ สร้างประสบการณ์ให้กับชีวิต ทริปนี้ก็เช่นกัน เราเลือกที่จะออกเดินทางคนเดียวในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนหน้านั้นเราก็นั่งถกกับพ่อว่า เวียดนามมีทะเลทรายด้วยนะ แต่พ่อก็ไม่เชื่อ เลยบอกพ่อว่างั้นขอไปพิสูจน์ให้ดูว่า “เอเชียงตะวันออกเฉียงใต้มีทะเลทราย” ซึ่งประเทศที่เราเลือกไปก็คือ กัมพูชาและเวียดนาม ในการเดินทางครั้งนี้ข้อจำกัดคือ ภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยจะเก่งซักเท่าไหร่ แค่คิดก็สนุกแล้วสำหรับทริปนี้ เดินทางวันที่ 11-16 มกราคม 2560 เริ่มออกเดินทางกันได้เลย
ก่อนวันเดินทาง 1 วันก็ต้องไปแลกเงินคือ เงินดอลล่าร์ ($) ค่าเงินตอนนั้นอยู่ที่ 34.2 บาทต่อดอลล่าร์ สำหรับใช้ในกัมพูชา และเงินดอง (VND) ค่าเงินตอนนั้น 1 บาทเท่ากับ 625 ดอง สำหรับใช้ในเวียดนาม เราเลือกที่จะไปแลกเงินแถวๆ สะพานควาย มีหลายร้านให้เลือกเลย แล้วก็หาข้อมูลในสถานที่ต่างๆ ตามอินเตอร์เน็ตและหนังสือ ส่วนเรื่องของที่พักนั้น เราเลือกที่จะจองผ่าน booking ก่อนที่จะเข้าพักก่อนในแต่ละวันที่จะไปประมาณ 1 วัน ซึ่งที่พักจะเน้นเป็นเกสเฮ้าส์และhostel เพื่อประหยัดงบ
สำหรับเรื่องอาหารนั้นทริปนี้เราจะเน้นสะดวกและประหยัด ส่วนใหญ่จะกินก๋วยเตี๋ยว (เฝอ) ซะส่วนใหญ่ สำหรับเครื่องดื่มนั้นเบียร์นั้นในต่างประเทศจะมีราคาถูกกว่าน้ำเปล่า
11 มกราคม 2560
วันแรกของการเดินทาง เริ่มออกเดินทางจากสถานีขนส่งผู้โดนสารหมอชิต เราเลือกที่จะเดินทางโดนรถ บขส. ออกเดินทางรถรอบ 8.30 น. คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นฝรั่งขึ้นรถมาเขาก็แจกขนม น้ำผลไม้ และน้ำเปล่า เส้นทางการเดินทางก็ไปออกทางด่านสระแก้ว ตรงตลาดโรงเกลือ ไปถึงตรงนั้นประมาณเที่ยงกว่าๆ พนักงานต้นรับบนรถก็แจกข้าวกล่องเซเว่นให้คนละกล่อง ก็ไปต่อแถวด่านตรวจคนออกเมืองและข้ามไปฝั่งกัมพูชาเพื่อกรอกข้อมูลและตรวจคนเข้าเมือง กว่าทุกคนจะมากันครบ ก็เกือบๆ บ่ายสอง ก็ออกเดินทางกันต่อด้วยรถคันเดิม ก็เริ่มเข้าเขตกัมพูชาเต็มตัว รถวิ่งเลนขวา สองข้างทางเป็นทุ่งนาซะส่วนใหญ่ เวลาประมาณ 17.30 น. ก็ถึงจุดจอดรถคือ บริษัท นัทธกันต์ ซึ่งตั้งไม่ไกลจากใจกลางเสียมราฐ (Siem Reap) จากนั้นก็ตัดสินในหาตั๋วเพื่อไปโฮจิมินห์ที่นั่นเลย แต่ไปเดินหาเอาในเสียมราฐก็ได้นะมีหลายเจ้าให้เลือก ราคาก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่ ตรงบริเวณที่ลงรถก็จะมีรถตุ๊กตุ๊ก จากจุดที่ลงรถไปส่งถึงที่พัก
เราเข้าพักที่ Mei Gui Guesthousethouse ห่างจาก Pub Street ประมาณ 500 เมตร เข้า check in เวลาประมาณ 18.00 น. เก็บของเรียบร้อยก็ได้เวลาออกหากิน เอ้ย! ไม่ใช่ ได้เวลาไปหาของกินข้างนอก ราคาอาหารที่นี่เริ่มต้นที่ 2$ แล้วแต่เมนูที่เราจะเลิกเลย หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ตบท้ายด้วยเบียร์ก่อนนอน เบียร์กระป๋องละ 1 $ ราคาจะถูกกว่าน้ำเปล่า (น้ำเปล่า 2 $) คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติซะมากกว่า ภาษาที่ใช้สื่อสารก็คือ ภาษาอังกฤษ หลังจากกลับมาจากกินข้าวก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าและคิดว่ามันต้องสนุกแน่ๆ
ค่าใช้จ่ายสำหรับวันแรก
- ค่าที่พัก 360 บาท
- ค่ารถ 750 บาท
- ค่ารถตุ๊กตุ๊กพาเที่ยวนครวัดนครธม 25 $
- ค่าข้าวเย็นพร้อมเบียร์ 3.5 $
- ค่ารถไปโฮจิมินห์ 25 $
12 มกราคม 2560
วันนี้ตื่นเช้ามาก เพราะต้องไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม ANGKOR WORLD HERITAGE (การเข้าชมในสถานที่ต่างๆ จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตลอด เก็บบัตรไว้ดีๆ) โดยการเดินทางในวันนี้เราเลือกใช้บริการรถตุ๊กตุ๊ก คิดราคาเหมา 25$ ก็นัดแนะกันตั้งแต่เมื่อวาน พอถึงเวลา 5.00 น. รถตุ๊กตุ๊ก โดยพี่คนขับชื่อ โกลด์ ก็มารับหน้าเกสเฮ้าถึงที่ แล้วพาไปซื้อบัตรเข้าชม โดยบัตรราคา 20$ ระหว่างทางนั้นก็ยังไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจบัตรเป็นระยะ
สถานที่แรกที่ไปก็คือ นคร วัด (Angkor Wat) ไปนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้น นั่งกินขนมรองท้อง ที่นี่คนเยอะใช้ได้เลย เจ้าหน้าที่เปิดให้เข้าไปเดินชมภายใน เวลาประมาณ 6.00 น. (พกไฟฉายไปด้วยก็ดีนะ) แต่สิ่งที่ผู้คนไปรอชมจริงๆ ที่นี่ก็คือ พระอาทิตย์ขึ้น โดยพระอาทิตย์จะสะท้อนกับน้ำอันน้อยนิด แต่ภาพที่เห็นนั้นแตกต่างจากที่อื่นเพราะ ในเงาที่สะท้อนนั้น มีภาพของประสาทนครวัดและพระอาทิตย์ประกอบอยู่ด้วยกัน พอพระอาทิตย์ขึ้น คำว่า “See Angkor and die” ก็ลอยเข้ามาในหัว สมกับเป็นคำที่เคยได้ยินมา จากนั้นเวลาประมาณ 8.00 น. ก็เดินทางต่อไปยัง อังกอร์ ทม ใช้ระยะเวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึง เราไปแวะทานข้าวเช้าที่นั้น ราคาค่อนข้างแพง (ใครจะมาควรจะเตรียมอาหารมาเองจะประหยัดไปได้เยอะ)
อังกอร์ ทม (Angkor Thom) นั้นจะมีพื้นที่ให้เดินดูเยอะมาก เรียกได้ว่าเดินจนเหนื่อย แต่ไฮไลน์คือ บายน ซึ่งลักษณะจะมีหน้าทั้ง 4 ทิศ เราเริ่มเดินดูตั้งแต่บายนแล้วก็เดินมาเรื่อยๆ ดูประสาทต่างๆ จนสุดทาง ดูไปอึ้งว่าเฮ้ย สมัยก่อนเขาสร้างอะไรแบบนี้ได้ยังไง สถาปัตยกรรมบ่งบอกได้ว่าในสมัยนั้นเข้ามีวัฒนธรรมที่ล้ำค่ามากแค่ไหน อากาศที่นี่ค่อนข้างร้อนมากๆ หมดน้ำเปล่าไป 3 ขวดได้อยู่
ปราสาทตาแก้ว (Ta Keo) มี 5 ชั้น โดยจะสามารถมองเห็นวิวโดยรอบปราสาท
ปราสาทตาพรหม (Ta Proom) เป็นปราสาทที่มีรากไม้ไชชอน ซึ่งหนังเรื่อง Tomb ridar มาถ่ายทำที่นี่ด้วย ตอนที่เราไปเขากำลังจะปรับปรุงบูรณะในบางส่วนของปราสาท
ปราสาทบันทายกเตย (Banteay Kdei) เป็นสถานที่สุดท้ายที่เราจะเข้าไปชม โดยจะต้องค่อยๆ เดินเข้าไปข้างใน ถนนระหว่างเดินเข้าไปซ้ายมือก็จะมีของขายตลอดทาง ข้างในวัดนั้นมีพระพุทธรูปสีดำประดิษฐานอยู่ ด้านหน้าของปราสาทจะมีสระสรงของพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน
พอไปครบตามสถานที่ที่ได้วางไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ก็กลับมากินข้าวกลางวันแถวๆ Pub Street แล้วก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ซึ่งในเสียมราฐมีสวนสาธารณะด้วย ในวันที่ไปนั้นมีคนมาถ่ายรูป Pre-wedding สวนสาธารณะน่าจะเป็นอีกหนึ่ง Land Mark ของการมาที่นี่ รอบนั้นก็จะมีคนมาวิ่งออกกำลังกาย บางครอบครัวก็พาลูกมาเดินเล่น นั่งเล่นกัน ร้านกาแฟน่านั่งก็มีหลายร้าน วัดใกล้ๆ Pub Street ก็มีนะ แต่ที่ขาดไม่ได้ มาต่างประเทศทั้งที ก็ต้องตามหาโปสการ์ดส่งให้ตัวเองกลับประเทศ โปสการ์ดที่นี่ราคาแต่ละร้านก็ไม่เท่ากันนะ ควรจะเดินดูหลายๆ ร้านเพื่อราคาที่ถูกกว่า
22.00 น. มีรถปิคอัพ (ที่นี่เขาเรียกกันว่า รถปิคอัพ แต่จริงๆ แล้ว คือ รถแวนบ้านเรา) มารับหน้าเกสเฮ้าส์ เพื่อที่จะไปขึ้นรถไปโฮจิมินห์
23.00 น. ก่อนขึ้นรถนั้นจะต้องเอารองเท้าใส่ถุงที่เขาแจกให้ รถนั้นก็จะเป็นแบบ 2 ชั้น แบ่งเป็นล็อค แต่ละล็อคก็จะนอนได้ 2 คน มีหมอนและผ้าห่มให้ (เหมือนจะสบาย แต่ก็แคบ) เขามีปลั๊กไฟสำหรับชาร์ตโทรศัพท์ให้ด้วย บนรถคันนี้เราได้เจอคนๆ หนึ่งเขาเป็นลูกครึ่งไทย-กัมพูชา ก็เลยพูดคุยกับเขาเล็กน้อยแล้วก็หลับไป
ค่าใช้จ่ายวันที่ 2
- ค่าบัตรเข้าชมมรดกโลกทางวัฒนธรรม 20 $
- อาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารเย็นและเครื่องดื่ม 11.5 $
- Post card 1.25 $
[CR] เสียมราฐ ดาลัด มุ่ยเน่ โฮจิมินห์ คนเดียวก็เที่ยวได้
ก่อนวันเดินทาง 1 วันก็ต้องไปแลกเงินคือ เงินดอลล่าร์ ($) ค่าเงินตอนนั้นอยู่ที่ 34.2 บาทต่อดอลล่าร์ สำหรับใช้ในกัมพูชา และเงินดอง (VND) ค่าเงินตอนนั้น 1 บาทเท่ากับ 625 ดอง สำหรับใช้ในเวียดนาม เราเลือกที่จะไปแลกเงินแถวๆ สะพานควาย มีหลายร้านให้เลือกเลย แล้วก็หาข้อมูลในสถานที่ต่างๆ ตามอินเตอร์เน็ตและหนังสือ ส่วนเรื่องของที่พักนั้น เราเลือกที่จะจองผ่าน booking ก่อนที่จะเข้าพักก่อนในแต่ละวันที่จะไปประมาณ 1 วัน ซึ่งที่พักจะเน้นเป็นเกสเฮ้าส์และhostel เพื่อประหยัดงบ
สำหรับเรื่องอาหารนั้นทริปนี้เราจะเน้นสะดวกและประหยัด ส่วนใหญ่จะกินก๋วยเตี๋ยว (เฝอ) ซะส่วนใหญ่ สำหรับเครื่องดื่มนั้นเบียร์นั้นในต่างประเทศจะมีราคาถูกกว่าน้ำเปล่า
11 มกราคม 2560
วันแรกของการเดินทาง เริ่มออกเดินทางจากสถานีขนส่งผู้โดนสารหมอชิต เราเลือกที่จะเดินทางโดนรถ บขส. ออกเดินทางรถรอบ 8.30 น. คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นฝรั่งขึ้นรถมาเขาก็แจกขนม น้ำผลไม้ และน้ำเปล่า เส้นทางการเดินทางก็ไปออกทางด่านสระแก้ว ตรงตลาดโรงเกลือ ไปถึงตรงนั้นประมาณเที่ยงกว่าๆ พนักงานต้นรับบนรถก็แจกข้าวกล่องเซเว่นให้คนละกล่อง ก็ไปต่อแถวด่านตรวจคนออกเมืองและข้ามไปฝั่งกัมพูชาเพื่อกรอกข้อมูลและตรวจคนเข้าเมือง กว่าทุกคนจะมากันครบ ก็เกือบๆ บ่ายสอง ก็ออกเดินทางกันต่อด้วยรถคันเดิม ก็เริ่มเข้าเขตกัมพูชาเต็มตัว รถวิ่งเลนขวา สองข้างทางเป็นทุ่งนาซะส่วนใหญ่ เวลาประมาณ 17.30 น. ก็ถึงจุดจอดรถคือ บริษัท นัทธกันต์ ซึ่งตั้งไม่ไกลจากใจกลางเสียมราฐ (Siem Reap) จากนั้นก็ตัดสินในหาตั๋วเพื่อไปโฮจิมินห์ที่นั่นเลย แต่ไปเดินหาเอาในเสียมราฐก็ได้นะมีหลายเจ้าให้เลือก ราคาก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่ ตรงบริเวณที่ลงรถก็จะมีรถตุ๊กตุ๊ก จากจุดที่ลงรถไปส่งถึงที่พัก
เราเข้าพักที่ Mei Gui Guesthousethouse ห่างจาก Pub Street ประมาณ 500 เมตร เข้า check in เวลาประมาณ 18.00 น. เก็บของเรียบร้อยก็ได้เวลาออกหากิน เอ้ย! ไม่ใช่ ได้เวลาไปหาของกินข้างนอก ราคาอาหารที่นี่เริ่มต้นที่ 2$ แล้วแต่เมนูที่เราจะเลิกเลย หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ตบท้ายด้วยเบียร์ก่อนนอน เบียร์กระป๋องละ 1 $ ราคาจะถูกกว่าน้ำเปล่า (น้ำเปล่า 2 $) คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติซะมากกว่า ภาษาที่ใช้สื่อสารก็คือ ภาษาอังกฤษ หลังจากกลับมาจากกินข้าวก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าและคิดว่ามันต้องสนุกแน่ๆ
ค่าใช้จ่ายสำหรับวันแรก
- ค่าที่พัก 360 บาท
- ค่ารถ 750 บาท
- ค่ารถตุ๊กตุ๊กพาเที่ยวนครวัดนครธม 25 $
- ค่าข้าวเย็นพร้อมเบียร์ 3.5 $
- ค่ารถไปโฮจิมินห์ 25 $
12 มกราคม 2560
วันนี้ตื่นเช้ามาก เพราะต้องไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม ANGKOR WORLD HERITAGE (การเข้าชมในสถานที่ต่างๆ จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตลอด เก็บบัตรไว้ดีๆ) โดยการเดินทางในวันนี้เราเลือกใช้บริการรถตุ๊กตุ๊ก คิดราคาเหมา 25$ ก็นัดแนะกันตั้งแต่เมื่อวาน พอถึงเวลา 5.00 น. รถตุ๊กตุ๊ก โดยพี่คนขับชื่อ โกลด์ ก็มารับหน้าเกสเฮ้าถึงที่ แล้วพาไปซื้อบัตรเข้าชม โดยบัตรราคา 20$ ระหว่างทางนั้นก็ยังไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจบัตรเป็นระยะ
สถานที่แรกที่ไปก็คือ นคร วัด (Angkor Wat) ไปนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้น นั่งกินขนมรองท้อง ที่นี่คนเยอะใช้ได้เลย เจ้าหน้าที่เปิดให้เข้าไปเดินชมภายใน เวลาประมาณ 6.00 น. (พกไฟฉายไปด้วยก็ดีนะ) แต่สิ่งที่ผู้คนไปรอชมจริงๆ ที่นี่ก็คือ พระอาทิตย์ขึ้น โดยพระอาทิตย์จะสะท้อนกับน้ำอันน้อยนิด แต่ภาพที่เห็นนั้นแตกต่างจากที่อื่นเพราะ ในเงาที่สะท้อนนั้น มีภาพของประสาทนครวัดและพระอาทิตย์ประกอบอยู่ด้วยกัน พอพระอาทิตย์ขึ้น คำว่า “See Angkor and die” ก็ลอยเข้ามาในหัว สมกับเป็นคำที่เคยได้ยินมา จากนั้นเวลาประมาณ 8.00 น. ก็เดินทางต่อไปยัง อังกอร์ ทม ใช้ระยะเวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึง เราไปแวะทานข้าวเช้าที่นั้น ราคาค่อนข้างแพง (ใครจะมาควรจะเตรียมอาหารมาเองจะประหยัดไปได้เยอะ)
อังกอร์ ทม (Angkor Thom) นั้นจะมีพื้นที่ให้เดินดูเยอะมาก เรียกได้ว่าเดินจนเหนื่อย แต่ไฮไลน์คือ บายน ซึ่งลักษณะจะมีหน้าทั้ง 4 ทิศ เราเริ่มเดินดูตั้งแต่บายนแล้วก็เดินมาเรื่อยๆ ดูประสาทต่างๆ จนสุดทาง ดูไปอึ้งว่าเฮ้ย สมัยก่อนเขาสร้างอะไรแบบนี้ได้ยังไง สถาปัตยกรรมบ่งบอกได้ว่าในสมัยนั้นเข้ามีวัฒนธรรมที่ล้ำค่ามากแค่ไหน อากาศที่นี่ค่อนข้างร้อนมากๆ หมดน้ำเปล่าไป 3 ขวดได้อยู่
ปราสาทตาแก้ว (Ta Keo) มี 5 ชั้น โดยจะสามารถมองเห็นวิวโดยรอบปราสาท
ปราสาทตาพรหม (Ta Proom) เป็นปราสาทที่มีรากไม้ไชชอน ซึ่งหนังเรื่อง Tomb ridar มาถ่ายทำที่นี่ด้วย ตอนที่เราไปเขากำลังจะปรับปรุงบูรณะในบางส่วนของปราสาท
ปราสาทบันทายกเตย (Banteay Kdei) เป็นสถานที่สุดท้ายที่เราจะเข้าไปชม โดยจะต้องค่อยๆ เดินเข้าไปข้างใน ถนนระหว่างเดินเข้าไปซ้ายมือก็จะมีของขายตลอดทาง ข้างในวัดนั้นมีพระพุทธรูปสีดำประดิษฐานอยู่ ด้านหน้าของปราสาทจะมีสระสรงของพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน
พอไปครบตามสถานที่ที่ได้วางไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ก็กลับมากินข้าวกลางวันแถวๆ Pub Street แล้วก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ซึ่งในเสียมราฐมีสวนสาธารณะด้วย ในวันที่ไปนั้นมีคนมาถ่ายรูป Pre-wedding สวนสาธารณะน่าจะเป็นอีกหนึ่ง Land Mark ของการมาที่นี่ รอบนั้นก็จะมีคนมาวิ่งออกกำลังกาย บางครอบครัวก็พาลูกมาเดินเล่น นั่งเล่นกัน ร้านกาแฟน่านั่งก็มีหลายร้าน วัดใกล้ๆ Pub Street ก็มีนะ แต่ที่ขาดไม่ได้ มาต่างประเทศทั้งที ก็ต้องตามหาโปสการ์ดส่งให้ตัวเองกลับประเทศ โปสการ์ดที่นี่ราคาแต่ละร้านก็ไม่เท่ากันนะ ควรจะเดินดูหลายๆ ร้านเพื่อราคาที่ถูกกว่า
22.00 น. มีรถปิคอัพ (ที่นี่เขาเรียกกันว่า รถปิคอัพ แต่จริงๆ แล้ว คือ รถแวนบ้านเรา) มารับหน้าเกสเฮ้าส์ เพื่อที่จะไปขึ้นรถไปโฮจิมินห์
23.00 น. ก่อนขึ้นรถนั้นจะต้องเอารองเท้าใส่ถุงที่เขาแจกให้ รถนั้นก็จะเป็นแบบ 2 ชั้น แบ่งเป็นล็อค แต่ละล็อคก็จะนอนได้ 2 คน มีหมอนและผ้าห่มให้ (เหมือนจะสบาย แต่ก็แคบ) เขามีปลั๊กไฟสำหรับชาร์ตโทรศัพท์ให้ด้วย บนรถคันนี้เราได้เจอคนๆ หนึ่งเขาเป็นลูกครึ่งไทย-กัมพูชา ก็เลยพูดคุยกับเขาเล็กน้อยแล้วก็หลับไป
ค่าใช้จ่ายวันที่ 2
- ค่าบัตรเข้าชมมรดกโลกทางวัฒนธรรม 20 $
- อาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารเย็นและเครื่องดื่ม 11.5 $
- Post card 1.25 $