ีปัญหาเรื่องเรียนต่อมหาลัย ขอถามหน่อยครับว่าผมควรจะพอ หรือว่าลองเสี่ยงเรียนดูสักตั้ง

สวัสดีครับ พอดีการสอบแอดมิชชั่นที่ผ่านมา ผมสอบติดมหาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นม.ที่มีชื่อเสียงพอสมควร แต่ไม่มีเงินเรียน ที่ผมเลือกเรียนม.นี้ เพราะผมฝันว่าอยากเป็นอาจารย์สอนในมหาลัย ผมรู้ว่าผมฝันอะไรที่มันสูงเกินไป แต่ผมก็มีสิทธิ์ฝันใช่มั้ยครับ ผมเลยเดินหน้าทำตามความฝันตัวเอง แล้วถ้าถามว่าทำไมถึงไม่เรียนม. ที่ล่างๆ ลงมาหน่อยม.ไหนก็เหมือนกัน คำตอบที่ผมคิดไว้ก็คือผมต้องต่อป.โท แล้วก็ป.เอก ผมเลยคาดหวังกับมหาลัยดีๆไว้มาก ว่ามหาลัยจะสามารถปูพื้นฐานให้ผมได้นำไปใช้เรียนต่อได้ดีกว่า แล้วหลายคนก็คนรู้ถึงวัฒนธรรมลูกหม้อนะครับ ว่าการจบจากม.ไหนมันสำคัญกับชีวิตอาจารย์ขนาดไหน
ถ้าย้อนกลับไปเพื่อให้หลายคนเข้าใจอะไรมากขึ้นผมขออนุญาตเล่าตั้งแต่สมัยผมเด็กๆนะครับ ผมเกิดมาเป็นเด็กที่มีปัญหาครอบครัวพอสมควรครับ ผมโตมาโดยที่พ่อท่านทิ้งผมไปตั้งแต่เด็ก ผมโตมากับแม่สองคน ผมค่อนข้างมีปมกับแม่พอสมควรครับ ผมมีความรู้สึกตั้งแต่เด็กว่าทำไมแม่ดูเหมือนจะไม่เคยรักเราเลย แม่ชอบด่าอะไรที่ไม่เป็นเรื่อง เวลาจะตีแม่ก็ตีเอาให้เจียนตายไปเลย เหลือชีวิตเป็นคนมาได้ค่อยเก็บไว้ สมัยเด็กๆผมมีหน้าที่รับผิดชอบงานบ้านเองทุกอย่างตั้งแต่อนุบาล 2 ทั้งกวาดบ้าน ถูบ้าน สักผ้าให้คนในบ้าน หุงข้าว ทำกับข้าว แต่ผมก็ถือว่านั้นเป็นเรื่องดีนะครับที่ได้ทำอะไรเองตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยได้ยินคำพูดดีๆจากแม่เลย ทั้งชีวิตผมแม่ไม่เคยบอกว่ารักผมสักคำ ผมโตมากับคำด่าทอ สาปแช่งของแม่ แม่จะเป็นคนปากร้ายมากครับ เช่นถ้าจะให้ให้ผมล้างจาน แม่จะไม่บอกว่า "ล้างจานหน่อย" แต่แม่จะบอกว่า "ถ้วยจานเมื่อไร่มึ_จะล้าง แ_กแล้วไม่รู้จักล้างก็ไม่ต้อง- ถ้าอยู่กับKuเเล้วไม่อยากทำก็ไม่ต้องอยู่กับกู ไปตายที่ไหนก็ไป..."คือพูดหยาบคายยังไงก็ได้ให้ทำร้ายจิตใจที่สุด ซึ่งตลอดชีวิตของผม ผมบอกเลยว่าผมต่อสู้กับอาการคิดฆ่าตัวตายมาตั้งแต่เด็กนับไม่ถ้วน เกือบอยู่มาเป็นคนไม่ได้ถึงทุกวันนี้ เสร็จแล้วพอด่าเสร็จผมก็โดนตีตามท้องเรื่องครับโดนไม้ที่เป็นท่อนๆบ้าง โดนสายไฟที่ไส้ในเป็นเหล็กเส้นบ้าง ตีจนแตกเป็นแผล เลือดซิบครับ ถ้าหาอะไรไม่ทันแม่ก็จะตบตรงหูผมหลายทีมากๆ สิ่งที่ผมไม่เคยปริปากบอกใครเลยคือผมใช้เวลาหลายปีมากในการรักษาอาการหูตึงที่เป็นมาตั้งแต่เด็กจากการโดนตบบ่อย พึ่งมาหายตอนอายุ12 มีอาการต้องกระตุกขาอยู่ตลอดเวลา จนพอดตเข้าช่วงวัยรุ่น (ม.1) แม่เอาผมไปฝากไว้กับยายและน้า ให้เลี้ยงให้แล้วแม่เข้าเมืองไปทำงาน ตรงนี้เป็นจุดที่ผมต้องเริ่มทำงานเอง เพราะว่าแม่จะส่งตังค์ให้กลับมาผ่านน้าเดือนละ ประมาณ2-3 พัน แต่ผมกลับไม่ได้เงินไปโรงเรียนเลย พอผมไปขอเงินน้าเพื่อไปซื้อของส่วนตัวก็จะบอกผมว่าแล้วข้าวที่กินอยู่ทุกวันนี้ละ จะมาขออะไร บางครั้งผมต้องไปทัศนศึกษาโดยที่ไม่ตังค์สักบาท ผมเลยถือคติว่ามีก็กิน ไม่มีก็ต้องอด ห้ามลักขโมยของใคร เหล้าบุหรี่ หวย การพนันห้ามแตะ ทุกการใช้ชีวิตต้องถวายเกียตริแด่พระเจ้า (ผมเป็นคริสเตียน) ทำให้ครูเริ่มสังเกตว่าผมเริ่มมีปัญหาเพราะหลายครั้งช่วงเย็นๆผมไม่ยอมกลับบ้าน แล้วที่บ้านก็มาตามหากับครูที่โรงเรียน โดยครูต้องเรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัว ครูเลยโทรไปหาแม่แล้วให้แม่โอนให้ผ่านบัญชีครู ถ้าผมมีธุระจำเป็นอะไร แล้วก็หางานให้ทำบ้าง ผมรับพิมพ์งาน ทำหนังสือนิทาน ทำรายงาน ทำสื่อการสอนปฐมวัยเป็นรายได้ระหว่างเรียนช่วงมอต้น ผมทำงานเนี๊ยบแล้วก็ผมไม่รับงานซ้อนลูกค้าจะแก้กี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะพอใจ เลยทำให้มีรายได้เยอะ มีเงินใช้เยอะกว่าเพื่อนๆในวัยเดียวกัน แล้วตั้งใจเรียนให้ได้เกรดดีๆ ให้จบม.ต้น ประกอบกับไปแข่งขันอะไรหลายๆอย่างให้โรงเรียน มีรางวัลไปจนถึงระดับชาติ ก็เลยมีเครดิตดีกว่านักเรียนอื่นนิดหน่อย แต่ตลอดระยะเวลาม.ต้น 3 ปีก็ถือว่าลำบากพอสมควร  แต่ก็จบมาได้ด้วยเกรด4.00 พ่วงคะเเนน O-net ไทย สุข สังคม ศิลปะ ที่คะแนนเกือบเต็มร้อยคะแนน
ช่วงนั้นแม่ก็เริ่มคบหาดูใจกับพ่อเลี้ยงคนใหม่ แล้วแม่ก็ท้องน้อง ซึ่งห่างจากผม 15 ปี พอผมจบม.ต้นที่บ้านก็ยื่นคำขาดว่า จะไม่เลี้ยงผมต่อให้ไปแม่เอาไปเลี้ยงเอง ผมเลยต้องย้านไปสอบเข้าเรียนต่อในเมือง ผมสอบเข้ามอปลายได้เรียนห้องคิง สายศิลป์  ระหว่างปิดเทอมใหญ่ก็หาตังค์เก็บไปด้วย ส่วนพ่อใหม่ท่านก็ดีกับผมพอสมควร ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับท่านเลย ท่านเอามือถือเครื่องเก่าให้ผมใช้ ซื้อโน้ตบุ๊คให้เรียน แต่ท่านต้องสู้กับแม่พอสมควร เพราะแม่ไม่อยากให้ซื้อให้
ผมต้องกลับมาใช้ชีวิตกับแม่อีกครั้งหลังจากหายไปให้ชีวิตเอง 3ปีตลอดม.ต้น แม่ก็ยังเป็นคนพูดไม่คิดเหมือนเดิมจนคนที่รู้จักแม่เตือนแม่หลายครั้งว่า ไม่ควรพูดแบบนี้กับลูก หลายครั้งผมคิดจะหนี ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ที่ที่ไม่ต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์ใคร  แต่ทนอยู่เพราะเสียดายเพื่อน เสียดายครูที่โรงเรียน เพราะผมสามารถเข้ากับเพื่อนที่ดรงเรียนได้เป็นอย่างดี นึกถึงอนาคตตัวเองไว้เสมอ เอาความผิดพลาดของคนอื่นมาเป็นบทเรียน
ส่วนที่บ้านก็สร้างตัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะแม่กับพ่อเลี้ยงทำธุรกิจกัน แต่ก็เหมือนเดิมว่าการที่ผมจะขอเงินแต่ละที ผมต้องแลกกับการทนฟังคำบ่นคำด่าสารพัด ผมเลยตัดสินใจออกมาทำงานหลังเลิกเรียน ตอนม.4 เทอม2 พอเลิกเรียนตอน15.30น. ก่อนเวลา 17.00น. ผมต้องถึงที่ทำงาน เลิกงานก็เที่ยงคืน เกรดผมก็ตกลงมา ผมเริ่มไม่ทำการบ้านส่ง เพราะทำไม่ไหวจริงๆ เลิกงานเที่ยงคืนก็สลบเเล้ว ติด0 หลายตัวมาก ไปโรงเรียนก็สายทุกวัน จนอาจารย์ผ่านกิจการนักเรียนเรียกเข้าห้องปกครอง
พอขึ้น ม.5 ผมโดนเพื่อนในห้องบังคับให้ลงสมัครประธานนักเรียน ปรากฏว่า ผมได้เป็นรองประธานนักเรียน ก็เลยต้องไปลาออกจากงานตอนเย็น กลับมาเรียนอย่างเต็มที่ ทำกิจกรรมของโรงเรียน แล้วกลับมาขอใช้ตังค์ที่บ้านอีกครั้ง การเรียนก็เริ่มเครียดขึ้น เพราะม.5 เรียนหนักพอสมควร ประกอบกับหน้าที่สภานักเรียนที่ต้องรับผิดชอบ จนมาวันนึงเป็นวันที่จุดพลิกผันในชีวิตผม เป็นช่วงสอบกลางภาค ครูเริ่มสั่งงานที่เหลืออยู่หลายวิชา ผมกลับบ้านมาแล้วก็เลยไปทำงานที่ครูสั่งก่อนเพื่อให้ส่งทัน แม่เดินเข้ามาให้ห้องเเล้วด่าผมเรื่องล้างจานว่าทำไมไม่ล้างจาน แต่ด้วยนิสัยของแม่แล้ว แกเลยด่าแรงมาก ว่า ประมาณจะไปตายที่ไหนก็ไป อย่ามาให้kuเลี้ยง ลูกกูไม่ได้มีแค่แคนเดียว ตายไปก็ได้สนใจหน่อย และอื่นๆอีกสารพัด ซึ่งคำพูดพวกนี้ผมชินแล้วไม่ได้ อะไรมาก แต่มันเริ่มรุนเเรงขึ้นถึงขั้นบอกว่าไม่ให้ผมเรียนต่อ พรุ่งนี้ไม่ต้องไปสอบ ไม่ต้องเรียน เรียนไปก็ทำตัวเลวๆ
วันต่อมาผมเล่นตัดสินใจไม่ไปสอบจริงๆ จบชีวิตนักเรียนมันวันนั้น แล้วปิดเฟสบุ๊ค เอาซิมทิ้ง เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านไปขออยู่กับเพื่อนสมัยม.ต้นที่เต็นคนงานก่อนสร้าง ออกจากบ้านมีเงินติดตัว 180กว่าบาท อยู่ได้สักพักผมเริ่มหางานทำ ผมใช้ชีวิตลำพังประมาณ 3 เดือนก็ตัดสินใจ ไปสมัครเรียน กศน. พร้อมกับทำงานไปด้วย ปีครึ่งผ่านไป ผมก็เลิกทำงานแล้วเอาเงินเก็บทั้งหมดมาทุ่มกับการสอบ Gat pat onet เพื่อที่จะใช้ยื่นเข้ามหาลัย ผมใช้เวลา 6 เดือนในการเก็บตัวไม่ทำงาน ให้เงินเก็บ แล้วก็อ่านหนังสือ ทำข้อสอบ พอผลสอบออกมา ผมก็ได้คะแนนดีพอสมควร แล้วกับช่วงนั้นที่บ้านก็ติดต่อให้ผมกลับไปทำงานกับที่บ้าน ให้ผมกลับเข้าบ้าน ผมก็เลยตัดใจกลับเข้าบ้าน แล้วทำงานช่วยที่บ้าน ได้ตังค์ใช้แบบวันต่อวัน แต่ไม่ได้ค่าจ้าง ทำให้ไม่มีตังค์เก็บ โดนแม่ด่าเหมือนเดิมบ้าง แต่ไม่เยอะเหมือนแต่ก่อน เพราะต่างคนต่างทำงาน แล้วผมก็เรียน กศน.ไปด้วย จบออกมาด้วยเกรด 3.8 ซึ่งครูก็กดคะแนนมากเพราะให้เหตุผลว่า คะแนนถ้าให้สูงเกินไป ผอ.จะเรียกพบเเล้วสอบครู เเกไม่อยากมีปัญหา ผมเลยอาศัยว่าทำข้อสอบปลายภาคให้ได้เต็ม
พอวันยื่นคะแนนแอดมิดชั่น ผมติดคณะและมหาลัยที่อยากเรียน แล้วไปบอกแม่หวังว่าคงจะยินดีด้วย แต่แม่กลับไม่พอใจมากที่ผมคิดจะเรียนต่อเพราะเเม่บอกว่า ถ้าผมไปเรียนต่อแม่ก็ต้องจ้างคนงานคนอื่นแทนผม เงินเดือนพนักงานเดือนละหมื่น เอาไปทำอะไรได้เยอะแยะ แม่จะกู้ธนาคารซื้อบ้านจะให้ผมช่วยกันหาเงินผ่อน เวลาตั้ง 4 ปีแทนที่จะมาทำงานซื้อบ้าน จะไปตามเรียนแฟชั่นทำไม คิดอะไรโง่ๆ ไม่ต้องมาหวังว่าจะได้สักบาทหรอกนะ ไม่ให้
ผมเหมือนว่าไปต่อไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก เครียดเล็กน้อย เพราะว่าตัวเองมีตังค์เก็บแค่ 6 พัน  ที่คิดไว้คือ คิดว่าพอแม่รู้ว่าสอบติดมหาลัยดีๆ แม่คงจะดีใจ เราจะตั้งใจเรียนให้จบ จะขอตังค์ที่บ้านแค่ เดือนละ 3 พัน เป็นค่ากิน ส่วนที่เหลือเราจะรับผิดชอบเองทั้งหมด เราอยากมีอนาคตเหมือนคนอื่น แต่ทุกอย่างมันกลับตรงกับข้าม เห็นน้องเราอายุแค่ 4 ขวบ เเต่เรียนเอกชนค่าเทอม 4 หมื่นก็น้อยใจอยู่บ้าง หลายครั้งก็ท้อแท้ว่าชีวิตเราทำไมต้องมาแบกรับอะไรแบบนี้ไว้ด้วย เวลาก็ใกล้จะเปิดเทอม แล้ว จะหาตังค์2 หมื่นทันไหม ผิดที่เราน่าจะบอกแม่ตั้งแต่เนิ่นๆด้วยเเหละ  แล้วแม่ก็ไม่ยอมไปเซ็นมอบตัวให้ด้วยผมควรทำยังไงดี จะไปต่อดีมั้ย หรือว่าจะพอ หรือว่าเก็บตังค์สักก้อนก่อนปีหน้าค่อยเรียน  แล้วคุณสมบัติผมก็กู้ กยศ. ไม่ได้ด้วย เพราะรายได้แม่ยังไงก็เกิน แม่ไม่ทางยอมเซ็นกู้ให้ผมหรอก ผมควรพอหรือว่าไปต่อดีครับ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะครับ
... ผมแค่ต้องการคำแนะนำนะครับผมไม่ขอรับเงินบริจาคใดๆทั้งสิ้นนะครับ ผมไม่อยากให้ใครมาหาว่าเป็นขอทานออนไลน์
... ผมขออนุญาตไม่เปิดเผยตัวตนนะครับ เพราะคนที่จะเสียหายคือครอบครัวผม
... มีงานอะไรที่หาเงิน 15,000ทันภายใน 1 เดือนแนะนำมั้ยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่