สวัสดีค่ะทุกคน หลังจากที่ห่างหายไปนาน เราก็ไปเจอบทความน่าอ่านมากๆเรื่องหนึ่ง
เป็นเรื่องจริงที่เกี่ยวกับ "ทาส" ที่เราคิดว่าสมัยนี้ไม่น่าจะมีแล้ว แต่กลับเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
ในศตวรรษที่90นี้เอง เขียนโดยนักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ชื่อ Alex Tizon ชื่อเรื่องว่า
My Family's Slave ที่เผยแพร่ในนิตยสารออนไลน์ The Atlantic
(
https://www.theatlantic.com/magazine/archive/2017/06/lolas-story/524490/ )
ผู้เขียนได้เล่าเรื่องราวของครอบครัวเขาเองที่มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งทำงานรับใช้ครอบครัวเขาที่อพยพจากประเทศฟิลิปปินส์
มายังสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งชีวิตของเธออุทิศให้กับการรับใช้ครอบครัวของเขาอย่างแท้จริงเป็นเวลานานหลายสิบปี
จนกว่าเธอจะได้มีความสุขในบั้นปลายของชีวิต
เรื่องนี้เป็นบทความที่ยาวมาก แต่เราก็หยุดอ่านไม่ได้ อ่านรวดเดียวจนจบด้วยความสะเทือนใจและเกิดคำถามมากมายว่า
ถ้าหากเธอได้รับโอกาสที่ดีกว่านี้ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร อ่านจนจบแล้วก็เกิดความคิดอยากแปลขึ้นมา
(ถ้าเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับการเรียนแบบนี้ก็คงจะดี

)
จุดมุ่งหมายหลักเลยคืออยากให้คุณแม่อ่านด้วย

แต่เรื่องนี้จะสำเร็จไม่ได้เลยถ้าไม่ได้พี่ชายที่น่ารัก บรรณาธิการคนเก่ง
และนักเขียนชื่อดังช่วยตรวจทานและขัดเกลาภาษาให้สละสลวยมากยิ่งขึ้น ขอขอบคุณมากๆเลยนะคะ
เราเองไม่ใช่นักแปลอาชีพ ถ้าเจอเรื่องไหนอ่านแล้วสนุกถึงอยากแปลขึ้นมา ดังนั้นขออภัยในข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกๆคนที่แวะเข้ามาอ่านและให้กำลังใจค่ะ
....................................................................................................................................................................
แปล : - นิล -
เรียบเรียง: Flying Penguin
ผงเถ้ากระดูกถูกบรรจุลงในกล่องพลาสติกสีดำขนาดประมาณเครื่องปิ้งขนมปังหนักประมาณสามปอนด์ครึ่ง ผมใส่มันไว้ในถุงสะพายใบใหญ่ทำจากผ้าใบ และจัดลงในกระเป๋าเดินทางเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเพื่อบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังกรุงมะนิลา จากที่นั่นผมจะเดินทางต่อโดยรถยนต์ไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึง ผมจะมอบของทั้งหมดที่เหลืออยู่ของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งใช้ชีวิตตลอด 56 ปีเป็นทาสในครอบครัวผม
เธอชื่อ ยูโดเซีย โทมาส พูลิโด (Eudocia Tomas Pulido) แต่เราเรียกเธอว่าโลล่า สูง 4 ฟุต 11 นิ้ว ผิวสีน้ำตาลมอคค่า และมีดวงตาทรงเมล็ดอัลมอนด์ที่จ้องมองมา – นั่นคือความทรงจำแรกของผม เธอมีอายุได้ 18 ปีตอนที่คุณตามอบเธอให้เป็นของขวัญแม่ เมื่อครอบครัวเราย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เราก็พาเธอมาด้วย ไม่มีคำอื่นใดนอกจากคำว่าทาสที่จะกล่าวรวมถึงชีวิตของเธอ เธอเริ่มต้นวันก่อนทุกคน ตื่น และทำงานไปจนหลังพวกเราเข้านอน เธอเตรียมอาหารสามมื้อต่อวัน ทำความสะอาดบ้าน คอยรับใช้พ่อแม่ของผม และดูแลพวกเราห้าพี่น้อง พ่อกับแม่ไม่เคยจ่ายค่าจ้างให้เธอเลย หนำซ้ำยังดุด่าเธอเป็นประจำ ถึงแม้ไม่ได้ล่ามโซ่ แต่เธอก็เหมือนถูกล่ามเอาไว้ มีหลายคืนที่ผมเดินผ่านห้องนอนไปยังห้องน้ำแล้วมองเห็นเธอนอนขดตัวหลับอยู่ที่มุมห้องข้างกองเสื้อผ้า นิ้วมือยังคงกำผ้าที่เธอกำลังพับมันอยู่ก่อนจะผลอยหลับไป
ในสายตาเพื่อนบ้านชาวอเมริกัน ครอบครัวเราเป็นผู้อพยพตัวอย่าง พวกเขาบอกเราอย่างนั้น พ่อของผมจบกฏหมาย ส่วนแม่กำลังจะได้เป็นหมอ พี่และน้องรวมถึงตัวผมเองก็เรียนได้เกรดที่ดี พูดคำว่า “ได้โปรด” และ “ขอบคุณ” ติดปากอยู่เสมอ เราไม่เคยพูดถึงโลล่าเลย ความลับนี้อยู่ลึกลงไปใต้สิ่งที่เราเป็น อย่างน้อยก็หมายถึงสิ่งที่เด็กๆ อย่างพวกเราอยากจะเป็น
หลังจากที่แม่ของผมเสียชีวิตด้วยลูคีเมียในปี 1999 โลล่าก็มาอาศัยอยู่กับผมในเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของซีแอทเทิล ผมมีครอบครัว มีหน้าที่การงาน มีบ้านในย่านชานเมือง - ช่างเป็นความฝันแบบอเมริกันชน แถมผมก็ยังมีทาสอีกคนหนึ่งด้วย
ณ ที่รับสัมภาระกรุงมะนิลา ผมเปิดซิปกระเป๋าเดินทางออกเพื่อดูให้แน่ใจว่าเถ้ากระดูกของโลล่ายังคงอยู่ที่นั่น เมื่อออกไปนอกอาคาร ผมสูดหายใจรับกลิ่นที่คุ้นเคย เป็นกลิ่นอึงอวลผสมควันท่อไอเสียปนกับกลิ่นขยะ มหาสมุทร ผลไม้หอม และเหงื่อไคล
เช้าตรู่ในวันถัดมาผมหาคนขับรถได้หนึ่งคน เป็นชายวัยกลางคนที่สุภาพเรียบร้อย เขาให้ผมเรียกชื่อเล่นของเขาว่า ดูดส์ (Doods) รถกระบะของเขาพาผมมุ่งสู่ถนนโดยแทรกผ่านการจราจรอันคับคั่งออกไป ภาพที่เห็นทำให้ตะลึงได้เสมอกับรถราอันคับคั่งกับจักรยานยนต์และรถสองแถวจำนวนมาก ผู้คนเบียดแทรกระหว่างยานยนต์และเดินผ่านไปบนถนนราวกับคลื่นมนุษย์ คนขายของข้างถนนเดินเท้าเปล่าไปข้างๆ รถยนต์เพื่อเร่ขายบุหรี่ ยาอมแก้เจ็บคอและถั่วต้ม เด็กขอทานหลายคนแนบใบหน้าของพวกเขาเข้ากับกระจกรถยนต์
ดูดส์กับผมกำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่เรื่องราวของโลล่าเริ่มต้นขึ้น ทางเหนือของที่ราบในภาคกลางจังหวัดตาร์ลัค (Tarlac) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวและเป็นบ้านของนายทหารยศร้อยโทสูบซิการ์เสียงดังนายหนึ่งที่มีชื่อว่าโทมาส อซุนซิออน (Tomas Asuncion) เขาเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก แต่กลับมีเงินไม่มากนัก และยังมีเมียน้อยหลายคนในบ้านหลายหลังบนที่ดินของตน ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากการให้กำเนิดบุตรสาวเพียงคนเดียว ซึ่งก็คือแม่ของผมเอง เธอได้รับการเลี้ยงดูโดย อูตูซาน หรือ แปลตรงตัวว่า ผู้รับคำสั่ง (คนรับใช้)
ประวัติของความเป็นทาสบนเกาะแห่งนี้มีมายาวนาน นับตั้งแต่ก่อนชาวสเปนเดินทางมาถึง ชาวพื้นเมืองบนเกาะก็นำชาวเกาะคนอื่นๆ หรือลูกหนี้มารับใช้เป็นทาสอยู่ก่อนแล้ว ทาสนั้นมีหลายแบบ เริ่มจากนักสู้ที่จะได้รับอิสรภาพหลังการสู้รบชนะจนถึงคนรับใช้ในบ้านที่ถูกตีค่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง และจะถูกซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนอย่างไรก็ได้ ทาสที่มีสถานภาพสูงสามารถเป็นนายทาสของทาสที่มีสถานภาพต่ำกว่าได้ ส่วนทาสที่มีสถานภาพต่ำก็สามารถเป็นนายทาสของพวกที่มีสถานะต่ำที่สุด บางรายเลือกเป็นทาสเพียงแค่ต้องการมีชีวิตรอด เพราะหากยอมพลีแรงงานเข้าแลก พวกเขาก็อาจจะได้รับอาหาร ที่พัก และการคุ้มครอง
เมื่อพวกคนสเปนเดินทางมาถึงในช่วงปี 1500 ก็จับชาวพื้นเมืองบนเกาะมาเป็นทาสแล้ว ภายหลังจึงได้นำทาสชาวแอฟริกันและอินเดียนเข้ามาด้วย ท้ายที่สุดกษัตริย์สเปนได้พยายามยกเลิกทาสทั้งในสเปนเองและประเทศอาณานิคมทั้งหลาย หากแต่บางส่วนของฟิลิปปินส์นั้นช่างกว้างใหญ่เกินกว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถสอดส่องได้อย่างทั่วถึง ประเพณีทาสนี้ยังคงอยู่เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามาในปี 1898 กระทั่งจนปัจจุบันนี้ แม้แต่คนที่ยากจนก็ยังสามารถมีอูตูซาน หรือกาตูลอง (คนรับใช้) หรือกาซามบาเฮ (คนรับใช้ในบ้าน) ได้ ตราบใดที่ยังมีผู้คนที่ยากจนมากกว่าตน ซึ่งมันยังคงมีอีกมาก
ร้อยโททอมเป็นนายทาสอยู่ถึงสามครอบครัว ทาสเหล่านั้นอาศัยอยู่บนที่ดินของเขา ในฤดูใบไม้ผลิปี 1943 ตอนที่ชาวเกาะตกอยู่ใต้การปกครองของญี่ปุ่น เขาก็ได้พาเด็กสาวคนหนึ่งมาจากหมู่บ้านที่อยู่ลงไปทางใต้ของถนน ซึ่งเป็นญาติที่แสนห่างของครอบครัวเขา เป็นครอบครัวชาวนา ร้อยโทเป็นคนเจ้าเล่ห์ เขาเห็นว่าเด็กสาวคนนี้แร้นแค้น ไร้การศึกษา และน่าจะเป็นคนหัวอ่อน พ่อกับแม่ของเด็กสาวต้องการให้เธอแต่งงานกับเจ้าของฟาร์มหมูที่แก่กว่าเธอเกือบเท่าหนึ่ง เธอเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ไร้ซึ่งหนทางใด ทอมจึงยื่นข้อเสนอว่าเธอจะมีอาหารและที่พัก หากเธอยอมดูแลลูกสาวของเขาซึ่งเพิ่งจะมีอายุครบ 12 ปี
โลล่าตอบตกลง โดยหารู้ไม่ว่าข้อเสนอนี้จะผูกพันเธอไปจนสิ้นชีวิต
“เธอเป็นของขวัญของลูก จากพ่อ” ร้อยโททอมบอกแม่ผม
“หนูไม่ต้องการเธอ” แม่ตอบกลับโดยที่ก็รู้ว่าไม่มีทางเลือก
ร้อยโททอมออกเดินทางไปรบกับพวกญี่ปุ่น ทิ้งแม่ไว้กับโลล่าเพียงลำพังในบ้านไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด โลล่าทำอาหาร ดูแลและแต่งตัวให้แม่ ถ้าทั้งสองออกไปตลาด โลล่าจะกางร่มให้เพื่อปกป้องแม่จากแสงแดด ในยามค่ำคืนหลังจากที่โลล่าทำงานให้อาหารสุนัข กวาดพื้น พับผ้าที่เธอซักด้วยมือในแม่น้ำคามิลิงเสร็จเรียบร้อย เธอก็จะนั่งลงข้างขอบเตียงของแม่ และพัดให้จนแม่หลับไป
โลล่า พูลิโด ตอนอายุได้ 18 ปี เธอมาจากครอบครัวที่ยากจนในชนบทของฟิลิปปินส์ ตาของผู้เขียน “มอบ” เธอให้กับลูกสาวของเขาเป็นของขวัญ
วันหนึ่งในระหว่างที่ร้อยโททอมกลับมาที่บ้านและจับได้ว่าแม่โกหกอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเด็กผู้ชายที่แม่ไม่สมควรจะไปพูดคุยด้วย ทอมโกรธเกรี้ยวและสั่งให้แม่ไปยืนที่โต๊ะเพื่อลงโทษ แม่กลัวลนลานหลบอยู่กับโลล่าในมุมห้อง ทันใดนั้น แม่ก็พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่าโลล่าจะรับโทษแทน โลล่ามองที่แม่อย่างเว้าวอน แต่กลับไม่เอ่ยวาจาใดออกมาเมื่อก้าวออกไปยังโต๊ะกินข้าวและกอดขอบโต๊ะเอาไว้ ทอมเงื้อเข็มขัดและฟาดเธอทั้งหมด 12 ครั้ง โดยเว้นแต่ละแส้ด้วยคำในประโยค แก. ต้อง. ไม่. โก. หก. พ่อ. แก. ต้อง. ไม่. โก. หก. พ่อ. โลล่าไม่เปล่งเสียงร้องสักนิด
แม่เล่าเรื่องนี้ตอนที่อายุมากแล้ว น้ำเสียงของแม่พึงพอใจปนอยู่ในความโหดร้ายของเรื่องราว พร้อมถามว่า พวกลูกเชื่อไหมล่ะว่าแม่ทำแบบนั้น เมื่อผมถามโลล่า โลล่าก็ขอฟังเรื่องราวนี้แบบที่แม่เล่า เธอฟังอย่างตั้งใจ หรี่ตาลง และหลังจากนั้น เธอก็มองมาที่ผมอย่างเศร้าสร้อยแล้วกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ใช่ เรื่องมันเป็นอย่างนั้นแหละ
7 ปีหลังจากนั้น ในปี 1950 แม่แต่งงานกับพ่อและย้ายไปอยู่มะนิลาโดยพาโลล่าไปด้วย
ร้อยโททอมมีอาการประสาทหลอนจากปีศาจ ในปี 1951 เขาก็ทำให้มันจบลงด้วยการลั่นปืนคาลิเบอร์.32 เข้าที่ขมับของตัวเอง แม่แทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย สิ่งที่แม่ได้จากเขาคือความเจ้าอารมณ์ ขี้ฉุนเฉียว ความมีอำนาจ และความเปราะบางที่ซ่อนไว้ แม่จดจำคำสอนของเขาได้ขึ้นใจ หนึ่งในนั้นก็คือการเป็นเจ้าบ้าน ลูกต้องจำให้ขึ้นใจเสมอว่าลูกคือผู้ออกคำสั่ง ลูกต้องมีอำนาจเหนือผู้ใต้บังคับบัญชาและให้พวกเขาอยู่ในที่ๆ สมควรอยู่เพื่อผลดีกับพวกเขาเองและของบ้านด้วย พวกเขาอาจจะคร่ำครวญบ่นว่า แต่ลึกลงไปในใจพวกเขาจะขอบคุณลูก พวกเขาจะรักลูก เพราะลูกช่วยให้พวกเขาเป็นคนที่พระผู้เป็นเจ้าปราถนาให้พวกเขาเป็น
จากฟิลิปปินส์สู่อเมริกา เรื่องของ"ทาส" ในยุคปัจจุบัน (เรื่องเแปลจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง)
เป็นเรื่องจริงที่เกี่ยวกับ "ทาส" ที่เราคิดว่าสมัยนี้ไม่น่าจะมีแล้ว แต่กลับเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
ในศตวรรษที่90นี้เอง เขียนโดยนักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ชื่อ Alex Tizon ชื่อเรื่องว่า
My Family's Slave ที่เผยแพร่ในนิตยสารออนไลน์ The Atlantic
( https://www.theatlantic.com/magazine/archive/2017/06/lolas-story/524490/ )
ผู้เขียนได้เล่าเรื่องราวของครอบครัวเขาเองที่มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งทำงานรับใช้ครอบครัวเขาที่อพยพจากประเทศฟิลิปปินส์
มายังสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งชีวิตของเธออุทิศให้กับการรับใช้ครอบครัวของเขาอย่างแท้จริงเป็นเวลานานหลายสิบปี
จนกว่าเธอจะได้มีความสุขในบั้นปลายของชีวิต
เรื่องนี้เป็นบทความที่ยาวมาก แต่เราก็หยุดอ่านไม่ได้ อ่านรวดเดียวจนจบด้วยความสะเทือนใจและเกิดคำถามมากมายว่า
ถ้าหากเธอได้รับโอกาสที่ดีกว่านี้ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร อ่านจนจบแล้วก็เกิดความคิดอยากแปลขึ้นมา
(ถ้าเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับการเรียนแบบนี้ก็คงจะดี
จุดมุ่งหมายหลักเลยคืออยากให้คุณแม่อ่านด้วย
และนักเขียนชื่อดังช่วยตรวจทานและขัดเกลาภาษาให้สละสลวยมากยิ่งขึ้น ขอขอบคุณมากๆเลยนะคะ
เราเองไม่ใช่นักแปลอาชีพ ถ้าเจอเรื่องไหนอ่านแล้วสนุกถึงอยากแปลขึ้นมา ดังนั้นขออภัยในข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกๆคนที่แวะเข้ามาอ่านและให้กำลังใจค่ะ
....................................................................................................................................................................
แปล : - นิล -
เรียบเรียง: Flying Penguin
ผงเถ้ากระดูกถูกบรรจุลงในกล่องพลาสติกสีดำขนาดประมาณเครื่องปิ้งขนมปังหนักประมาณสามปอนด์ครึ่ง ผมใส่มันไว้ในถุงสะพายใบใหญ่ทำจากผ้าใบ และจัดลงในกระเป๋าเดินทางเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเพื่อบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังกรุงมะนิลา จากที่นั่นผมจะเดินทางต่อโดยรถยนต์ไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึง ผมจะมอบของทั้งหมดที่เหลืออยู่ของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งใช้ชีวิตตลอด 56 ปีเป็นทาสในครอบครัวผม
เธอชื่อ ยูโดเซีย โทมาส พูลิโด (Eudocia Tomas Pulido) แต่เราเรียกเธอว่าโลล่า สูง 4 ฟุต 11 นิ้ว ผิวสีน้ำตาลมอคค่า และมีดวงตาทรงเมล็ดอัลมอนด์ที่จ้องมองมา – นั่นคือความทรงจำแรกของผม เธอมีอายุได้ 18 ปีตอนที่คุณตามอบเธอให้เป็นของขวัญแม่ เมื่อครอบครัวเราย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เราก็พาเธอมาด้วย ไม่มีคำอื่นใดนอกจากคำว่าทาสที่จะกล่าวรวมถึงชีวิตของเธอ เธอเริ่มต้นวันก่อนทุกคน ตื่น และทำงานไปจนหลังพวกเราเข้านอน เธอเตรียมอาหารสามมื้อต่อวัน ทำความสะอาดบ้าน คอยรับใช้พ่อแม่ของผม และดูแลพวกเราห้าพี่น้อง พ่อกับแม่ไม่เคยจ่ายค่าจ้างให้เธอเลย หนำซ้ำยังดุด่าเธอเป็นประจำ ถึงแม้ไม่ได้ล่ามโซ่ แต่เธอก็เหมือนถูกล่ามเอาไว้ มีหลายคืนที่ผมเดินผ่านห้องนอนไปยังห้องน้ำแล้วมองเห็นเธอนอนขดตัวหลับอยู่ที่มุมห้องข้างกองเสื้อผ้า นิ้วมือยังคงกำผ้าที่เธอกำลังพับมันอยู่ก่อนจะผลอยหลับไป
ในสายตาเพื่อนบ้านชาวอเมริกัน ครอบครัวเราเป็นผู้อพยพตัวอย่าง พวกเขาบอกเราอย่างนั้น พ่อของผมจบกฏหมาย ส่วนแม่กำลังจะได้เป็นหมอ พี่และน้องรวมถึงตัวผมเองก็เรียนได้เกรดที่ดี พูดคำว่า “ได้โปรด” และ “ขอบคุณ” ติดปากอยู่เสมอ เราไม่เคยพูดถึงโลล่าเลย ความลับนี้อยู่ลึกลงไปใต้สิ่งที่เราเป็น อย่างน้อยก็หมายถึงสิ่งที่เด็กๆ อย่างพวกเราอยากจะเป็น
หลังจากที่แม่ของผมเสียชีวิตด้วยลูคีเมียในปี 1999 โลล่าก็มาอาศัยอยู่กับผมในเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของซีแอทเทิล ผมมีครอบครัว มีหน้าที่การงาน มีบ้านในย่านชานเมือง - ช่างเป็นความฝันแบบอเมริกันชน แถมผมก็ยังมีทาสอีกคนหนึ่งด้วย
ณ ที่รับสัมภาระกรุงมะนิลา ผมเปิดซิปกระเป๋าเดินทางออกเพื่อดูให้แน่ใจว่าเถ้ากระดูกของโลล่ายังคงอยู่ที่นั่น เมื่อออกไปนอกอาคาร ผมสูดหายใจรับกลิ่นที่คุ้นเคย เป็นกลิ่นอึงอวลผสมควันท่อไอเสียปนกับกลิ่นขยะ มหาสมุทร ผลไม้หอม และเหงื่อไคล
เช้าตรู่ในวันถัดมาผมหาคนขับรถได้หนึ่งคน เป็นชายวัยกลางคนที่สุภาพเรียบร้อย เขาให้ผมเรียกชื่อเล่นของเขาว่า ดูดส์ (Doods) รถกระบะของเขาพาผมมุ่งสู่ถนนโดยแทรกผ่านการจราจรอันคับคั่งออกไป ภาพที่เห็นทำให้ตะลึงได้เสมอกับรถราอันคับคั่งกับจักรยานยนต์และรถสองแถวจำนวนมาก ผู้คนเบียดแทรกระหว่างยานยนต์และเดินผ่านไปบนถนนราวกับคลื่นมนุษย์ คนขายของข้างถนนเดินเท้าเปล่าไปข้างๆ รถยนต์เพื่อเร่ขายบุหรี่ ยาอมแก้เจ็บคอและถั่วต้ม เด็กขอทานหลายคนแนบใบหน้าของพวกเขาเข้ากับกระจกรถยนต์
ดูดส์กับผมกำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่เรื่องราวของโลล่าเริ่มต้นขึ้น ทางเหนือของที่ราบในภาคกลางจังหวัดตาร์ลัค (Tarlac) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวและเป็นบ้านของนายทหารยศร้อยโทสูบซิการ์เสียงดังนายหนึ่งที่มีชื่อว่าโทมาส อซุนซิออน (Tomas Asuncion) เขาเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก แต่กลับมีเงินไม่มากนัก และยังมีเมียน้อยหลายคนในบ้านหลายหลังบนที่ดินของตน ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากการให้กำเนิดบุตรสาวเพียงคนเดียว ซึ่งก็คือแม่ของผมเอง เธอได้รับการเลี้ยงดูโดย อูตูซาน หรือ แปลตรงตัวว่า ผู้รับคำสั่ง (คนรับใช้)
ประวัติของความเป็นทาสบนเกาะแห่งนี้มีมายาวนาน นับตั้งแต่ก่อนชาวสเปนเดินทางมาถึง ชาวพื้นเมืองบนเกาะก็นำชาวเกาะคนอื่นๆ หรือลูกหนี้มารับใช้เป็นทาสอยู่ก่อนแล้ว ทาสนั้นมีหลายแบบ เริ่มจากนักสู้ที่จะได้รับอิสรภาพหลังการสู้รบชนะจนถึงคนรับใช้ในบ้านที่ถูกตีค่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง และจะถูกซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนอย่างไรก็ได้ ทาสที่มีสถานภาพสูงสามารถเป็นนายทาสของทาสที่มีสถานภาพต่ำกว่าได้ ส่วนทาสที่มีสถานภาพต่ำก็สามารถเป็นนายทาสของพวกที่มีสถานะต่ำที่สุด บางรายเลือกเป็นทาสเพียงแค่ต้องการมีชีวิตรอด เพราะหากยอมพลีแรงงานเข้าแลก พวกเขาก็อาจจะได้รับอาหาร ที่พัก และการคุ้มครอง
เมื่อพวกคนสเปนเดินทางมาถึงในช่วงปี 1500 ก็จับชาวพื้นเมืองบนเกาะมาเป็นทาสแล้ว ภายหลังจึงได้นำทาสชาวแอฟริกันและอินเดียนเข้ามาด้วย ท้ายที่สุดกษัตริย์สเปนได้พยายามยกเลิกทาสทั้งในสเปนเองและประเทศอาณานิคมทั้งหลาย หากแต่บางส่วนของฟิลิปปินส์นั้นช่างกว้างใหญ่เกินกว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถสอดส่องได้อย่างทั่วถึง ประเพณีทาสนี้ยังคงอยู่เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามาในปี 1898 กระทั่งจนปัจจุบันนี้ แม้แต่คนที่ยากจนก็ยังสามารถมีอูตูซาน หรือกาตูลอง (คนรับใช้) หรือกาซามบาเฮ (คนรับใช้ในบ้าน) ได้ ตราบใดที่ยังมีผู้คนที่ยากจนมากกว่าตน ซึ่งมันยังคงมีอีกมาก
ร้อยโททอมเป็นนายทาสอยู่ถึงสามครอบครัว ทาสเหล่านั้นอาศัยอยู่บนที่ดินของเขา ในฤดูใบไม้ผลิปี 1943 ตอนที่ชาวเกาะตกอยู่ใต้การปกครองของญี่ปุ่น เขาก็ได้พาเด็กสาวคนหนึ่งมาจากหมู่บ้านที่อยู่ลงไปทางใต้ของถนน ซึ่งเป็นญาติที่แสนห่างของครอบครัวเขา เป็นครอบครัวชาวนา ร้อยโทเป็นคนเจ้าเล่ห์ เขาเห็นว่าเด็กสาวคนนี้แร้นแค้น ไร้การศึกษา และน่าจะเป็นคนหัวอ่อน พ่อกับแม่ของเด็กสาวต้องการให้เธอแต่งงานกับเจ้าของฟาร์มหมูที่แก่กว่าเธอเกือบเท่าหนึ่ง เธอเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ไร้ซึ่งหนทางใด ทอมจึงยื่นข้อเสนอว่าเธอจะมีอาหารและที่พัก หากเธอยอมดูแลลูกสาวของเขาซึ่งเพิ่งจะมีอายุครบ 12 ปี
โลล่าตอบตกลง โดยหารู้ไม่ว่าข้อเสนอนี้จะผูกพันเธอไปจนสิ้นชีวิต
“เธอเป็นของขวัญของลูก จากพ่อ” ร้อยโททอมบอกแม่ผม
“หนูไม่ต้องการเธอ” แม่ตอบกลับโดยที่ก็รู้ว่าไม่มีทางเลือก
ร้อยโททอมออกเดินทางไปรบกับพวกญี่ปุ่น ทิ้งแม่ไว้กับโลล่าเพียงลำพังในบ้านไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด โลล่าทำอาหาร ดูแลและแต่งตัวให้แม่ ถ้าทั้งสองออกไปตลาด โลล่าจะกางร่มให้เพื่อปกป้องแม่จากแสงแดด ในยามค่ำคืนหลังจากที่โลล่าทำงานให้อาหารสุนัข กวาดพื้น พับผ้าที่เธอซักด้วยมือในแม่น้ำคามิลิงเสร็จเรียบร้อย เธอก็จะนั่งลงข้างขอบเตียงของแม่ และพัดให้จนแม่หลับไป
โลล่า พูลิโด ตอนอายุได้ 18 ปี เธอมาจากครอบครัวที่ยากจนในชนบทของฟิลิปปินส์ ตาของผู้เขียน “มอบ” เธอให้กับลูกสาวของเขาเป็นของขวัญ
วันหนึ่งในระหว่างที่ร้อยโททอมกลับมาที่บ้านและจับได้ว่าแม่โกหกอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเด็กผู้ชายที่แม่ไม่สมควรจะไปพูดคุยด้วย ทอมโกรธเกรี้ยวและสั่งให้แม่ไปยืนที่โต๊ะเพื่อลงโทษ แม่กลัวลนลานหลบอยู่กับโลล่าในมุมห้อง ทันใดนั้น แม่ก็พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่าโลล่าจะรับโทษแทน โลล่ามองที่แม่อย่างเว้าวอน แต่กลับไม่เอ่ยวาจาใดออกมาเมื่อก้าวออกไปยังโต๊ะกินข้าวและกอดขอบโต๊ะเอาไว้ ทอมเงื้อเข็มขัดและฟาดเธอทั้งหมด 12 ครั้ง โดยเว้นแต่ละแส้ด้วยคำในประโยค แก. ต้อง. ไม่. โก. หก. พ่อ. แก. ต้อง. ไม่. โก. หก. พ่อ. โลล่าไม่เปล่งเสียงร้องสักนิด
แม่เล่าเรื่องนี้ตอนที่อายุมากแล้ว น้ำเสียงของแม่พึงพอใจปนอยู่ในความโหดร้ายของเรื่องราว พร้อมถามว่า พวกลูกเชื่อไหมล่ะว่าแม่ทำแบบนั้น เมื่อผมถามโลล่า โลล่าก็ขอฟังเรื่องราวนี้แบบที่แม่เล่า เธอฟังอย่างตั้งใจ หรี่ตาลง และหลังจากนั้น เธอก็มองมาที่ผมอย่างเศร้าสร้อยแล้วกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ใช่ เรื่องมันเป็นอย่างนั้นแหละ
7 ปีหลังจากนั้น ในปี 1950 แม่แต่งงานกับพ่อและย้ายไปอยู่มะนิลาโดยพาโลล่าไปด้วย
ร้อยโททอมมีอาการประสาทหลอนจากปีศาจ ในปี 1951 เขาก็ทำให้มันจบลงด้วยการลั่นปืนคาลิเบอร์.32 เข้าที่ขมับของตัวเอง แม่แทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย สิ่งที่แม่ได้จากเขาคือความเจ้าอารมณ์ ขี้ฉุนเฉียว ความมีอำนาจ และความเปราะบางที่ซ่อนไว้ แม่จดจำคำสอนของเขาได้ขึ้นใจ หนึ่งในนั้นก็คือการเป็นเจ้าบ้าน ลูกต้องจำให้ขึ้นใจเสมอว่าลูกคือผู้ออกคำสั่ง ลูกต้องมีอำนาจเหนือผู้ใต้บังคับบัญชาและให้พวกเขาอยู่ในที่ๆ สมควรอยู่เพื่อผลดีกับพวกเขาเองและของบ้านด้วย พวกเขาอาจจะคร่ำครวญบ่นว่า แต่ลึกลงไปในใจพวกเขาจะขอบคุณลูก พวกเขาจะรักลูก เพราะลูกช่วยให้พวกเขาเป็นคนที่พระผู้เป็นเจ้าปราถนาให้พวกเขาเป็น