Sun(Glass)Set
การเดินทางเที่ยวคนเดียวยังเป็นเรื่องยากสำหรับใครบางคน ไม่ว่าจะเป็นเดินทาง ดูหนัง กินข้าว นั่งบาร์ คนเดียว แต่สำหรับเราแล้วรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้โดดเดี่ยวหรืออ้างว้างสักเท่าไหร่ ตรงข้ามมันช่วยให้เรารู้สึกเป็นตัวเอง และมีความอิสระ ถ้าคุณก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ชอบทำอะไรคนเดียวเหมือนเราแล้วล่ะก็ เราอยากให้คุณกล้าที่จะตัดสินใจออกเดินทางไปไหนสักที่คนเดียว เผลอๆ คุณอาจจะกลายเป็นคนที่อัธยาศัยดีไปโดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ รู้สึกตัวอีกทีคุณอาจจะคิดว่า วันนี้ฉันคุยกับคนแปลกหน้านะ หัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายเรื่อง เช่น เรื่องหนังสือ เรื่องหนังที่เราชอบกัน โดยประโยคเริ่มต้นของเราก็คือ "คุณกำลังจะไปไหนหรอ"และ "ขอให้โชคดีนะ" นี่จะเป็นประโยคสุดท้ายที่เรามักจะได้ยินหลังจากคุยกับคนแปลกหน้าระหว่างการเดินทาง
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การเดินทางขึ้นรถไฟไปภาคใต้คนเดียว เผื่อมีใครที่กำลังตัดสินใจกำลังจะไปเที่ยว แต่ไม่กล้าไปคนเดียว เราขอให้คุณลุกขึ้นไปวางแพลนเตรียมแพ็คกระเป๋าได้เลย...
DAY 1
อุปกรณ์: เป้ 1 ใบ กล้อง 1 ตัว พอละ ... จะบ้าหรอฉันไม่ได้จะไปหาแสงของพระธรรมหรือปลีกวิเวกเพราะชีวิตมันห่วยสะหน่อย ฮ่าๆ เอาล่ะๆ อย่างน้อยก็ต้องเตรียม พาวเวอร์แบงค์ 1 เครื่อง ไดอารี่ 1 เล่ม หูฟังคู่ใจ และที่สำคัญเงินสดก้อนใหญ่ หู้ยย เอ่อ อันนี้แล้วแต่ความสะดวกส่วนบุคคลนะ เพราะว่าไปกดต่างจังหวัดมันหักค่าธรรมเนียม แล้วคือจะกด500 มันให้แค่ 400 ส่วนอี 85 บาทล่ะ ???
"เฮ้ยูวว คัมม่อน" ไม่ดั้ยจ์ไงเราจะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อ !!
#เราจะสรุปค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้ตอนท้ายนะคะ
เราเลือกเดินทางเดือน มิถุนายนค่ะ บางคนอาจจะสงสัย หน้าฝนเนี่ยนะ แต่เดี๋ยวเรามาดูกันว่าจะเป็นยังไง
วันแรกเราเดินทางขึ้นรถไฟที่หัวลำโพงค่ะ สุราษฏร์ธานี-กันตัง ใช้เวลาประมาณ12 ชั่วโมงค่ะ
รถออก 18:30 แต่เรารีบไปจัด ไปถึงตั้งแต่บ่ายสามโมง ก็นั่งรอวนไปค่ะ 3 ชั่วโมง
ได้เวลาไปติดเกาะแล้วค่ะ รถออกเลทประมาณครึ่งชั่วโมงแน่ะ เราจองรถไฟชั้นสอง พร้อมที่นอนพัดลมไว้ค่ะ ราคา 458 บาท โชคดีที่ตลอดทางจนถึงช่วงสองทุ่มไม่มีใครมานั่งข้างหน้าเรา จะมาอีกทีตอนที่กลางที่นอนแล้ว วู้วว นั่งดูวิวข้างทางฟินไปอีก
บอกไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ เราไม่ใช่คนที่ถ่ายรูปออกมาสวยเท่าไหร่ แต่เป็นคนชอบถ่ายรูปเฉยๆ ^^
บางภาพมันไม่ได้ดูสวยเลย แต่เรารับรู้ถึงความรู้สึกตอนที่เราถ่ายได้
I can feel youuuu
นี่ค่ะ อันนี้เตียงสองชั้น เราเลือกนอนชั้นบน เพราะจะได้ไม่ต้องระแวงคนเดินผ่าน ประเด็นติดพัดลมเพดานด้วย ประมาณสองทุ่มจะมีลุงมากางให้ แต่ถ้าจะนั่งมองทางก่อนก็ได้
DAY 2
โย่วๆ ถึงล้าววว เวลาผ่านไปไวอย่างเชื่องช้า เราพลิกตัวประมาณ86รอบได้ ตื่นมายังเที่ยงคืนอยู่เลย ดูนาฬิกาทุกสองสามชั่วโมง แนะนำให้หาหนังสือ เพลง อะไรไปทำแก้เบื่อ
หลังจากที่มาถึงสถานีรถไฟแล้ว ก็จะมีคนมาถามมากมายว่าเราจะไหน หรือถ้ามีเบอร์โทรแล้วก็โทรบอกรถตู้ล่วงหน้าได้เลย แต่สำหรับเรา เราเพิ่งโทรบอก เลยใช้เวลารอนานหน่อย
*ข้อแนะนำ ถ้าโทรจากคิวรถตู้มารับที่สถานี 150 บาท แต่ถ้าขึ้นที่สถานีเลยคิด 200-250บาท
ระหว่างรอรถตู้มารับ เช้าๆอย่างนี้ก็ควรหาอะไรกระแทกท้องหน่อย แนะนำ "ร้านข้าวมันไก่"
ร้านตรงข้ามสถานีเลยค่ะ สำหรับเราข้าวมันไก่ตรงน่องมันก็อร่อยหมดอ่ะ เอาง่ายๆ อร่อยไปลอง
ใช้เวลาไปเขื่อนประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ
ถึงเขื่อนแล้วววว แต่ก่อนเข้าซื้อบัตรเข้าด้วย 40 บาทนะจ๊ะ และถ้าใครต้องการชุดกันฝนด้วยก็ 40 บาทเช่นกัน เพราะว่าตอนที่เราออกเรือไปแปปนึงฝนก็เริ่มตกปอยๆแล้ว แต่จากนั้นก็หยุด
*Can you find me? จงหาเจ้าของกระทู้ หน้าตาก็จะรุ่นๆเดียวกันหน่อย
*
นี่เป็นพวกพี่ๆที่ช่วยให้เราหารค่าเรือด้วย : ค่าเรือไปกลับอยู่ที่ 2000-2500 แล้วแต่ระยะทางของแพ ส่วนเราพักแพนางไพร จะเป็นแพที่ถึงก่อนแพอื่นๆ จ่าย 500 ไปกลับจ้าาา
สำหรับใครที่ไปน้อยๆสามารถบอกเรือว่าขอคนแชร์ได้นะจ๊ะ พี่เค้าไม่ว่าอะไรแต่คุณแค่ต้องรอ มาช่วง 8:00-12:00 จะมีนักเดินทางมาเยอะ ก็จะหาตัวหารง่ายหน่อย
เราตื่นเต้นมาก เพราะอยากจะนั่งบนหัวเรือแบบนี้นานแล้ว (ทำตัวเหมือนนางเอกในหนัง) ฮ่าๆ
บรรยากาศประมาณนี้เลยค่ะทั่นผู้โซม เหมือนหลุดเข้าไปในหนังเวทย์มนต์ So Amazing รู้สึกว่าได้อากาศดีๆเข้าปอดสักที เราก็สูดเข้าสูดออกและก็นั่งมองวิวไปเรื่อยๆ ช่างดีอะไรแบบนี้
Let's take a selfie
พี่คนขับพามาถึงกุ้ยหลินเมืองไทย ก็พากันถ่ายรูปใหญ่
มากับเพื่อนหรือกับแฟนก็ฟินนน
มาคนเดียวก็ฟินได้จ้าาาาา
"เขาสามเกลอ" พูดได้ว่าเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะให้ได้ อยู่ตรงข้ามแพเราเลย
ถึงแพนางไพรแล้ว Check in เรียบร้อย ค่าเข้าพักโทรมาจองก่อนได้เลยนะคะ เราพักคืนละ 900 พร้อมอาหารสามมื้อ บอกเลยว่าคุ้มมากกกก อาหารเยอะมากกกก อร่อยมากกกก
(ดิฉันไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด ฮ่าๆ)
เอาของไว้ในห้องเรียบร้อยก็ออกมานั่งแช่น้ำเล่น Feel so good
ผ่านไปแปปเดียวก็เที่ยงได้เวลากินอาหารมื้อแรกแล้ว ตื่นเต้น 5555
"Lunch Time"ที่นี่เค้าจะจัดอาหารตามเวลาค่ะ คือทุกคนต้องมากินข้าวพร้อมกัน แล้วโต๊ะอื่นเค้ามากันเป็นคู่เป็นกลุ่ม แล้วอีนี่นั่งเสวยอาหารมื้อใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ช่างสำราญใจอีช้อยยิ่งนัก ^^
หลังจากอาหารมื้อนี้ก็อิ่มนานจนต้องขอตัวไปนอน ค่อยตื่นมาตอนเย็นหาไรทำ
กิจกรรมช่วงเย็น แน่นอนหนีไม่พ้นว่ายน้ำและพายเรือคายัค ค่ามัดจำไม้พาย 500 บาท เสร็จแล้วก็ได้คืนค่ะ เราก็ถามพี่เค้าว่าสามารถเอาออกไปพายข้างนอกได้ไหม ไม่อยากพายใกล้แพ พี่เค้าก็บอกได้ เราเลยให้พี่เค้าช่วยสอนหน่อย แต่เรามีทักษะการพายเรือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พี่เค้าสอนพายไปประมาณ 10 นาที เราก็ขอพายด้วยตัวเอง จากนั้นเราก็พายไปทั่วเลยค่ะ เลยแพไปไกล อยากไปตรงไหนเราก็พายไป
มันช่างเป็นความรู้สึกที่เงียบและโล่งใจจริงๆ พร้อมกับเราได้ทบทวนความรู้สึกตัวเอง ได้อยู่กับธรรมชาติจริงๆ ไม่มีเสียงผู้คน มีแค่เสียงคลื่นกระทบหิน เสียงสัตว์เล็กๆในป่า แล้วก็เสียงเราฮัมเพลงซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบ คิดแล้วก็ตลก ที่มีเพลงในหัวเป็นร้อยแต่กลับร้องออกมาไม่ได้
ณ ตอนเย็น สัญญาณคลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี ไฟฟ้าก็ยังไม่เปิดให้ใช้ เราเลยใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือ พายเรือไปเรื่อยๆ บางคนที่เห็นอาจจะมองว่าเรามีปัญหาชีวิตหรือเปล่า ฮ่าๆ แต่ไม่ใช่ Hey you! I'm fine ฉันแค่อยากมาพักผ่อน จำได้ว่าเราพายไปไกลมาก ไกลจากแพเยอะเลย ยิ่งไกลก็ยิ่งเงียบ...
เมื่อเวลา 18:00 เราก็พายเรือกลับแพ ไปอาบน้ำ เตรียมกินข้าวมื้อที่สอง Can't wait !!
"Dinner" นี่แหละค่ะ ไม่ว่าคุณจะมาเยอะหรือมาน้อยเค้าก็จะจัดเป็นชุดอาหารให้คุณได้ทาน อย่างสำราญ เติมได้ด้วย ฟรี !!! แต่ลืมบอกไปว่าน้ำและขนมที่นี่ชาร์ตแพงอยู่นะ
แนะนำเตรียมมาเอง เหมือนห้องข้างๆที่พกมาเป็นลัง เห็นแล้วก็อิจฉา เพราะตัวเองได้แต่กินน้ำเปล่า โธ่ววววววว
#ไฟฟ้าจะเปิดให้ใช้ได้ 18:00-22:00 แค่นั้น สามารถชาตแบตได้หน้าห้องพยาบาล
ได้เวลาเก็บบรรยากาศ แต่เสียใจที่ไม่มีดาวให้ดูเลย เพราะเมฆหนามาก ได้แค่ฟังเพลง ฟังเสียงลม
และดูพระจันทร์ จนกระทั่งสองทุ่มกว่า ก็เข้านอน
[CR] Backpackไปมองภูเขา-ทะเล ไปเปย์ตัวเอง(เขื่อนเชี่ยวหลาน-เกาะพะงัน 5วัน 5พัน)
การเดินทางเที่ยวคนเดียวยังเป็นเรื่องยากสำหรับใครบางคน ไม่ว่าจะเป็นเดินทาง ดูหนัง กินข้าว นั่งบาร์ คนเดียว แต่สำหรับเราแล้วรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้โดดเดี่ยวหรืออ้างว้างสักเท่าไหร่ ตรงข้ามมันช่วยให้เรารู้สึกเป็นตัวเอง และมีความอิสระ ถ้าคุณก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ชอบทำอะไรคนเดียวเหมือนเราแล้วล่ะก็ เราอยากให้คุณกล้าที่จะตัดสินใจออกเดินทางไปไหนสักที่คนเดียว เผลอๆ คุณอาจจะกลายเป็นคนที่อัธยาศัยดีไปโดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ รู้สึกตัวอีกทีคุณอาจจะคิดว่า วันนี้ฉันคุยกับคนแปลกหน้านะ หัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายเรื่อง เช่น เรื่องหนังสือ เรื่องหนังที่เราชอบกัน โดยประโยคเริ่มต้นของเราก็คือ "คุณกำลังจะไปไหนหรอ"และ "ขอให้โชคดีนะ" นี่จะเป็นประโยคสุดท้ายที่เรามักจะได้ยินหลังจากคุยกับคนแปลกหน้าระหว่างการเดินทาง
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การเดินทางขึ้นรถไฟไปภาคใต้คนเดียว เผื่อมีใครที่กำลังตัดสินใจกำลังจะไปเที่ยว แต่ไม่กล้าไปคนเดียว เราขอให้คุณลุกขึ้นไปวางแพลนเตรียมแพ็คกระเป๋าได้เลย...
DAY 1
อุปกรณ์: เป้ 1 ใบ กล้อง 1 ตัว พอละ ... จะบ้าหรอฉันไม่ได้จะไปหาแสงของพระธรรมหรือปลีกวิเวกเพราะชีวิตมันห่วยสะหน่อย ฮ่าๆ เอาล่ะๆ อย่างน้อยก็ต้องเตรียม พาวเวอร์แบงค์ 1 เครื่อง ไดอารี่ 1 เล่ม หูฟังคู่ใจ และที่สำคัญเงินสดก้อนใหญ่ หู้ยย เอ่อ อันนี้แล้วแต่ความสะดวกส่วนบุคคลนะ เพราะว่าไปกดต่างจังหวัดมันหักค่าธรรมเนียม แล้วคือจะกด500 มันให้แค่ 400 ส่วนอี 85 บาทล่ะ ???
"เฮ้ยูวว คัมม่อน" ไม่ดั้ยจ์ไงเราจะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อ !!
#เราจะสรุปค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้ตอนท้ายนะคะ
เราเลือกเดินทางเดือน มิถุนายนค่ะ บางคนอาจจะสงสัย หน้าฝนเนี่ยนะ แต่เดี๋ยวเรามาดูกันว่าจะเป็นยังไง
วันแรกเราเดินทางขึ้นรถไฟที่หัวลำโพงค่ะ สุราษฏร์ธานี-กันตัง ใช้เวลาประมาณ12 ชั่วโมงค่ะ
รถออก 18:30 แต่เรารีบไปจัด ไปถึงตั้งแต่บ่ายสามโมง ก็นั่งรอวนไปค่ะ 3 ชั่วโมง
ได้เวลาไปติดเกาะแล้วค่ะ รถออกเลทประมาณครึ่งชั่วโมงแน่ะ เราจองรถไฟชั้นสอง พร้อมที่นอนพัดลมไว้ค่ะ ราคา 458 บาท โชคดีที่ตลอดทางจนถึงช่วงสองทุ่มไม่มีใครมานั่งข้างหน้าเรา จะมาอีกทีตอนที่กลางที่นอนแล้ว วู้วว นั่งดูวิวข้างทางฟินไปอีก
บอกไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ เราไม่ใช่คนที่ถ่ายรูปออกมาสวยเท่าไหร่ แต่เป็นคนชอบถ่ายรูปเฉยๆ ^^
บางภาพมันไม่ได้ดูสวยเลย แต่เรารับรู้ถึงความรู้สึกตอนที่เราถ่ายได้
I can feel youuuu
นี่ค่ะ อันนี้เตียงสองชั้น เราเลือกนอนชั้นบน เพราะจะได้ไม่ต้องระแวงคนเดินผ่าน ประเด็นติดพัดลมเพดานด้วย ประมาณสองทุ่มจะมีลุงมากางให้ แต่ถ้าจะนั่งมองทางก่อนก็ได้
DAY 2
โย่วๆ ถึงล้าววว เวลาผ่านไปไวอย่างเชื่องช้า เราพลิกตัวประมาณ86รอบได้ ตื่นมายังเที่ยงคืนอยู่เลย ดูนาฬิกาทุกสองสามชั่วโมง แนะนำให้หาหนังสือ เพลง อะไรไปทำแก้เบื่อ
หลังจากที่มาถึงสถานีรถไฟแล้ว ก็จะมีคนมาถามมากมายว่าเราจะไหน หรือถ้ามีเบอร์โทรแล้วก็โทรบอกรถตู้ล่วงหน้าได้เลย แต่สำหรับเรา เราเพิ่งโทรบอก เลยใช้เวลารอนานหน่อย
*ข้อแนะนำ ถ้าโทรจากคิวรถตู้มารับที่สถานี 150 บาท แต่ถ้าขึ้นที่สถานีเลยคิด 200-250บาท
ระหว่างรอรถตู้มารับ เช้าๆอย่างนี้ก็ควรหาอะไรกระแทกท้องหน่อย แนะนำ "ร้านข้าวมันไก่"
ร้านตรงข้ามสถานีเลยค่ะ สำหรับเราข้าวมันไก่ตรงน่องมันก็อร่อยหมดอ่ะ เอาง่ายๆ อร่อยไปลอง
ใช้เวลาไปเขื่อนประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ
ถึงเขื่อนแล้วววว แต่ก่อนเข้าซื้อบัตรเข้าด้วย 40 บาทนะจ๊ะ และถ้าใครต้องการชุดกันฝนด้วยก็ 40 บาทเช่นกัน เพราะว่าตอนที่เราออกเรือไปแปปนึงฝนก็เริ่มตกปอยๆแล้ว แต่จากนั้นก็หยุด
*Can you find me? จงหาเจ้าของกระทู้ หน้าตาก็จะรุ่นๆเดียวกันหน่อย
นี่เป็นพวกพี่ๆที่ช่วยให้เราหารค่าเรือด้วย : ค่าเรือไปกลับอยู่ที่ 2000-2500 แล้วแต่ระยะทางของแพ ส่วนเราพักแพนางไพร จะเป็นแพที่ถึงก่อนแพอื่นๆ จ่าย 500 ไปกลับจ้าาา
สำหรับใครที่ไปน้อยๆสามารถบอกเรือว่าขอคนแชร์ได้นะจ๊ะ พี่เค้าไม่ว่าอะไรแต่คุณแค่ต้องรอ มาช่วง 8:00-12:00 จะมีนักเดินทางมาเยอะ ก็จะหาตัวหารง่ายหน่อย
เราตื่นเต้นมาก เพราะอยากจะนั่งบนหัวเรือแบบนี้นานแล้ว (ทำตัวเหมือนนางเอกในหนัง) ฮ่าๆ
บรรยากาศประมาณนี้เลยค่ะทั่นผู้โซม เหมือนหลุดเข้าไปในหนังเวทย์มนต์ So Amazing รู้สึกว่าได้อากาศดีๆเข้าปอดสักที เราก็สูดเข้าสูดออกและก็นั่งมองวิวไปเรื่อยๆ ช่างดีอะไรแบบนี้
Let's take a selfie
มากับเพื่อนหรือกับแฟนก็ฟินนน
มาคนเดียวก็ฟินได้จ้าาาาา
"เขาสามเกลอ" พูดได้ว่าเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะให้ได้ อยู่ตรงข้ามแพเราเลย
ถึงแพนางไพรแล้ว Check in เรียบร้อย ค่าเข้าพักโทรมาจองก่อนได้เลยนะคะ เราพักคืนละ 900 พร้อมอาหารสามมื้อ บอกเลยว่าคุ้มมากกกก อาหารเยอะมากกกก อร่อยมากกกก
(ดิฉันไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด ฮ่าๆ)
เอาของไว้ในห้องเรียบร้อยก็ออกมานั่งแช่น้ำเล่น Feel so good
ผ่านไปแปปเดียวก็เที่ยงได้เวลากินอาหารมื้อแรกแล้ว ตื่นเต้น 5555
"Lunch Time"ที่นี่เค้าจะจัดอาหารตามเวลาค่ะ คือทุกคนต้องมากินข้าวพร้อมกัน แล้วโต๊ะอื่นเค้ามากันเป็นคู่เป็นกลุ่ม แล้วอีนี่นั่งเสวยอาหารมื้อใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ช่างสำราญใจอีช้อยยิ่งนัก ^^
หลังจากอาหารมื้อนี้ก็อิ่มนานจนต้องขอตัวไปนอน ค่อยตื่นมาตอนเย็นหาไรทำ
กิจกรรมช่วงเย็น แน่นอนหนีไม่พ้นว่ายน้ำและพายเรือคายัค ค่ามัดจำไม้พาย 500 บาท เสร็จแล้วก็ได้คืนค่ะ เราก็ถามพี่เค้าว่าสามารถเอาออกไปพายข้างนอกได้ไหม ไม่อยากพายใกล้แพ พี่เค้าก็บอกได้ เราเลยให้พี่เค้าช่วยสอนหน่อย แต่เรามีทักษะการพายเรือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พี่เค้าสอนพายไปประมาณ 10 นาที เราก็ขอพายด้วยตัวเอง จากนั้นเราก็พายไปทั่วเลยค่ะ เลยแพไปไกล อยากไปตรงไหนเราก็พายไป
มันช่างเป็นความรู้สึกที่เงียบและโล่งใจจริงๆ พร้อมกับเราได้ทบทวนความรู้สึกตัวเอง ได้อยู่กับธรรมชาติจริงๆ ไม่มีเสียงผู้คน มีแค่เสียงคลื่นกระทบหิน เสียงสัตว์เล็กๆในป่า แล้วก็เสียงเราฮัมเพลงซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบ คิดแล้วก็ตลก ที่มีเพลงในหัวเป็นร้อยแต่กลับร้องออกมาไม่ได้
ณ ตอนเย็น สัญญาณคลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี ไฟฟ้าก็ยังไม่เปิดให้ใช้ เราเลยใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือ พายเรือไปเรื่อยๆ บางคนที่เห็นอาจจะมองว่าเรามีปัญหาชีวิตหรือเปล่า ฮ่าๆ แต่ไม่ใช่ Hey you! I'm fine ฉันแค่อยากมาพักผ่อน จำได้ว่าเราพายไปไกลมาก ไกลจากแพเยอะเลย ยิ่งไกลก็ยิ่งเงียบ...
เมื่อเวลา 18:00 เราก็พายเรือกลับแพ ไปอาบน้ำ เตรียมกินข้าวมื้อที่สอง Can't wait !!
"Dinner" นี่แหละค่ะ ไม่ว่าคุณจะมาเยอะหรือมาน้อยเค้าก็จะจัดเป็นชุดอาหารให้คุณได้ทาน อย่างสำราญ เติมได้ด้วย ฟรี !!! แต่ลืมบอกไปว่าน้ำและขนมที่นี่ชาร์ตแพงอยู่นะ
แนะนำเตรียมมาเอง เหมือนห้องข้างๆที่พกมาเป็นลัง เห็นแล้วก็อิจฉา เพราะตัวเองได้แต่กินน้ำเปล่า โธ่ววววววว
#ไฟฟ้าจะเปิดให้ใช้ได้ 18:00-22:00 แค่นั้น สามารถชาตแบตได้หน้าห้องพยาบาล
ได้เวลาเก็บบรรยากาศ แต่เสียใจที่ไม่มีดาวให้ดูเลย เพราะเมฆหนามาก ได้แค่ฟังเพลง ฟังเสียงลม
และดูพระจันทร์ จนกระทั่งสองทุ่มกว่า ก็เข้านอน
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น