สวัสดีคับ วันนี้ขออนุญาตินำบทความจากหลายๆที่ซึ่งเป็นศาสตร์ฟุตบอลชั้นสูงที่เขาเปิดสอนกันในระดับโปร ไลเซ่นซ์ รวมไปถึงหลายท่านอาจสามารถค้นคว้าได้ตามหน้าแมกกาซีน หรือ ออนไลน์ นำมาผนวชเป็นเรื่องราวให้เพื่อนๆในสู้สู้ได้อ่านกันนะคับ
ออกตัวก่อนนะคับว่าบางส่วนของเนื้อหานำมาจากบทความของท่านอื่นซึ่งผมจะลงเครดิตให้ในตอนท้ายของด้านล่างนี้
อย่างที่เราๆท่านๆทราบดีว่าระบบการเล่นของทีมชาติไทยในสมัยที่โค้ชซิโก้คุมทีมนั้นจะถูกขนานนามว่า "ติกี้ ตากา" หรือ "ติ๊กต็อกสไตล์" นั่นละ มันคือวิธีการเล่นรูปแบบนึงซึ่งเป็นหนึ่งในศาสตร์การเล่นฟุตบอลแบบโทเทิลฟุตบอล โดยอิงพื้นฐานที่ว่าบอลต้องเคลื่อนที่ตลอด หรือ เรียกสั้นๆว่า "ให้เเล้วไป" (Give and Go) โดยสโมสรที่นำหลักการนี้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในรอบศตวรรษที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้น ทีมบาร์เซโลน่า ทีมใหญ่จากแดนกระทิงดุ ที่มีนักเตะระดับคุณภาพคัพเเก้วอยู่เต็มสโมสร และหากพูดถึงในระดับทีมชาติที่นำระบบนี้มาเล่นอย่างมีประสิทธิ์ผล ก็คือ ทีมชาติฮอลแลนด์นั่นเอง เป็นศาสตร์เฉพาะของขุนพลดัตช์
ารู้ไม่คับว่าที่มาของศาสตร์นี้เริ่มจากสโมสรเล็กๆ คือ สโมสรอาเเจ็ก อัมสเตอร์ดัม นี่เองที่เป็นผู้คิดค้นสไตล์การเล่นนี้และผู้ที่สรรค์สร้างปรากฎการณ์นี้ขึ้นมา มีนามว่า ไรนุส มิเชลส์ (Rinus Michels) หรือที่มีฉายาว่า "ท่านนายพล" ยอดกุนซือสมองเพชรของอาแจ็ก ผู้ทำให้ทีมธรรมดาๆ จากประเทศเล็กๆ กลายเป็นแชมป์ยุโรป 3 สมัยซ้อน ในปี 1971-73 นอกจากนี้ เจ้าตัวยังพาอาเเจ็กทำสถิติสุดอลังการงานสร้าง ด้วยการชนะรวดในบ้าน 46 เกม ติดต่อกันในลีก หรือเป็นเวลาล่วงไปกว่า 2 ฤดูกาลเต็ม โดยที่ไม่แพ้ใครเลย และไม่แม้แต่จะเสมอด้วยซ้ำ (46-0-0) อย่างไรก็ตาม ศาสตร์นี้ก็ค่อยๆ เงียบเหงาไป หลังจากที่ไรนุส มิเชลส์ เริ่มโรยราและวางมือจากวงการลูกหนัง เหลือไว้เพียงศิษย์เอกของเขา นั่นก็คือ ครัฟฟ์ ซึ่งหลังจากที่แขวนสตั๊ดไปแล้ว เขาก็กลับมาในฐานะกุนซือของอาเเจ็กพ่วงด้วยมันสมองที่เต็มไปด้วย โททัล ฟุตบอลเต็มที่ แต่กระนั้น ครัฟฟ์ก็ไม่สามารถทำสิ่งที่ไรนุส มิเชลส์ เคยทำเอาไว้ได้ เจ้าตัวจึงตัดสินใจย้ายไปคุมบาร์เซโลน่า อีกหนึ่งอดีตต้นสังกัด และที่นี่เอง ที่เขาได้ตัดสินใจเอาศาสตร์โททัล ฟุตบอล มาดัดแปลงให้เข้ากับยอดทีมจากสเปน โดยเน้นเพียงการต่อบอลขึ้นไปทำประตูเท่านั้น จนประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้ 4 สมัย ติดต่อกัน (90-91 ถึง 93-94) นอกจากนี้ ยังพาเจ้าบุญทุ่ม คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เป็นสมัยแรกของสโมสร ในปี 1992 อีกด้วย
ทีนี้มันเกี่ยวยังไงกับทีมไทยเราล่ะ?
เกี่ยวซิคับ การเล่นแบบโทเทิลฟุตบอลมีพื้นฐานหลักๆตรงที่ว่า นักเตะในทีมสามารถทดแทนได้ด้วยกันทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีตำแหน่งเฉพาะตายตัว ทุกตำแหน่งสามารถเล่นเกมรับได้และใครก็ทำประตูได้ด้วยเช่นกัน เราจึงเห็นบ่อยครั้งในระดับอาเซียนที่ทีมไทยได้ประตูจากกองกลาง และ ปีกมากกว่าศูนย์หน้า แต่ข้อจำกัดของศาสตร์ฟุตบอลนี้คือมันเหมาะมากกับพื้นฐานของทีมที่มีนักเตะคุณภาพสูงและในทีมมีมาตราฐานสูงกันยกทีม นักเตะในทีมหลายคนเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์และมีความฟิตถึง แต่หากพูดถึงทีมชาติไทยเเล้วมันอาจจะไม่เหมาะเท่าไร อย่าลืมนะคับเมื่อคุณเผชิญหน้ากับคู่เเข่งที่อยู่ในระดับสูงขึ้น กลยุทธิ์ที่ใช่ย่อมต้องเปลี่ยนไป ทีมไทยเองอาจใช้ศาสตร์นี้ได้ผลดีเมื่อเจอทีมที่มีชื่อชั้นต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกัน แต่ในกรณีรอบสามของบอลโลกอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูก และอีกอย่างไทยไม่ได้มีนักเตะที่อยู่ในระดับการเล่นที่เท่ากัน เซ้นส์บอลก็ต่าง แถมเรื่องสภาพความฟิตก็มีไม่ถึงในบางคน อย่างที่เราเห็นในสนามพอผ่านไป70นาที (น้องบางคนหมดเสียเเล้วและตัวสำรองที่ถูกเปลี่ยนลงมาก็ไม่สามารถทดแทนตัวจริงได้) ด้วยเหตุนี้การจะเปิดเกมรุกโดยเลือกใช้ศาสตร์นี้เล่นในรายการใหญ่จึงยังไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรเมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ไทยมี นั่นแหละคับ คือที่มาของการแพ้เละเทะ ในบอลโลก
ทีนี้จะเล่นอย่างไร ?ให้ได้สูสีกับท็อปเอเซีย
เมื่อศักยภาพสู้เขาไม่ได้ก็ต้องเล่นเเบบรู้จักตัวเอง นั่นคือ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ นั่นแหละคับ..คือที่มาของ ราเยวัช กุนซือที่ตอบโจทย์ในเวลานี้ อย่างที่ลุงเฮงให้สัมภาษณ์อยู่บ่อยๆ ว่าไทยเสียการครอบครองบอลง่ายและไม่เล่นเกมรับเป็นระบบ (ไม่รับทั้งทีม) และในตอนสัมภาษณ์คัดเลือกผู้สมัคร ลุงเฮงยังเปิดใจเลยด้วยว่าคำแรกของราเยวัชคือตอบได้โดนใจโค้ชเฮงเลยคือ ไทยเเลนด์เวย์ที่ผ่านมาเราเลือกกลยุทธลงเล่นในบอลโลกรอบคัดเลือก รอบสามนี้ไม่ค่อยถูกเท่าไร ชอบเล่นเกมรุกมากกว่ารับ และเสียตำแหน่งบ่อย
อย่าลืมนะคับว่ารอบ2 เพื่อนร่วมกลุ่มของเรามี อิรัก เวียดนาม ไต้หวัน ก็ไม่แปลกที่เราจะเข้ารอบด้วยติ๊กต็อกสไตด์ แต่ในรอบ3นี้ มันยากขึ้นเพราะมี ญี่ปุ่น, อิรัก, ยูเออี, ซาอุฯ และคนคุ้นเคยอย่างออสซี่ เห็นไหมคับชื่อทีมที่อยู่กับเรา ระดับเขาสูงกว่าทั้งหมด หากเรายังเอากลยุทธเดิมไปเล่น มันก็อย่างที่เห็นคือ เละ เสียมากถึง 19 ลูกใน7เกม แถมบ๊ายบายรัสเซียตั้งแต่ไก่โห่
ดีตกุนซือผู้เคยพาทีมกาน่าเข้ารอบ8ทีมสุดท้ายรู้ในจุดอ่อนของทีมชาติไทย นั่นแหละคือ โจทย์แรกที่สมค.ให้คือ การเข้ามารีเซ็ตระบบเกมรับไทยใหม่ โดยวางเป้าไว้ว่าใน3นัดในรายการบอลโลก รอบคัดเลือกรอบสุดท้าย ไทยควรชนะอย่างน้อย1นัดและมีซัก 3-4 เเต้มใน3เกมที่เหลือก็จะถือว่าสอบผ่าน นั่นแหละจึงเป็นที่มาของ Catenaccio THAI หรือ "คาเตนัชโช่ ไทย" (ซึ่งในเกมอย่างเป็นทางการเกมเเรก เขาก็เกือบทำสำเร็จ ถ้านายมาบฮุตไม่ยิงได้ในนาทีสุดท้ายของทดเวลา)
ในบอลโลกปี2010 ที่ลุงวัชแกลงคุมทีมข้างสนาม รอบเเบ่งกลุ่ม กาน่าอยู่ในกลุ่มD มีเพื่อนร่วมกลุ่มคือ เยอรมัน, เซอร์เบีย และ ออสเตรเลีย ซึ่งชื่อชั้นในขณะนั้นล้วยมีภาษีดีกว่าเกือบทั้งหมด ยกเว้นก็เเค่ออสซี่ที่ดูคู่คี่สูสี แต่ด้วยแผนการเล่นแบบ คาเตนัชโช่นี้ตลอด3นัด แกสามารถพาทีมกาน่าชนะเซอร์เบีย 1-0 เสมอออสซี่ 1-1 เเพ้เยอรมัน 0-1 (เห็นไหมล่ะคับว่าสกอร์มันไม่ขาดเลยทั้งสามเกมเรียกว่าเล่นหวังผลที่สุด) กาน่าทะลุเข้ารอบ8ทีมสุดท้ายได้สำเร็จแถมยังเกือบจะเข้าไปเล่นรอบ4ทีมสุดท้ายได้อีกด้วย (ถ้าไม่โดนหัตรพระเจ้าของซัวเรซในเกมกับอุรุกวัย ที่เสมอกัน1-1) อันนี้ก็ต้องให้เครดิตลุงเขาเหมือนกันว่าปรัชญาการทำทีมแบบใช้คาเตนัชโช่เมื่อเจอคู่เเข่งที่เหนือกว่ามันได้ผล
ขยายความหน่อย มันคืออะไร?
คาเตนัคโช่ คือ รูปแบบการเล่นที่คิดค้นขึ้นในประเทศออสเตรียและถูกพัฒนาโดยอิตาลี โดยคนที่คิดค้นคือ Karl Rappan โค้ชชาวออสเตรียผู้ที่คุมทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์ในยุค 1930 ซึ่งยุคนั้นกล่าวได้ว่าทีมที่ไม่มีคนร็จักอย่างสวิสเซอร์แลนด์กลับกลายเป็นทีมที่เสียประตูยากและเด่นขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตาบนตารางคะเเนนฟีฟ่า และในรายการใหญ่ๆหลายรายการ

ดยคาเตนัชโช่ถูกนำมาใช้จนมีชื่อเสียงมากที่สุด คือยุคของ เอเลนิโอ้ เอร์ราร่า ของอินเตอร์ มิลาน ชุดครองยุโรป ในช่วงทศวรรษที่ 1960s ซึ่งคำว่า "คาเตนัคโช่" มีความหมายว่า "ปิดประตู" เป็นรูปแบบการเล่น ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับสไตล์เกมรุกโดยเฉพาะโททัล ฟุตบอล ซึ่งลักษณะการเล่นจะเป็นแบบเน้นเกมรับซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วค่อยโต้อย่างมีระบบ เล่นในลักษณะคุมโซน ทุกคนมีหน้าที่ประกบคู่ต่อสู้ พยายามอย่าเสียพื้นที่ตัวเอง อันเนื่องมาจากโททัล ฟุตบอล นั้น ไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นมาลุ้นทำประตูได้ จึงทำให้คาเตนัคโช่ ต้องเน้นการตั้งรับแบบคุมโซน ซึ่งรูปแบบการเล่นนี้เอง ที่ทำให้ฟุตบอลอิตาลีค่อนข้างจะน่าเบื่อ ยิงประตูกันน้อย และชัยชนะส่วนใหญ่ในยุคนั้น มีน้อยมากที่จะขาดเกิน 3 ลูก ส่วนใหญ่แล้ว สกอร์ที่ชนะกันเยอะที่สุด คือ 1-0 และบ่อยครั้งที่เสมอกัน 0-0
ลักษณะเด่นที่สำคัญของคาเตนัคโช่ คือ การนำบทบาทของลิเบอโร่ (ตัวฟรี) หรือที่เรียกว่า "สวีปเปอร์" ที่อยู่ในตำแหน่งด้านหลังของเซ็นเตอร์แบ็ค มีหน้าที่ในการเก็บกวาด บอลที่หลุดจากเซ็นเตอร์มา เหมือนเป็นกำแพงชั้นที่สอง ไว้คอยกั้นแนวรุกฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
ทำความรู้จัก Catenaccio style จากสวิสมาอิตาลีและมาสู่ทีมชาติไทย
ออกตัวก่อนนะคับว่าบางส่วนของเนื้อหานำมาจากบทความของท่านอื่นซึ่งผมจะลงเครดิตให้ในตอนท้ายของด้านล่างนี้
อย่างที่เราๆท่านๆทราบดีว่าระบบการเล่นของทีมชาติไทยในสมัยที่โค้ชซิโก้คุมทีมนั้นจะถูกขนานนามว่า "ติกี้ ตากา" หรือ "ติ๊กต็อกสไตล์" นั่นละ มันคือวิธีการเล่นรูปแบบนึงซึ่งเป็นหนึ่งในศาสตร์การเล่นฟุตบอลแบบโทเทิลฟุตบอล โดยอิงพื้นฐานที่ว่าบอลต้องเคลื่อนที่ตลอด หรือ เรียกสั้นๆว่า "ให้เเล้วไป" (Give and Go) โดยสโมสรที่นำหลักการนี้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในรอบศตวรรษที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้น ทีมบาร์เซโลน่า ทีมใหญ่จากแดนกระทิงดุ ที่มีนักเตะระดับคุณภาพคัพเเก้วอยู่เต็มสโมสร และหากพูดถึงในระดับทีมชาติที่นำระบบนี้มาเล่นอย่างมีประสิทธิ์ผล ก็คือ ทีมชาติฮอลแลนด์นั่นเอง เป็นศาสตร์เฉพาะของขุนพลดัตช์
ารู้ไม่คับว่าที่มาของศาสตร์นี้เริ่มจากสโมสรเล็กๆ คือ สโมสรอาเเจ็ก อัมสเตอร์ดัม นี่เองที่เป็นผู้คิดค้นสไตล์การเล่นนี้และผู้ที่สรรค์สร้างปรากฎการณ์นี้ขึ้นมา มีนามว่า ไรนุส มิเชลส์ (Rinus Michels) หรือที่มีฉายาว่า "ท่านนายพล" ยอดกุนซือสมองเพชรของอาแจ็ก ผู้ทำให้ทีมธรรมดาๆ จากประเทศเล็กๆ กลายเป็นแชมป์ยุโรป 3 สมัยซ้อน ในปี 1971-73 นอกจากนี้ เจ้าตัวยังพาอาเเจ็กทำสถิติสุดอลังการงานสร้าง ด้วยการชนะรวดในบ้าน 46 เกม ติดต่อกันในลีก หรือเป็นเวลาล่วงไปกว่า 2 ฤดูกาลเต็ม โดยที่ไม่แพ้ใครเลย และไม่แม้แต่จะเสมอด้วยซ้ำ (46-0-0) อย่างไรก็ตาม ศาสตร์นี้ก็ค่อยๆ เงียบเหงาไป หลังจากที่ไรนุส มิเชลส์ เริ่มโรยราและวางมือจากวงการลูกหนัง เหลือไว้เพียงศิษย์เอกของเขา นั่นก็คือ ครัฟฟ์ ซึ่งหลังจากที่แขวนสตั๊ดไปแล้ว เขาก็กลับมาในฐานะกุนซือของอาเเจ็กพ่วงด้วยมันสมองที่เต็มไปด้วย โททัล ฟุตบอลเต็มที่ แต่กระนั้น ครัฟฟ์ก็ไม่สามารถทำสิ่งที่ไรนุส มิเชลส์ เคยทำเอาไว้ได้ เจ้าตัวจึงตัดสินใจย้ายไปคุมบาร์เซโลน่า อีกหนึ่งอดีตต้นสังกัด และที่นี่เอง ที่เขาได้ตัดสินใจเอาศาสตร์โททัล ฟุตบอล มาดัดแปลงให้เข้ากับยอดทีมจากสเปน โดยเน้นเพียงการต่อบอลขึ้นไปทำประตูเท่านั้น จนประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้ 4 สมัย ติดต่อกัน (90-91 ถึง 93-94) นอกจากนี้ ยังพาเจ้าบุญทุ่ม คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เป็นสมัยแรกของสโมสร ในปี 1992 อีกด้วย
ทีนี้มันเกี่ยวยังไงกับทีมไทยเราล่ะ?
เกี่ยวซิคับ การเล่นแบบโทเทิลฟุตบอลมีพื้นฐานหลักๆตรงที่ว่า นักเตะในทีมสามารถทดแทนได้ด้วยกันทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีตำแหน่งเฉพาะตายตัว ทุกตำแหน่งสามารถเล่นเกมรับได้และใครก็ทำประตูได้ด้วยเช่นกัน เราจึงเห็นบ่อยครั้งในระดับอาเซียนที่ทีมไทยได้ประตูจากกองกลาง และ ปีกมากกว่าศูนย์หน้า แต่ข้อจำกัดของศาสตร์ฟุตบอลนี้คือมันเหมาะมากกับพื้นฐานของทีมที่มีนักเตะคุณภาพสูงและในทีมมีมาตราฐานสูงกันยกทีม นักเตะในทีมหลายคนเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์และมีความฟิตถึง แต่หากพูดถึงทีมชาติไทยเเล้วมันอาจจะไม่เหมาะเท่าไร อย่าลืมนะคับเมื่อคุณเผชิญหน้ากับคู่เเข่งที่อยู่ในระดับสูงขึ้น กลยุทธิ์ที่ใช่ย่อมต้องเปลี่ยนไป ทีมไทยเองอาจใช้ศาสตร์นี้ได้ผลดีเมื่อเจอทีมที่มีชื่อชั้นต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกัน แต่ในกรณีรอบสามของบอลโลกอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูก และอีกอย่างไทยไม่ได้มีนักเตะที่อยู่ในระดับการเล่นที่เท่ากัน เซ้นส์บอลก็ต่าง แถมเรื่องสภาพความฟิตก็มีไม่ถึงในบางคน อย่างที่เราเห็นในสนามพอผ่านไป70นาที (น้องบางคนหมดเสียเเล้วและตัวสำรองที่ถูกเปลี่ยนลงมาก็ไม่สามารถทดแทนตัวจริงได้) ด้วยเหตุนี้การจะเปิดเกมรุกโดยเลือกใช้ศาสตร์นี้เล่นในรายการใหญ่จึงยังไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรเมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ไทยมี นั่นแหละคับ คือที่มาของการแพ้เละเทะ ในบอลโลก
ทีนี้จะเล่นอย่างไร ?ให้ได้สูสีกับท็อปเอเซีย
เมื่อศักยภาพสู้เขาไม่ได้ก็ต้องเล่นเเบบรู้จักตัวเอง นั่นคือ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ นั่นแหละคับ..คือที่มาของ ราเยวัช กุนซือที่ตอบโจทย์ในเวลานี้ อย่างที่ลุงเฮงให้สัมภาษณ์อยู่บ่อยๆ ว่าไทยเสียการครอบครองบอลง่ายและไม่เล่นเกมรับเป็นระบบ (ไม่รับทั้งทีม) และในตอนสัมภาษณ์คัดเลือกผู้สมัคร ลุงเฮงยังเปิดใจเลยด้วยว่าคำแรกของราเยวัชคือตอบได้โดนใจโค้ชเฮงเลยคือ ไทยเเลนด์เวย์ที่ผ่านมาเราเลือกกลยุทธลงเล่นในบอลโลกรอบคัดเลือก รอบสามนี้ไม่ค่อยถูกเท่าไร ชอบเล่นเกมรุกมากกว่ารับ และเสียตำแหน่งบ่อย
อย่าลืมนะคับว่ารอบ2 เพื่อนร่วมกลุ่มของเรามี อิรัก เวียดนาม ไต้หวัน ก็ไม่แปลกที่เราจะเข้ารอบด้วยติ๊กต็อกสไตด์ แต่ในรอบ3นี้ มันยากขึ้นเพราะมี ญี่ปุ่น, อิรัก, ยูเออี, ซาอุฯ และคนคุ้นเคยอย่างออสซี่ เห็นไหมคับชื่อทีมที่อยู่กับเรา ระดับเขาสูงกว่าทั้งหมด หากเรายังเอากลยุทธเดิมไปเล่น มันก็อย่างที่เห็นคือ เละ เสียมากถึง 19 ลูกใน7เกม แถมบ๊ายบายรัสเซียตั้งแต่ไก่โห่
ดีตกุนซือผู้เคยพาทีมกาน่าเข้ารอบ8ทีมสุดท้ายรู้ในจุดอ่อนของทีมชาติไทย นั่นแหละคือ โจทย์แรกที่สมค.ให้คือ การเข้ามารีเซ็ตระบบเกมรับไทยใหม่ โดยวางเป้าไว้ว่าใน3นัดในรายการบอลโลก รอบคัดเลือกรอบสุดท้าย ไทยควรชนะอย่างน้อย1นัดและมีซัก 3-4 เเต้มใน3เกมที่เหลือก็จะถือว่าสอบผ่าน นั่นแหละจึงเป็นที่มาของ Catenaccio THAI หรือ "คาเตนัชโช่ ไทย" (ซึ่งในเกมอย่างเป็นทางการเกมเเรก เขาก็เกือบทำสำเร็จ ถ้านายมาบฮุตไม่ยิงได้ในนาทีสุดท้ายของทดเวลา)
ในบอลโลกปี2010 ที่ลุงวัชแกลงคุมทีมข้างสนาม รอบเเบ่งกลุ่ม กาน่าอยู่ในกลุ่มD มีเพื่อนร่วมกลุ่มคือ เยอรมัน, เซอร์เบีย และ ออสเตรเลีย ซึ่งชื่อชั้นในขณะนั้นล้วยมีภาษีดีกว่าเกือบทั้งหมด ยกเว้นก็เเค่ออสซี่ที่ดูคู่คี่สูสี แต่ด้วยแผนการเล่นแบบ คาเตนัชโช่นี้ตลอด3นัด แกสามารถพาทีมกาน่าชนะเซอร์เบีย 1-0 เสมอออสซี่ 1-1 เเพ้เยอรมัน 0-1 (เห็นไหมล่ะคับว่าสกอร์มันไม่ขาดเลยทั้งสามเกมเรียกว่าเล่นหวังผลที่สุด) กาน่าทะลุเข้ารอบ8ทีมสุดท้ายได้สำเร็จแถมยังเกือบจะเข้าไปเล่นรอบ4ทีมสุดท้ายได้อีกด้วย (ถ้าไม่โดนหัตรพระเจ้าของซัวเรซในเกมกับอุรุกวัย ที่เสมอกัน1-1) อันนี้ก็ต้องให้เครดิตลุงเขาเหมือนกันว่าปรัชญาการทำทีมแบบใช้คาเตนัชโช่เมื่อเจอคู่เเข่งที่เหนือกว่ามันได้ผล
ขยายความหน่อย มันคืออะไร?
คาเตนัคโช่ คือ รูปแบบการเล่นที่คิดค้นขึ้นในประเทศออสเตรียและถูกพัฒนาโดยอิตาลี โดยคนที่คิดค้นคือ Karl Rappan โค้ชชาวออสเตรียผู้ที่คุมทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์ในยุค 1930 ซึ่งยุคนั้นกล่าวได้ว่าทีมที่ไม่มีคนร็จักอย่างสวิสเซอร์แลนด์กลับกลายเป็นทีมที่เสียประตูยากและเด่นขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตาบนตารางคะเเนนฟีฟ่า และในรายการใหญ่ๆหลายรายการ
ดยคาเตนัชโช่ถูกนำมาใช้จนมีชื่อเสียงมากที่สุด คือยุคของ เอเลนิโอ้ เอร์ราร่า ของอินเตอร์ มิลาน ชุดครองยุโรป ในช่วงทศวรรษที่ 1960s ซึ่งคำว่า "คาเตนัคโช่" มีความหมายว่า "ปิดประตู" เป็นรูปแบบการเล่น ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับสไตล์เกมรุกโดยเฉพาะโททัล ฟุตบอล ซึ่งลักษณะการเล่นจะเป็นแบบเน้นเกมรับซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วค่อยโต้อย่างมีระบบ เล่นในลักษณะคุมโซน ทุกคนมีหน้าที่ประกบคู่ต่อสู้ พยายามอย่าเสียพื้นที่ตัวเอง อันเนื่องมาจากโททัล ฟุตบอล นั้น ไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นมาลุ้นทำประตูได้ จึงทำให้คาเตนัคโช่ ต้องเน้นการตั้งรับแบบคุมโซน ซึ่งรูปแบบการเล่นนี้เอง ที่ทำให้ฟุตบอลอิตาลีค่อนข้างจะน่าเบื่อ ยิงประตูกันน้อย และชัยชนะส่วนใหญ่ในยุคนั้น มีน้อยมากที่จะขาดเกิน 3 ลูก ส่วนใหญ่แล้ว สกอร์ที่ชนะกันเยอะที่สุด คือ 1-0 และบ่อยครั้งที่เสมอกัน 0-0
ลักษณะเด่นที่สำคัญของคาเตนัคโช่ คือ การนำบทบาทของลิเบอโร่ (ตัวฟรี) หรือที่เรียกว่า "สวีปเปอร์" ที่อยู่ในตำแหน่งด้านหลังของเซ็นเตอร์แบ็ค มีหน้าที่ในการเก็บกวาด บอลที่หลุดจากเซ็นเตอร์มา เหมือนเป็นกำแพงชั้นที่สอง ไว้คอยกั้นแนวรุกฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง