เมื่อวันจันทร์ ได้ลองเคี้ยวอาหาร นิ่มๆ หลังจากผ่านการผ่าตัดภายในช่องปาก ทั้งขากรรไกรบนและขากรรไกรล่าง อ้าปากได้แต่ยังอ้าปากได้ไม่กว้างเท่าไหร่ ผ่านมาสี่สัปดาห์หลังผ่าตัด อ้าปากได้กว้างประมาณหนึ่งนิ้วมือตัวเองเข้าไปในปากได้ พยายามฝึกอ้าปาก เพื่อที่จะได้อ้าปากได้กว้างๆ เหมือนเดิม ลองเคี้ยวอาหารอ่อนๆ นิ่มๆ มีความรู้สึกเหมือนไม่ได้เคี้ยวอาหาร เพราะไม่มีความรู้สึก เนื่องมาจากอาการชา คือเคี้ยวอาหารในปาก แต่ความรู้สึกเหมือนไม่มีอาหารอยู่ในปาก เหงือกชา วันแรกที่เริ่มเคี้ยวอาหาร ช้อนปกติเข้าไปในปากไม่ได้ ต้องใช้ช้อนที่ตักโยเกริต์ มาตักอาหารเข้าไปในปากแทน เพราะอ้าปากได้ไม่กว้าง แต่ตอนนี้ฝึกอ้าปากให้กว้างกว่าเดิม ตอนนี้ก็เลยอ้าปากได้กว้างจนช้อนปกติ สามารถเข้าไปในปากได้แล้ว แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าไหร่ บางครั้งอาหารชน ปลายฟันบน หล่นจากช้อนไม่เข้าปาก
ขำตัวเองเหมือนกัน เหมือนเด็กเล็กๆ หัดกินข้าว หัดพูด หัดอ้าปาก หลังจากผ่านการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติของขากรรไกรและก็ถูกมัดฟันด้วยยางสี่สัปดาห์ ครบสี่สัปดาห์ก็หัดอ้าปาก หัดเคี้ยวอาหาร เพราะช่วงแรกๆ กินแต่อาหารเหลวเป็นน้ำ กินได้ทุกอย่าง แต่ต้องนำมาปั่นในเครื่องปั่นอาหารแล้วผสมน้ำซุปให้เยอะๆ จนได้อาหารเหลวเป็นน้ำ แล้วก็ใช้หลอดดูดเข้าไปตามซอกฟัน พอมีซอกฟันที่ฟันยังไม่สบสนิท พอดูดอาหารเหลว ให้ชีวิตได้อยู่ต่อ ผ่านมาแล้วจะหนึ่งเดือน ตอนแรกๆ ที่ใช้หลอดดูดอาหารเหลวนั้นถ้าอาหารมีกาก จะไม่สะดวกเวลากิน เพราะกากอาหารจะไปติดที่ซอกฟัน แล้วจะอุดตันตรงซอกฟัน ตรงจุดที่นั้น ทำให้ดูดของเหลวไม่ได้ขึ้น ต้องนำกากอาหารที่ติดซอกฟันออกก่อน ถึงจะดูดอาหารเหลวต่อได้ เพราะว่าวันนั้นปั่นถั่วเขียวต้มน้ำตาลแล้วใส่นมจืด เผอิญปั่นถั่วเขียวไม่ละเอียด ยังมีกากถั่วเขียว ตอนแรกก็ดูดเข้าไปในปากได้ดี แถมอร่อยด้วย เป็นถั่วเขียวต้มน้ำตาลที่อร่อยมาก หรือว่าเป็นของหวานชามแรกที่ได้กินหลังผ่าตัดในช่องปากผ่านไปไม่กี่วัน สักพักทำไมดูดไม่ขึ้น ยิงฟันดูในกระจก กากถั่วเขียวติดที่ซอกฟัน ทำให้ไม่ช่องว่างระหว่างฟัน เลยดูดไม่ขึ้น ต้องใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มกากถั่วเขียวที่ติดซอกฟันออก แล้วดูดต่อ ถึงจะกินได้ ที่ปั่นถั่วเขียวไม่ละเอียด
เพราะใช้เครื่องสกัดน้ำผักผลไม้ปั่น ความแรงของมอเตอร์ไม่แรงพอ ทำให้ปั่นถั่วเขียวไม่ละเอียด ได้ประสบการณ์ ครั้งต่อมาก็ต้องนำมากรอกกากออกก่อนจะดูด คราวนี้ แป๊ปเดียวดูดเกลี้ยงเลย ไม่มีเหลือ เพราะไม่มีกากติดซอกฟัน นั่งปั่นอาหารเหลว สกัดน้ำผลไม้ น้ำสัปปะรด น้ำองุ่น น้ำกีวี น้ำแคนตาลูป น้ำส้ม น้ำฝรั่ง แต่ที่อร่อยก็ น้ำแครอท เพิ่งจะรู้ว่าหวานอร่อย ถ้าไม่ผ่าตัดในช่องปากก็คงไม่ได้รับรู้ความอร่อยของผักและผลไม้เหล่านี้ น้ำแคนตาลูปสกัดออกมาแล้วผสมกับนมจืด จากนมจืดกลายเป็นนมหวานหอมอร่อย หวานจากแคนตาลูป อร่อย น้ำมะเขือเทศอีก แต่ไม่ได้กินบ่อยเพราะในน้ำมะเขือเทศมีโพแทสเซียมสูง จำได้ว่าสกัดน้ำมะเขือแค่ครั้งเดียว
น้ำซุปจะต้มเอง ต้มจากกระดูกหมูหรือน่องไก่ ใส่หัวไชเท้า มั่นฝรั่ง แครอท ต้มจนเปื่อย แล้วก็นำมาปั่นเป็นอาหารเหลว ที่ปั่นก็มี เนื้อไก่สองช้อน หัวไชเท้าสองชิ้นหั่นเป็นแว่นๆ มันฝรั่งสองชิ้นหั่นเป็นแว่นๆ แครอทสองชิ้นหั่นเป็นแว่นๆ แล้วก็ข้าวสุกหนึ่งช้อน ใส่น้ำซุปที่อุ่นๆ ใส่น้ำซุปเยอะๆ ถ้าใส่น้ำซุปน้อย ปั่นออกมาแล้วค่อนข้างหนืด ดูดลำบาก บางทีก็ดูดไม่ขึ้น ต้องให้เหลวเป็นน้ำจะดูดง่าย ประสบการณ์ในการปั่นอาหารเหลว ถ้าใครไม่เคยผ่านเรื่องอย่างนี้จะไม่รู้ว่าการกินมีความลำบากแค่ไหน แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา หาทางกินจนได้ ไม่งั้นน้ำหนักลด แค่เดือนเดียวน้ำหนักลดลงไปห้ากิโล
หลังจากที่กินเสร็จทุกครั้งต้องแปรงฟัน สามารถแปรงฟันได้แม้ว่าภายในช่องปากจะบวมอยู่ก็ตาม เราแปรงฟันหลังจากผ่าตัดผ่านไปห้าวัน สี่วันแรกไม่ได้แปรงฟันเพราะปากบวมมาก หลังจากนั้นปากค่อยๆ หายบวม ค่อยๆ แปรงฟัน เพราะสองสัปดาห์ถึงได้ตัดไหมภายในช่องปากแผลที่ผ่าตัด แล้วก็บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ได้มาจากโรงพยาบาลที่ให้มาพร้อมกับยามากินที่บ้าน ในวันที่ออกจากโรงพยาบาล สำคัญที่สุดต้องกินยาให้หมดที่ได้รับยามา โดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อ แล้วก็รักษาความสะอาดภายในช่องปาก เราจะแปรงฟันทุกครั้งหลังจากที่กินเสร็จแล้วก็บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก
อาการบวมของใบหน้าและปาก จะบวมมากสามถึงสี่วันแรกๆ หลังจากนั้นครบหนึ่งสัปดาห์ก็จะเริ่มยุบลงแต่ก็คงบวมเห็นได้บ้าง สองสัปดาห์ถึงจะเข้าปกติถึงบวมก็แค่นิดๆ พอมองไม่ออกเท่าไหร่ว่าบวม พยามปะคบเย็นในช่วงสามสี่วันแรกๆ ที่อยู่โรงพยาบาล เพื่อที่จะได้ลดบวม ความเย็นทำให้เลือดหยุดไหลภายในช่องปาก และตามเส้นเลือดฝอยที่แก้ม คาง เพราะตอนบ้วนปาก เลือดที่ไหลอยู่ในปากจากแผลผ่าตัด ออกมาเป็นลิ่มๆ เลย เพราะความเย็นทำให้เลือดแข็งตัว กลับมาบ้านถึงได้ปะคบร้อนช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวทำให้เส้นเลือดที่แก้ม คาง เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ แต่ว่าจะหน้าจะบวมเพราะความร้อนทำให้เส้นเลือดขยายตัว แต่ดีตรงที่ว่าความร้อนช่วยทำให้ระบบประสาทฟื้นตัว เพราะเวลาที่ปะคบร้อน จะรู้สึกยิบๆ ที่ริมฝีปาก ช่วยลดอาการชาที่ใบหน้า และภายในช่องปาก แต่ก็ยังไม่หายชาเลยทีเดียว ความรู้สึกค่อยๆ ดีขึ้น ส่วนที่ชามากที่สุดก็เป็นบริเวณปาก ไม่รับรู้อะไรเลย จำได้ว่าวันแรกหลังผ่าตัดน้ำลายไหลโดยไม่รู้สึก เพราะความชา จนถึงวันนี้หนึ่งเดือน ก็ยังคงชาไม่รู้สึก แต่ไม่มากเท่ากับวันแรก แต่น้ำลายเริ่มจะควบคุมได้ มีบ้างที่น้ำลายไหลโดยไม่รู้ตัว แต่น้อยครั้ง เพราะแก้ปัญหา ด้วยการกลืนน้ำลายบ่อยๆ
ความเจ็บปวดหลังจากผ่าตัดภายในช่องปาก ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดอะไร เพราะความรู้สึกมันชาไปหมด ตั้งแต่ใต้ตาลงมาถึงปลายคาง คือใช้มือจับที่มุมปากทั้งสองข้าง แล้วลากขึ้นไปชนกับขอบตาล่าง แล้วลากลงมาถึงปลายคาง เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า คือบริเวณที่ชา แก้มไม่ได้ชาทั้งแก้ม แก้มชาแค่ครึ่งเดียวแค่มุมปาก หลังกลับมาพักฟื้นที่บ้านสัปดาห์แรก เวลานอนจะรู้สึกปวดที่ขมับกับแก้วหู เป็นอยู่แค่สัปดาห์เดียวแล้วก็หายปวดไปเอง ไม่ได้กินยาแก้ปวดอะไร น่าจะมาจากกล้ามเนื้อที่ผ่าตัดขากรรไกร กล้ามเนื้อดึงกัน เลยทำให้รู้สึกปวดที่ขมับและแก้วหู เวลาที่นอนราบ แต่ถ้านอนหนุน 45 องศา จะไม่ปวดขมับและแก้วหูเท่าไหร่ แล้วอาการหูอื้อ จะเกิดขึ้นหลังจากรู้สึกตัว หลังจากที่ออกจากห้องผ่าตัด เรารู้สึกว่าเหมือนมีอะไรในหู เวลาจะลุกนั่ง หรือเวลาจะนอน ภายในหูจะมีเสียงกึกๆ ตอนแรกเรานึกว่า ขี้หู หรือเปล่า อาการนี้หายไปตอนวันที่ออกจากโรงพยาบาล มายืนรอรถกลับมา หูหายอื้อ ถ้าให้สรุปความเจ็บปวด สำหรับเราไม่เจ็บไม่ปวดอะไรเลย เท่ากับ 0% แค่ว่าปวดที่ขมับและแก้วหู ตอนนอนในช่วงสัปดาห์แรกเท่านั้น อาการปวดแก้วหู คือเหมือนกับช่วงหน้าหนาว แล้วเราปวดแก้วหู อาการแบบนี้ล่ะ
ผ่าตัดน่ากลัวมั้ย ไม่น่ากลัว วันที่ผ่าตัดก็ไปคนเดียว เช้าตรวจสุขภาพ เอ็กเรย์ปอด เข้าห้องพักผู้ป่วยใน ตอนเที่ยงพยาบาลมาเจาะให้น้ำเกลือ ทาแอลกอฮอล์เย็นๆ ที่หลังมือแล้วเจาะไม่เจ็บอะไรเลย เหมือนมียาชาอยู่ในนั้นตอนที่ทาหลังมือ เจาะครั้งแรกไม่ได้ เส้นเลือดแฟบ ต้องเจาะใหม่ครั้งที่สองผ่านเสียบสายน้ำเกลือ นอนดูน้ำเกลือไหลหยดตามสายน้ำเกลือ พร้อมกับเจาะเลือดไปสองหลอดแก้ว ก่อนผ่าตัดให้งดอาหารและน้ำดื่มก่อนเวลา 08.00 ของวันที่ผ่าตัด แต่เรางดตั้งแต่ 22.00 ของคืนก่อนวันผ่าตัด เค้าถึงให้น้ำเกลือเราก่อนในช่วงเที่ยงเพราะคงเห็นว่าเราอดอาหารและน้ำมาก่อนล่วงหน้าหนึ่งคืนแล้ว เดี๋ยวร่างกายจะอ่อนเพลียไม่ไหว หลังจากเจาะให้น้ำเกลือแล้วจะเข้าห้องน้ำลำบากหน่อยเพราะต้องลากเสาห้อยถุงน้ำเกลือไปด้วย ก็ลากกันไปลากกันมาในห้องพักผู้ป่วยในนั้นล่ะ ตอนบ่ายโมงแพทย์วิสัญญี มาให้คำแนะนำในการดมยาสลบ แนะนำว่าจะฉีดยานอนหลับให้ทางสายน้ำเกลือแล้วผู้ป่วยจะหลับ แล้วถึงจะได้ดมยาสลบต่อจนกระทั่งผ่าตัดเสร็จ หลังจากเลิกดมยาสลบผู้ป่วยก็จะรู้สึกตัวภายใน 5 นาที และให้คำแนะนำ ไม่ให้สวมเครื่องประดับ ฟันปลอม คอนเทคเลนส์ พร้อมขอให้อ้าปากดูภายช่องปากว่ามีฟันปลอม หรือเครื่องมือจัดฟันภายในปากหรือไม่ หมดหน้าที่แพทย์วิสัญญี ตอน 15.20 น. มีนักเทคนิดการแพทย์มาเจาะเลือด มาแจ้งว่าขอคอนเฟริม์กรุ๊ปเลือดอีกครั้งนะค่ะ เจาะเลือดไปอีกสองหลอดแก้ว เพราะต้องใช้เลือดในการผ่าตัด ในการตรวจหาหมู่เลือด ซึ่งเลือดเรากรุ๊ป บี เพราะบริจาคเลือดประจำถึงได้รู้หมู่เลือดของตัวเอง เวลา 15.45 บุรุษพยาบาลมาพร้อมรถเข็นเตียงผ้าสีเขียว มาแจ้งว่าจะพาไปห้องผ่าตัดครับ แล้วพยาบาลก็มาช่วย ก่อนขึ้นรถเข็นเตียง เลยเข้าห้องน้ำฉี่อีกครั้ง ตอนจะเข็นรถเข็นเตียง พยาบาลก็บอกว่าให้เหยียบบนโซฟาในห้องพักผู้ป่ายที่อยู่ติดกับประตูห้องเพื่อขึ้นรถเข็นเตียง เพราะรถเข็นเตียงสูงเท่าเอว เราก็ทำตามที่พยาบาลบอก ขึ้นรถเข็นเตียงได้อย่างง่าย ไม่ต้องปีน แล้วก็นอนบนรถเข็นเตียง ห่มผ้าสีเขียวเราห่มเอง แต่บุรุษพยาบาลก็มาห่มให้อีก บุรุษพยาบาลเค้าห่มผ้าสีเขียวที่ปลายเท้าให้ด้วย ไม่มีอะไรออกนอกผ้าสีเขียว นอกจากหัวกับคอของเราเท่านั้น ตั้งแต่คอลงมายันปลายเท้าถูกคลุมผ้าสีเขียวทั้งตัว แล้วก็เข็นรถออกจากห้อง ก่อนออกจากห้อง พยาบาลถามว่าจะให้ล็อคห้องมั้ย เราบอกว่าให้ล็อคห้อง เพราะเรามาคนเดียว ของมีค่าอยู่ในกระเป๋าในห้องทั้งหมด แล้วก็เข็นรถไปหน้าลิฟท์ เพื่อลงไปยังชั้น ห้องผ่าตัด
รถเข็นเตียงเข้าลิฟท์ ระหว่างแต่ละชั้นก็จะมีผู้คน แพทย์ พยาบาล เข้ามาโดยสารในลิฟท์ด้วย เค้าเข้ามาในลิฟท์ เค้าก็มองมาที่เราซึ่งเรานอนอยู่บนรถเข็นเตียงมีผ้าสีเขียวห่มตัว มีเสาห้อยถุงน้ำเกลืออยู่เหนือศีรษะของเรา เค้าคงรับรู้กันว่าคนนี้ต้องผ่าตัดแน่นอน ถึงหน้าห้องผ่าตัด ประตูหน้าห้องติดสติกเกอร์ ห้องผ่าตัด เค้าเปิดประตูเข็นบุรุษพยาบาลเข็นรถส่งแค่หน้าประตูเท่านั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ภายในห้องผ่าตัดก็จะมาเข็นรถที่เรานอนอยู่ไปตรงจุดรอเข้าห้องผ่าตัด แล้วลากม่านปิดกั้นระหว่างกลาง มีเจ้าหน้าที่มาถามชื่อ - นามสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ ผ่าตัดอะไร แล้วก็มาถามอีกครั้งจะเข้าห้องน้ำมั้ย เราบอกไม่เข้า ในห้องรอนั้นไม่มีนาฬิกา เลยไม่รู้เวลาเท่าไหร่ น่าจะ 16.00 กว่าๆ แล้ว นอนรอหน้าห้องผ่าตัดสักพัก มีเจ้าหน้าที่ชุดสีเขียว ใส่หมวกสีเขียวมาแจ้งว่า จะพาเข้าห้องผ่าตัดนะค่ะ แล้วก็เข็นรถเราไปห้องผ่าตัด ได้ห้องผ่าตัดเบอร์ 17 ก่อนเข้าห้อง เรายกมือขึ้นไหว้ก่อนเข้าห้องผ่าตัด แล้วก็เข็นรถเราไปเทียบข้างกับเตียงผ่าตัด แล้วก็บอกให้เราลุกขึ้นไปนอนที่เตียงผ่าตัด แอร์ในห้องผ่าตัดเย็นมากจนเรารู้สึกจะหนาวๆ ภายในห้องผ่าตัดมีอุปกรณ์เครื่องมือชิ้นใหญ่ ชิ้นเล็กเต็มไปหมด แล้วก็ขออนุญาตเรา คลายชุดผู้ป่วยใน ให้หลวมๆ พร้อมกับเปิดหน้าอก ตอนนี้ล่ะเราถึงรู้สึกหนาว แล้วก็ใช้จุดวัดชีพจร ที่มาแปะที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง และหน้าอก แล้วก็ใช้สายยางมัดแขนของเราทั้งสองข้าง จากนั้นก็ห้อยถุงน้ำเกลือ พยาบาลก็ฉีดยาเข้าทางสายน้ำเกลือที่หลังมือเรา สี่ เข็ม ด้วยกัน ตอนฉีดยาระงับความรู้สึก จะแสบๆ ที่ผนังเส้นเลือด เหมือนอะไรมากัดเส้นเลือด ทำเอาเราหมดแรงกับแขนข้างซ้ายที่เจาะน้ำเกลือไปเลย ตอนที่เค้าฉีดยาเข็มสุดท้าย แพทย์วิสัญญีเป็นผู้ชาย บอกเราว่าหลับได้เลยครับ แล้วเค้าพูดอีกสองครั้ง หลับแล้วนะครับ หลับแล้วนะครับ พอสิ้นเสียงคำว่าครับ จากนั้นเราก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ทั้งๆ ที่เราจะพยายามฝืนไม่หลับตา แต่สุดท้ายเราก็หลับสนิทโดยไม่รู้ตัว
มารู้สึกตัวอีกที ตอนที่นอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยใน ลืมตาตื่นมามองไปที่นาฬิกาเป็นอย่างแรก มองเห็นเวลา 22.10 น. แล้วก็เห็นพยาบาลยืนรอบเตียงเราเลย เห็นลางๆ ว่าพยาบาลเค้าช่วยกันห่มผ้าให้เรา จัดสายน้ำเกลือให้เข้าที่ ปรับเตียงนอน 45 องศา เราจำได้ว่า ไม่มีเสียงใครปลุกเรา แต่เราตื่นลืมตาขึ้นเองก็พบว่าเรานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องพักแล้ว สักครู่ พยาบาลก็ออกไปจากห้อง เหลือเราอยู่คนเดียว จากนั้นเราก็หลับ มาตื่นตอนตีสอง เพราะว่าเราไอและสำลักเป็นเลือด เราใช้มือหยิบกระดาษทิชชู่ เช็ด มองเห็นกระดาษทิชชู่เป็นสีแดง เลือดสดๆ เพราะเพิ่งผ่านการผ่าตัดมาไม่นาน ศีรษะเราเค้าพันด้วยกรอบผ้าก๊อซ เป็นมัมมี่เลย หลังจากตีสองที่ไอและสำลัก เราก็นอนไม่หลับอีกเลยจนถึงเช้า อ่านต่อข้างล่างครับ
ความรู้สึกเคี้ยวอาหารครั้งแรกหลังผ่าตัดภายในช่องปาก
ขำตัวเองเหมือนกัน เหมือนเด็กเล็กๆ หัดกินข้าว หัดพูด หัดอ้าปาก หลังจากผ่านการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติของขากรรไกรและก็ถูกมัดฟันด้วยยางสี่สัปดาห์ ครบสี่สัปดาห์ก็หัดอ้าปาก หัดเคี้ยวอาหาร เพราะช่วงแรกๆ กินแต่อาหารเหลวเป็นน้ำ กินได้ทุกอย่าง แต่ต้องนำมาปั่นในเครื่องปั่นอาหารแล้วผสมน้ำซุปให้เยอะๆ จนได้อาหารเหลวเป็นน้ำ แล้วก็ใช้หลอดดูดเข้าไปตามซอกฟัน พอมีซอกฟันที่ฟันยังไม่สบสนิท พอดูดอาหารเหลว ให้ชีวิตได้อยู่ต่อ ผ่านมาแล้วจะหนึ่งเดือน ตอนแรกๆ ที่ใช้หลอดดูดอาหารเหลวนั้นถ้าอาหารมีกาก จะไม่สะดวกเวลากิน เพราะกากอาหารจะไปติดที่ซอกฟัน แล้วจะอุดตันตรงซอกฟัน ตรงจุดที่นั้น ทำให้ดูดของเหลวไม่ได้ขึ้น ต้องนำกากอาหารที่ติดซอกฟันออกก่อน ถึงจะดูดอาหารเหลวต่อได้ เพราะว่าวันนั้นปั่นถั่วเขียวต้มน้ำตาลแล้วใส่นมจืด เผอิญปั่นถั่วเขียวไม่ละเอียด ยังมีกากถั่วเขียว ตอนแรกก็ดูดเข้าไปในปากได้ดี แถมอร่อยด้วย เป็นถั่วเขียวต้มน้ำตาลที่อร่อยมาก หรือว่าเป็นของหวานชามแรกที่ได้กินหลังผ่าตัดในช่องปากผ่านไปไม่กี่วัน สักพักทำไมดูดไม่ขึ้น ยิงฟันดูในกระจก กากถั่วเขียวติดที่ซอกฟัน ทำให้ไม่ช่องว่างระหว่างฟัน เลยดูดไม่ขึ้น ต้องใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มกากถั่วเขียวที่ติดซอกฟันออก แล้วดูดต่อ ถึงจะกินได้ ที่ปั่นถั่วเขียวไม่ละเอียด
เพราะใช้เครื่องสกัดน้ำผักผลไม้ปั่น ความแรงของมอเตอร์ไม่แรงพอ ทำให้ปั่นถั่วเขียวไม่ละเอียด ได้ประสบการณ์ ครั้งต่อมาก็ต้องนำมากรอกกากออกก่อนจะดูด คราวนี้ แป๊ปเดียวดูดเกลี้ยงเลย ไม่มีเหลือ เพราะไม่มีกากติดซอกฟัน นั่งปั่นอาหารเหลว สกัดน้ำผลไม้ น้ำสัปปะรด น้ำองุ่น น้ำกีวี น้ำแคนตาลูป น้ำส้ม น้ำฝรั่ง แต่ที่อร่อยก็ น้ำแครอท เพิ่งจะรู้ว่าหวานอร่อย ถ้าไม่ผ่าตัดในช่องปากก็คงไม่ได้รับรู้ความอร่อยของผักและผลไม้เหล่านี้ น้ำแคนตาลูปสกัดออกมาแล้วผสมกับนมจืด จากนมจืดกลายเป็นนมหวานหอมอร่อย หวานจากแคนตาลูป อร่อย น้ำมะเขือเทศอีก แต่ไม่ได้กินบ่อยเพราะในน้ำมะเขือเทศมีโพแทสเซียมสูง จำได้ว่าสกัดน้ำมะเขือแค่ครั้งเดียว
น้ำซุปจะต้มเอง ต้มจากกระดูกหมูหรือน่องไก่ ใส่หัวไชเท้า มั่นฝรั่ง แครอท ต้มจนเปื่อย แล้วก็นำมาปั่นเป็นอาหารเหลว ที่ปั่นก็มี เนื้อไก่สองช้อน หัวไชเท้าสองชิ้นหั่นเป็นแว่นๆ มันฝรั่งสองชิ้นหั่นเป็นแว่นๆ แครอทสองชิ้นหั่นเป็นแว่นๆ แล้วก็ข้าวสุกหนึ่งช้อน ใส่น้ำซุปที่อุ่นๆ ใส่น้ำซุปเยอะๆ ถ้าใส่น้ำซุปน้อย ปั่นออกมาแล้วค่อนข้างหนืด ดูดลำบาก บางทีก็ดูดไม่ขึ้น ต้องให้เหลวเป็นน้ำจะดูดง่าย ประสบการณ์ในการปั่นอาหารเหลว ถ้าใครไม่เคยผ่านเรื่องอย่างนี้จะไม่รู้ว่าการกินมีความลำบากแค่ไหน แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา หาทางกินจนได้ ไม่งั้นน้ำหนักลด แค่เดือนเดียวน้ำหนักลดลงไปห้ากิโล
หลังจากที่กินเสร็จทุกครั้งต้องแปรงฟัน สามารถแปรงฟันได้แม้ว่าภายในช่องปากจะบวมอยู่ก็ตาม เราแปรงฟันหลังจากผ่าตัดผ่านไปห้าวัน สี่วันแรกไม่ได้แปรงฟันเพราะปากบวมมาก หลังจากนั้นปากค่อยๆ หายบวม ค่อยๆ แปรงฟัน เพราะสองสัปดาห์ถึงได้ตัดไหมภายในช่องปากแผลที่ผ่าตัด แล้วก็บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ได้มาจากโรงพยาบาลที่ให้มาพร้อมกับยามากินที่บ้าน ในวันที่ออกจากโรงพยาบาล สำคัญที่สุดต้องกินยาให้หมดที่ได้รับยามา โดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อ แล้วก็รักษาความสะอาดภายในช่องปาก เราจะแปรงฟันทุกครั้งหลังจากที่กินเสร็จแล้วก็บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก
อาการบวมของใบหน้าและปาก จะบวมมากสามถึงสี่วันแรกๆ หลังจากนั้นครบหนึ่งสัปดาห์ก็จะเริ่มยุบลงแต่ก็คงบวมเห็นได้บ้าง สองสัปดาห์ถึงจะเข้าปกติถึงบวมก็แค่นิดๆ พอมองไม่ออกเท่าไหร่ว่าบวม พยามปะคบเย็นในช่วงสามสี่วันแรกๆ ที่อยู่โรงพยาบาล เพื่อที่จะได้ลดบวม ความเย็นทำให้เลือดหยุดไหลภายในช่องปาก และตามเส้นเลือดฝอยที่แก้ม คาง เพราะตอนบ้วนปาก เลือดที่ไหลอยู่ในปากจากแผลผ่าตัด ออกมาเป็นลิ่มๆ เลย เพราะความเย็นทำให้เลือดแข็งตัว กลับมาบ้านถึงได้ปะคบร้อนช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวทำให้เส้นเลือดที่แก้ม คาง เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ แต่ว่าจะหน้าจะบวมเพราะความร้อนทำให้เส้นเลือดขยายตัว แต่ดีตรงที่ว่าความร้อนช่วยทำให้ระบบประสาทฟื้นตัว เพราะเวลาที่ปะคบร้อน จะรู้สึกยิบๆ ที่ริมฝีปาก ช่วยลดอาการชาที่ใบหน้า และภายในช่องปาก แต่ก็ยังไม่หายชาเลยทีเดียว ความรู้สึกค่อยๆ ดีขึ้น ส่วนที่ชามากที่สุดก็เป็นบริเวณปาก ไม่รับรู้อะไรเลย จำได้ว่าวันแรกหลังผ่าตัดน้ำลายไหลโดยไม่รู้สึก เพราะความชา จนถึงวันนี้หนึ่งเดือน ก็ยังคงชาไม่รู้สึก แต่ไม่มากเท่ากับวันแรก แต่น้ำลายเริ่มจะควบคุมได้ มีบ้างที่น้ำลายไหลโดยไม่รู้ตัว แต่น้อยครั้ง เพราะแก้ปัญหา ด้วยการกลืนน้ำลายบ่อยๆ
ความเจ็บปวดหลังจากผ่าตัดภายในช่องปาก ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดอะไร เพราะความรู้สึกมันชาไปหมด ตั้งแต่ใต้ตาลงมาถึงปลายคาง คือใช้มือจับที่มุมปากทั้งสองข้าง แล้วลากขึ้นไปชนกับขอบตาล่าง แล้วลากลงมาถึงปลายคาง เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า คือบริเวณที่ชา แก้มไม่ได้ชาทั้งแก้ม แก้มชาแค่ครึ่งเดียวแค่มุมปาก หลังกลับมาพักฟื้นที่บ้านสัปดาห์แรก เวลานอนจะรู้สึกปวดที่ขมับกับแก้วหู เป็นอยู่แค่สัปดาห์เดียวแล้วก็หายปวดไปเอง ไม่ได้กินยาแก้ปวดอะไร น่าจะมาจากกล้ามเนื้อที่ผ่าตัดขากรรไกร กล้ามเนื้อดึงกัน เลยทำให้รู้สึกปวดที่ขมับและแก้วหู เวลาที่นอนราบ แต่ถ้านอนหนุน 45 องศา จะไม่ปวดขมับและแก้วหูเท่าไหร่ แล้วอาการหูอื้อ จะเกิดขึ้นหลังจากรู้สึกตัว หลังจากที่ออกจากห้องผ่าตัด เรารู้สึกว่าเหมือนมีอะไรในหู เวลาจะลุกนั่ง หรือเวลาจะนอน ภายในหูจะมีเสียงกึกๆ ตอนแรกเรานึกว่า ขี้หู หรือเปล่า อาการนี้หายไปตอนวันที่ออกจากโรงพยาบาล มายืนรอรถกลับมา หูหายอื้อ ถ้าให้สรุปความเจ็บปวด สำหรับเราไม่เจ็บไม่ปวดอะไรเลย เท่ากับ 0% แค่ว่าปวดที่ขมับและแก้วหู ตอนนอนในช่วงสัปดาห์แรกเท่านั้น อาการปวดแก้วหู คือเหมือนกับช่วงหน้าหนาว แล้วเราปวดแก้วหู อาการแบบนี้ล่ะ
ผ่าตัดน่ากลัวมั้ย ไม่น่ากลัว วันที่ผ่าตัดก็ไปคนเดียว เช้าตรวจสุขภาพ เอ็กเรย์ปอด เข้าห้องพักผู้ป่วยใน ตอนเที่ยงพยาบาลมาเจาะให้น้ำเกลือ ทาแอลกอฮอล์เย็นๆ ที่หลังมือแล้วเจาะไม่เจ็บอะไรเลย เหมือนมียาชาอยู่ในนั้นตอนที่ทาหลังมือ เจาะครั้งแรกไม่ได้ เส้นเลือดแฟบ ต้องเจาะใหม่ครั้งที่สองผ่านเสียบสายน้ำเกลือ นอนดูน้ำเกลือไหลหยดตามสายน้ำเกลือ พร้อมกับเจาะเลือดไปสองหลอดแก้ว ก่อนผ่าตัดให้งดอาหารและน้ำดื่มก่อนเวลา 08.00 ของวันที่ผ่าตัด แต่เรางดตั้งแต่ 22.00 ของคืนก่อนวันผ่าตัด เค้าถึงให้น้ำเกลือเราก่อนในช่วงเที่ยงเพราะคงเห็นว่าเราอดอาหารและน้ำมาก่อนล่วงหน้าหนึ่งคืนแล้ว เดี๋ยวร่างกายจะอ่อนเพลียไม่ไหว หลังจากเจาะให้น้ำเกลือแล้วจะเข้าห้องน้ำลำบากหน่อยเพราะต้องลากเสาห้อยถุงน้ำเกลือไปด้วย ก็ลากกันไปลากกันมาในห้องพักผู้ป่วยในนั้นล่ะ ตอนบ่ายโมงแพทย์วิสัญญี มาให้คำแนะนำในการดมยาสลบ แนะนำว่าจะฉีดยานอนหลับให้ทางสายน้ำเกลือแล้วผู้ป่วยจะหลับ แล้วถึงจะได้ดมยาสลบต่อจนกระทั่งผ่าตัดเสร็จ หลังจากเลิกดมยาสลบผู้ป่วยก็จะรู้สึกตัวภายใน 5 นาที และให้คำแนะนำ ไม่ให้สวมเครื่องประดับ ฟันปลอม คอนเทคเลนส์ พร้อมขอให้อ้าปากดูภายช่องปากว่ามีฟันปลอม หรือเครื่องมือจัดฟันภายในปากหรือไม่ หมดหน้าที่แพทย์วิสัญญี ตอน 15.20 น. มีนักเทคนิดการแพทย์มาเจาะเลือด มาแจ้งว่าขอคอนเฟริม์กรุ๊ปเลือดอีกครั้งนะค่ะ เจาะเลือดไปอีกสองหลอดแก้ว เพราะต้องใช้เลือดในการผ่าตัด ในการตรวจหาหมู่เลือด ซึ่งเลือดเรากรุ๊ป บี เพราะบริจาคเลือดประจำถึงได้รู้หมู่เลือดของตัวเอง เวลา 15.45 บุรุษพยาบาลมาพร้อมรถเข็นเตียงผ้าสีเขียว มาแจ้งว่าจะพาไปห้องผ่าตัดครับ แล้วพยาบาลก็มาช่วย ก่อนขึ้นรถเข็นเตียง เลยเข้าห้องน้ำฉี่อีกครั้ง ตอนจะเข็นรถเข็นเตียง พยาบาลก็บอกว่าให้เหยียบบนโซฟาในห้องพักผู้ป่ายที่อยู่ติดกับประตูห้องเพื่อขึ้นรถเข็นเตียง เพราะรถเข็นเตียงสูงเท่าเอว เราก็ทำตามที่พยาบาลบอก ขึ้นรถเข็นเตียงได้อย่างง่าย ไม่ต้องปีน แล้วก็นอนบนรถเข็นเตียง ห่มผ้าสีเขียวเราห่มเอง แต่บุรุษพยาบาลก็มาห่มให้อีก บุรุษพยาบาลเค้าห่มผ้าสีเขียวที่ปลายเท้าให้ด้วย ไม่มีอะไรออกนอกผ้าสีเขียว นอกจากหัวกับคอของเราเท่านั้น ตั้งแต่คอลงมายันปลายเท้าถูกคลุมผ้าสีเขียวทั้งตัว แล้วก็เข็นรถออกจากห้อง ก่อนออกจากห้อง พยาบาลถามว่าจะให้ล็อคห้องมั้ย เราบอกว่าให้ล็อคห้อง เพราะเรามาคนเดียว ของมีค่าอยู่ในกระเป๋าในห้องทั้งหมด แล้วก็เข็นรถไปหน้าลิฟท์ เพื่อลงไปยังชั้น ห้องผ่าตัด
รถเข็นเตียงเข้าลิฟท์ ระหว่างแต่ละชั้นก็จะมีผู้คน แพทย์ พยาบาล เข้ามาโดยสารในลิฟท์ด้วย เค้าเข้ามาในลิฟท์ เค้าก็มองมาที่เราซึ่งเรานอนอยู่บนรถเข็นเตียงมีผ้าสีเขียวห่มตัว มีเสาห้อยถุงน้ำเกลืออยู่เหนือศีรษะของเรา เค้าคงรับรู้กันว่าคนนี้ต้องผ่าตัดแน่นอน ถึงหน้าห้องผ่าตัด ประตูหน้าห้องติดสติกเกอร์ ห้องผ่าตัด เค้าเปิดประตูเข็นบุรุษพยาบาลเข็นรถส่งแค่หน้าประตูเท่านั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ภายในห้องผ่าตัดก็จะมาเข็นรถที่เรานอนอยู่ไปตรงจุดรอเข้าห้องผ่าตัด แล้วลากม่านปิดกั้นระหว่างกลาง มีเจ้าหน้าที่มาถามชื่อ - นามสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ ผ่าตัดอะไร แล้วก็มาถามอีกครั้งจะเข้าห้องน้ำมั้ย เราบอกไม่เข้า ในห้องรอนั้นไม่มีนาฬิกา เลยไม่รู้เวลาเท่าไหร่ น่าจะ 16.00 กว่าๆ แล้ว นอนรอหน้าห้องผ่าตัดสักพัก มีเจ้าหน้าที่ชุดสีเขียว ใส่หมวกสีเขียวมาแจ้งว่า จะพาเข้าห้องผ่าตัดนะค่ะ แล้วก็เข็นรถเราไปห้องผ่าตัด ได้ห้องผ่าตัดเบอร์ 17 ก่อนเข้าห้อง เรายกมือขึ้นไหว้ก่อนเข้าห้องผ่าตัด แล้วก็เข็นรถเราไปเทียบข้างกับเตียงผ่าตัด แล้วก็บอกให้เราลุกขึ้นไปนอนที่เตียงผ่าตัด แอร์ในห้องผ่าตัดเย็นมากจนเรารู้สึกจะหนาวๆ ภายในห้องผ่าตัดมีอุปกรณ์เครื่องมือชิ้นใหญ่ ชิ้นเล็กเต็มไปหมด แล้วก็ขออนุญาตเรา คลายชุดผู้ป่วยใน ให้หลวมๆ พร้อมกับเปิดหน้าอก ตอนนี้ล่ะเราถึงรู้สึกหนาว แล้วก็ใช้จุดวัดชีพจร ที่มาแปะที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง และหน้าอก แล้วก็ใช้สายยางมัดแขนของเราทั้งสองข้าง จากนั้นก็ห้อยถุงน้ำเกลือ พยาบาลก็ฉีดยาเข้าทางสายน้ำเกลือที่หลังมือเรา สี่ เข็ม ด้วยกัน ตอนฉีดยาระงับความรู้สึก จะแสบๆ ที่ผนังเส้นเลือด เหมือนอะไรมากัดเส้นเลือด ทำเอาเราหมดแรงกับแขนข้างซ้ายที่เจาะน้ำเกลือไปเลย ตอนที่เค้าฉีดยาเข็มสุดท้าย แพทย์วิสัญญีเป็นผู้ชาย บอกเราว่าหลับได้เลยครับ แล้วเค้าพูดอีกสองครั้ง หลับแล้วนะครับ หลับแล้วนะครับ พอสิ้นเสียงคำว่าครับ จากนั้นเราก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ทั้งๆ ที่เราจะพยายามฝืนไม่หลับตา แต่สุดท้ายเราก็หลับสนิทโดยไม่รู้ตัว
มารู้สึกตัวอีกที ตอนที่นอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยใน ลืมตาตื่นมามองไปที่นาฬิกาเป็นอย่างแรก มองเห็นเวลา 22.10 น. แล้วก็เห็นพยาบาลยืนรอบเตียงเราเลย เห็นลางๆ ว่าพยาบาลเค้าช่วยกันห่มผ้าให้เรา จัดสายน้ำเกลือให้เข้าที่ ปรับเตียงนอน 45 องศา เราจำได้ว่า ไม่มีเสียงใครปลุกเรา แต่เราตื่นลืมตาขึ้นเองก็พบว่าเรานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องพักแล้ว สักครู่ พยาบาลก็ออกไปจากห้อง เหลือเราอยู่คนเดียว จากนั้นเราก็หลับ มาตื่นตอนตีสอง เพราะว่าเราไอและสำลักเป็นเลือด เราใช้มือหยิบกระดาษทิชชู่ เช็ด มองเห็นกระดาษทิชชู่เป็นสีแดง เลือดสดๆ เพราะเพิ่งผ่านการผ่าตัดมาไม่นาน ศีรษะเราเค้าพันด้วยกรอบผ้าก๊อซ เป็นมัมมี่เลย หลังจากตีสองที่ไอและสำลัก เราก็นอนไม่หลับอีกเลยจนถึงเช้า อ่านต่อข้างล่างครับ