ปกติไม่ได้เป็นแฟนซูเปอร์ฮีโร่นะคะ แต่พอดีเมื่อวานเพิ่งได้ไปดู Wonder Woman (2017) มา
รู้สึกเสียดาย และออกจะผิดหวัง ที่คาแรคเตอร์พระเอกนางเอก ไม่เหมือนในเวอร์ชั่นหนังการ์ตูน (2009)
หนัง 2017 รู้สึกว่า นอกจากไดอาน่า จะกล้าหาญ โลกสวย( อันนี้เข้าใจ เพราะโตมาในเกาะสวรรค์ที่มีแต่ความสุขและความดีงาม )
แล้วเราว่ายังขี้อ่อยด้วย 555 อันนี้เราสรุปจากพฤติกรรมของ 3 ฉากที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1. ฉากสตีฟอาบน้ำ แล้วไดอาน่าโผล่เข้าไปหา แล้วยืนจ้องแบบไม่เกรงใจเลย
2. ฉากออกเดินทางบนเรือ สตีฟจะนอนบริเวณกราบเรือ แต่ไดอาน่าก็พูดจนสตีฟมานอนข้างๆกัน
2 อันบนนี่ เพิ่งรู้จักมักจี่กันเอง แต่อันล่างนี่พอทำเนา เข้าใจว่าเริ่มรักๆกันแล้ว
3. ฉากสตีฟไปส่งไดอาน่าที่ห้องนอน ผู้ชายนี่จะออกจากห้องไปละ แต่ไดอาน่าส่งสายตาให้อยู่ต่อ
ซึ่งจริงๆเรามองว่าแปลก เพราะอย่างโดยส่วนใหญ่ เด็กผู้หญิงที่โตมากับโรงเรียนหญิงล้วน อาจมีปัญหาในการปฏิสัมพันธ์กับเพศชาย ของไดอาน่านี่บนเกาะมีแต่ผู้หญิงเลย สังคมคือสุดโต่งกว่าโลกจริง ดังนั้นแทนที่จะพยายามเข้าหาผู้ชายอย่างฉาก 1 กับ 2 เราว่าจริงๆน่าจะเป็นแนว ไม่รังเกียจ ก็ กลัว มากกว่า
ส่วนในหนังปี 2017 นี่ สตีฟก็เป็นสุภาพบุรษมาก จนเราที่เคยดูคลิปของเวอร์ชั่นการ์ตูนปี 2009 มาก่อน และคิดว่าหนังเวอร์ชั่นล่าสุดต้องวางโครงจากภาคนี้แน่ รู้สึกแปลกใจกับความสุภาพ และค่อนจะพูดน้อยของสตีฟ อย่างในฉาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่ไดอาน่าสงสัยว่าทำไมผู้ชายผู้หญิงในเมืองถึงจับมือกัน สตีฟบอกว่าเพราะพวกเขา 'เป็นคู่กัน' (ในหนังใช้คำว่า Together ) ไดอาน่าก็เลยนึกว่าเดินคู่กันจับมือสินะ สตีฟยังปัดมือไดอาน่าที่พยายามจับออก
ส่วนตัวเราถูกใจเคมีคู่ในการ์ตูนมากกว่า ไดอาน่าจะออกแนว ไม่ไว้ใจผู้ชาย เพราะแม่สอนมาว่าเชื่อใจไม่ได้ แล้วก็จะขี้ประชด มีความห่ามหน่อยๆ ชอบตั้งคำถาม บางครั้งออกแนวขวานผ่าซาก คือออกแนวผู้หญิงดุ (เวอร์ชั่น 2017 เราว่าออกแนวสาวมั่นแต่ไม่ดุ) ส่วนสตีฟนี่ในการ์ตูนก็จะขี้หลีมาก จ้องจะพูดป้อยอสาวได้ทุกโอกาส ออกแนวกะล่อน เราว่าคู่นี้อยู่ด้วยกันแล้วปากจัดดี 555 รู้สึกถูกใจมากกว่า เลยเสียดายที่พอเข้าไปดูในโรงฯแล้วบุคลิกทั้งสองคนเปลี่ยนไปเลย
ส่วนข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างบางส่วนของเคมีคู่นี้ แล้วก็อุปนิสัยที่ต่างจากในหนัง
อย่างอันนี้ ฟื้นมา สตีฟก็ปากกล้าเลย "ไม่ได้ฝันแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 13 (ว่ารอบตัวมีแต่สาวๆ)"
แถม (ภายใต้อำนาจของบ่วงบาศ) ยังพูดพร้อมยิ้มอ่อนมาว่า "ขุ่นพระ ลูกสาวท่าน(หมายถึงไดอาน่า)อกสวยชะมัด"


อันนี้พยายามมอมเหล้านางเอก เพื่อถามคำถาม พระเอกยิ่งเมา ธาตุแท้ยิ่งหลุด

อันนี้ไดอาน่าช็อคมาก ที่พบว่าเด็กผู้หญิงโดนกันไม่ให้เล่นเป็นโจรสลัดกับเพื่อนผู้ชาย เพราะเด็กผู้ชายต้องการให้เด็กผู้หญิงเล่นเป็น หญิงสาวที่ต้องรอคนมาช่วยเหลือ จบที่พอไดอาน่าจะแยกทาง สตีฟนี่รีบหาทางชักชวนว่าด้วยตำแหน่งเขา เขาน่าจะช่วยได้ แถมยังพูดจาติดตลกตอนท้ายพอมีคนมองเข้าเยอะๆว่า "ไปหาชุดอื่นให้คุณใส่ดีกว่าก่อนที่ผมจะโดนข้อหาซื้อบริการ"

อันนี้บ่นสังคมโลกมนุษย์ ว่าอะไรเนี่ย เด็กผู้หญิงที่นี่โดนสอนแต่เกิดว่าสู้ผู้ชายไม่ได้ แถมพอเป็นผู้ใหญ่ยังโดนเสี้ยมให้หากินด้วยมารยาหญิง
พอนางเอกเข้าไปใกล้พระเอก ดูสตีฟใช้คอม บทสนทนาก็ดูจะเครียด พระเอกก็โพล่งขึ้นมาว่า "คุณนี่หอมจัง"
นางเลยแขวะกลับว่า "ต้องหลีด้วยเหรอ"

ส่วนคลิปนี้เราชอบมากค่ะ พระเอกตำหนิด้าน Feminazi (บ้าสิทธิสตรีแบบรุนแรง) ของนางเอกได้ดีมาก เหมือนทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกันจริงๆ ว่าพระเอกไม่ได้กะล่อนไปเสียหมด ส่วนนางเอกก็ไม่ควรมีอคติกับผู้ชายขนาดนั้น เรารู้สึกว่าในหนังปี 2017 น่าจะมีฉากปะทะอารมณ์เรื่องนี้กันแบบนี้บ้าง เพราะรู้สึกว่าธีม Feminism เป็นเรื่องที่น่าเอามาเล่นแบบระเบิดอารมณ์ ในหนังมี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทะเลาะกันหลักๆแค่เรื่องอุดมคติด้านความยุติธรรมของนางเอก ส่วนในฉากพวกเข้าห้องประชุม ที่นางเอกโดนไล่ออกมาเพราะเป็นผู้หญิง หรือที่ไม่มีคนฟังว่านางเอกสามารถช่วยแปลบันทึกลับได้เพราะนางรู้หลายภาษา จนนางบอกว่าเป็นภาษาอะไรนี่แหละถึงมีคนฟัง จริงๆในตอนนั้นๆ น่าจะมีฉากที่นางเอกยัวะแล้วก็ระบายออกมาว่าทำไมสังคมมนุษย์เป็นแบบนี้ ทำไมเป็นสังคมที่เพศหนึ่งเป็นใหญ่ในขณะที่อีกเพศได้รับสิทธิน้อยกว่า เสียดายที่ในหนัง นางเอกพอโดนปฏิบัติแบบไม่เท่าเทียม จะออกแนวตีหน้ามึนๆงงๆมากกว่า

ส่วนคลิปนี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านอุปนิสัยของนางเอก ว่าเริ่มมองเพศชายด้วยใจเป็นกลางมากขึ้นละ
"ฉันยกรถได้(หลายคันด้วย) แค่ประตูรถฉันเปิดเองได้"
"เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะ คนสวย"
"ฉันรู้ 'โทษที โอ๊ยขอบคุณมาก สตีวี่ คุณนี่ช่างเป็นสุภาพบุรุษ" พูดแบบประชดขำๆ แล้วหัวเราะพร้อมสยายผม เราว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากจากที่เคยอคติมาตลอด

ก็เท่านี้แหละค่ะ ไม่มีอะไร 55 หลักๆแค่อยากมาบ่นด้วยความเสียดาย
แล้วก็รู้สึกว่าจริงๆหนังมันมีประเด็นอื่นที่น่าเล่นอีกเยอะ โดยจริงๆเราว่าสามารถเล่นประเด็น Feminism แบบเยอะๆได้เลยด้วยซ้ำ แต่อาจจะติดที่ตอนนี้ สังคมมีความ Political Correctness มากขึ้น
คำนี้ไม่มีคำแปลไทยโดยตรง จึงขอทับศัพท์นะคะ แต่ตัวอย่างง่ายๆก็อย่าง เดี๋ยวนี้โรงเรียนอนุบาลในยุโรปบางประเทศ (จำไม่ได้ แต่น่าจะอังกฤษ) ห้ามเรียกเด็กว่า Boy หรือ Girl แล้วนะคะ ให้เรียกเป็นชื่อแทน เพราะถือว่าการเรียกเป็นเพศ จะไปตีตราว่าเด็กควรปฏิบัติตนตามเพศไหน หรืออาจทำให้เด็กที่เป็นเพศที่สามแต่กำเนิดและรู้ตัวเร็ว รู้สึกไม่ดีได้
และอย่างเมืองนึง รู้สึกจะในออสเตรเลีย สัญญาณไฟเขียวไฟแดงตรงทางม้าลาย จะไม่ใช่เป็นมนุษย์ก้านไม้ขีดรูปผู้ชายอย่างเดียวแล้วนะคะ ต้องมี รูปก้านผู้หญิง (ที่เป็นกระโปรงเหลี่ยมๆน่ะ) จำนวนเท่ากันในเมือง
หรืออย่าง มีการรณรงค์ในมหาวิทยาลัยว่าห้ามใช้คำว่า Mankind แทนมนุษยชาติ เพราะมีคำว่าผู้ชายในนั้น แต่ให้ใช้เป็น Humankind แทน
เราอธิบายประมาณนี้คงมีคนเข้าใจที่เราสื่อแล้วล่ะ
สรุปก็คือ สังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก ช่วง 2-3 ปีมานี้ ฝรั่งหลายคนให้นิยามว่า "มีความเรื่องเยอะ"
ฉะนั้นการเล่นประเด็นบทบาททางเพศอาจจะสุ้มเสี่ยงกับรายได้ของหนังมากเกินไป
จึงมาเล่นประเด็น ความดี ความชั่ว ในจิตใจมนุษย์แทน
จบแล้วค่ะ ขอบคุณที่อ่าน
เสียดาย ที่หนัง Wonder Woman ไม่ใช้บุคลิกของเวอร์ชั่นการ์ตูน ปี 2009 ที่ไดอาน่ามีอคติกับเพศชาย ส่วนสตีฟหน้าหม้อ
รู้สึกเสียดาย และออกจะผิดหวัง ที่คาแรคเตอร์พระเอกนางเอก ไม่เหมือนในเวอร์ชั่นหนังการ์ตูน (2009)
หนัง 2017 รู้สึกว่า นอกจากไดอาน่า จะกล้าหาญ โลกสวย( อันนี้เข้าใจ เพราะโตมาในเกาะสวรรค์ที่มีแต่ความสุขและความดีงาม )
แล้วเราว่ายังขี้อ่อยด้วย 555 อันนี้เราสรุปจากพฤติกรรมของ 3 ฉากที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งจริงๆเรามองว่าแปลก เพราะอย่างโดยส่วนใหญ่ เด็กผู้หญิงที่โตมากับโรงเรียนหญิงล้วน อาจมีปัญหาในการปฏิสัมพันธ์กับเพศชาย ของไดอาน่านี่บนเกาะมีแต่ผู้หญิงเลย สังคมคือสุดโต่งกว่าโลกจริง ดังนั้นแทนที่จะพยายามเข้าหาผู้ชายอย่างฉาก 1 กับ 2 เราว่าจริงๆน่าจะเป็นแนว ไม่รังเกียจ ก็ กลัว มากกว่า
ส่วนในหนังปี 2017 นี่ สตีฟก็เป็นสุภาพบุรษมาก จนเราที่เคยดูคลิปของเวอร์ชั่นการ์ตูนปี 2009 มาก่อน และคิดว่าหนังเวอร์ชั่นล่าสุดต้องวางโครงจากภาคนี้แน่ รู้สึกแปลกใจกับความสุภาพ และค่อนจะพูดน้อยของสตีฟ อย่างในฉาก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนตัวเราถูกใจเคมีคู่ในการ์ตูนมากกว่า ไดอาน่าจะออกแนว ไม่ไว้ใจผู้ชาย เพราะแม่สอนมาว่าเชื่อใจไม่ได้ แล้วก็จะขี้ประชด มีความห่ามหน่อยๆ ชอบตั้งคำถาม บางครั้งออกแนวขวานผ่าซาก คือออกแนวผู้หญิงดุ (เวอร์ชั่น 2017 เราว่าออกแนวสาวมั่นแต่ไม่ดุ) ส่วนสตีฟนี่ในการ์ตูนก็จะขี้หลีมาก จ้องจะพูดป้อยอสาวได้ทุกโอกาส ออกแนวกะล่อน เราว่าคู่นี้อยู่ด้วยกันแล้วปากจัดดี 555 รู้สึกถูกใจมากกว่า เลยเสียดายที่พอเข้าไปดูในโรงฯแล้วบุคลิกทั้งสองคนเปลี่ยนไปเลย
ส่วนข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างบางส่วนของเคมีคู่นี้ แล้วก็อุปนิสัยที่ต่างจากในหนัง
อย่างอันนี้ ฟื้นมา สตีฟก็ปากกล้าเลย "ไม่ได้ฝันแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 13 (ว่ารอบตัวมีแต่สาวๆ)"
แถม (ภายใต้อำนาจของบ่วงบาศ) ยังพูดพร้อมยิ้มอ่อนมาว่า "ขุ่นพระ ลูกสาวท่าน(หมายถึงไดอาน่า)อกสวยชะมัด"
อันนี้พยายามมอมเหล้านางเอก เพื่อถามคำถาม พระเอกยิ่งเมา ธาตุแท้ยิ่งหลุด
อันนี้ไดอาน่าช็อคมาก ที่พบว่าเด็กผู้หญิงโดนกันไม่ให้เล่นเป็นโจรสลัดกับเพื่อนผู้ชาย เพราะเด็กผู้ชายต้องการให้เด็กผู้หญิงเล่นเป็น หญิงสาวที่ต้องรอคนมาช่วยเหลือ จบที่พอไดอาน่าจะแยกทาง สตีฟนี่รีบหาทางชักชวนว่าด้วยตำแหน่งเขา เขาน่าจะช่วยได้ แถมยังพูดจาติดตลกตอนท้ายพอมีคนมองเข้าเยอะๆว่า "ไปหาชุดอื่นให้คุณใส่ดีกว่าก่อนที่ผมจะโดนข้อหาซื้อบริการ"
อันนี้บ่นสังคมโลกมนุษย์ ว่าอะไรเนี่ย เด็กผู้หญิงที่นี่โดนสอนแต่เกิดว่าสู้ผู้ชายไม่ได้ แถมพอเป็นผู้ใหญ่ยังโดนเสี้ยมให้หากินด้วยมารยาหญิง
พอนางเอกเข้าไปใกล้พระเอก ดูสตีฟใช้คอม บทสนทนาก็ดูจะเครียด พระเอกก็โพล่งขึ้นมาว่า "คุณนี่หอมจัง"
นางเลยแขวะกลับว่า "ต้องหลีด้วยเหรอ"
ส่วนคลิปนี้เราชอบมากค่ะ พระเอกตำหนิด้าน Feminazi (บ้าสิทธิสตรีแบบรุนแรง) ของนางเอกได้ดีมาก เหมือนทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกันจริงๆ ว่าพระเอกไม่ได้กะล่อนไปเสียหมด ส่วนนางเอกก็ไม่ควรมีอคติกับผู้ชายขนาดนั้น เรารู้สึกว่าในหนังปี 2017 น่าจะมีฉากปะทะอารมณ์เรื่องนี้กันแบบนี้บ้าง เพราะรู้สึกว่าธีม Feminism เป็นเรื่องที่น่าเอามาเล่นแบบระเบิดอารมณ์ ในหนังมี [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เสียดายที่ในหนัง นางเอกพอโดนปฏิบัติแบบไม่เท่าเทียม จะออกแนวตีหน้ามึนๆงงๆมากกว่า
ส่วนคลิปนี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านอุปนิสัยของนางเอก ว่าเริ่มมองเพศชายด้วยใจเป็นกลางมากขึ้นละ
"ฉันยกรถได้(หลายคันด้วย) แค่ประตูรถฉันเปิดเองได้"
"เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะ คนสวย"
"ฉันรู้ 'โทษที โอ๊ยขอบคุณมาก สตีวี่ คุณนี่ช่างเป็นสุภาพบุรุษ" พูดแบบประชดขำๆ แล้วหัวเราะพร้อมสยายผม เราว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากจากที่เคยอคติมาตลอด
ก็เท่านี้แหละค่ะ ไม่มีอะไร 55 หลักๆแค่อยากมาบ่นด้วยความเสียดาย
แล้วก็รู้สึกว่าจริงๆหนังมันมีประเด็นอื่นที่น่าเล่นอีกเยอะ โดยจริงๆเราว่าสามารถเล่นประเด็น Feminism แบบเยอะๆได้เลยด้วยซ้ำ แต่อาจจะติดที่ตอนนี้ สังคมมีความ Political Correctness มากขึ้น
คำนี้ไม่มีคำแปลไทยโดยตรง จึงขอทับศัพท์นะคะ แต่ตัวอย่างง่ายๆก็อย่าง เดี๋ยวนี้โรงเรียนอนุบาลในยุโรปบางประเทศ (จำไม่ได้ แต่น่าจะอังกฤษ) ห้ามเรียกเด็กว่า Boy หรือ Girl แล้วนะคะ ให้เรียกเป็นชื่อแทน เพราะถือว่าการเรียกเป็นเพศ จะไปตีตราว่าเด็กควรปฏิบัติตนตามเพศไหน หรืออาจทำให้เด็กที่เป็นเพศที่สามแต่กำเนิดและรู้ตัวเร็ว รู้สึกไม่ดีได้
และอย่างเมืองนึง รู้สึกจะในออสเตรเลีย สัญญาณไฟเขียวไฟแดงตรงทางม้าลาย จะไม่ใช่เป็นมนุษย์ก้านไม้ขีดรูปผู้ชายอย่างเดียวแล้วนะคะ ต้องมี รูปก้านผู้หญิง (ที่เป็นกระโปรงเหลี่ยมๆน่ะ) จำนวนเท่ากันในเมือง
หรืออย่าง มีการรณรงค์ในมหาวิทยาลัยว่าห้ามใช้คำว่า Mankind แทนมนุษยชาติ เพราะมีคำว่าผู้ชายในนั้น แต่ให้ใช้เป็น Humankind แทน
เราอธิบายประมาณนี้คงมีคนเข้าใจที่เราสื่อแล้วล่ะ
สรุปก็คือ สังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก ช่วง 2-3 ปีมานี้ ฝรั่งหลายคนให้นิยามว่า "มีความเรื่องเยอะ"
ฉะนั้นการเล่นประเด็นบทบาททางเพศอาจจะสุ้มเสี่ยงกับรายได้ของหนังมากเกินไป
จึงมาเล่นประเด็น ความดี ความชั่ว ในจิตใจมนุษย์แทน
จบแล้วค่ะ ขอบคุณที่อ่าน