สวัสดีค่ะ เราแฝงตัวอ่านกระทู้ในพันทิปมานานละ เลยอยากจะลองเขียนเล่าเรื่องดูบ้างค่ะ
เรื่องที่เราจะเล่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ประสบการณ์อกหัก หย่าร้าง เพื่อนใหม่ ความรักทางไกล การผจญภัย และการมองโลกมุมใหม่ค่ะ
ตั้งใจว่าจะเขียนไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ใครบังเอิญแวะผ่านมาก็ทักทายกันบ้างนะคะ ขอเสียงคนโดนเทหน่อยริ้ววววว!!
พอพูดเรื่องความรัก มันก็น่าจะเริ่มจากความความหลงก่อนเนอะ ไม่งั้นคนจะใช้คำว่า "หลงรัก" ได้ไง (ภาษาไทยต้องแปลจากหน้าไปหลัง แต่ถ้าภาษาอังกฤษแปลจากหลังไปหน้า งั้นแสดงว่าฝรั่งจะเริ่มจากรักแล้วค่อยหลง

)
แล้วการที่คนสองคนมันจะมาหลง จนกระทั่งเกิดเป็นความรักกันได้ มันก็มีองค์ประกอบหลายๆอย่างใช่ไหมคะ ถ้าหน้าตาไม่สวย แม่ก็ต้องรวยหละนะ เพราะถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ แม่ก็ต้องเปย์ด้วยเงิน --- อันนี้พูดเล่นนะคะ จะหลงได้มันก็ต้องมีอย่างอื่นที่ดึงดูดใจบ้าง สำหรับตัวเราแล้ว เราจัดตัวเองอยู่ในประเภทคนสวยค่ะ แต่เป็นการจัดเองเพราะมั่นหน้า แต่ตั้งเล็กจนโตมาก็จำไม่ค่อยได้ว่าเคยมีปู้จายมาจีบ มีแต่มโนไปเองว่าเค้ามาชอบ 555 เพราะออกจะล่ำๆ ตัวตันๆ ไม่ได้ขาวหมวย น่ารักกระจุ๊กกระจิ๊ก
แต่สิ่งที่เป็นจุดขายของเราคือ เราเป็นคนดี รักใครก็รักจริง แล้วก็คิดเลขในใจได้ (เลยไม่เคยคิดนอกใจ) ว่าแต่เราก็เป็นคนดี ทำไมโดนเทนะ

ก่อนที่จะไปถึงช่วงเซไปไอซ์แลนด์ ต้องย้อนกลับไปตอนโดนเทก่อน ก็ย้อนไปตอนที่เรามีแฟนคนแรกค่ะ เพราะชีวิตเคยโดนเทหนเดียว (เริศๆ เชิดๆ) ตอนนั้น เราเรียนอยู่ปี4 อยู่มา 20ปี ไม่ได้มีใครมาจีบ พอเปลี่ยนแนวแอ๊วเค้าก็นกตลอดๆ ดังนั้น พอได้มีแฟนกับเค้า ต้องบอกว่าหลงหัวปักหัวปำค่ะ ตอนนั้นคือรู้สึกว่าแฟนหล่อมาก เค้าจะเลือกคนสวยๆก็ได้แต่เลือกเรา เราเลยบูชาแฟนค่ะ แฟนว่าไงก็ตามนั้น เชื่อใจ ไม่ซอกแซก ไม่จิก ไม่งี่เง่า (จริงๆมีครบเลยที่กล่าวมา แต่รู้ว่าเค้าไม่ชอบค่ะ ก็เลยไม่ทำ และเราก็เป็นพวกขี้เกียจค่ะ คือขี้เกียจทะเลาะกัน เพราะขี้เกียจไปตามง้อ)
หลังเรียนจบเราก็เข้าทำงานบริษัทแห่งนึงในกรุงเทพ งานก็จะเป็นลักษณะช่วงที่หนักก็หนักโคตรๆ กลับหอตี2 ก็มี ตอนนั้นแฟนก็บอกให้เราออกมาหางานใหม่ค่ะ เราเข้าใจว่าเค้าคงเป็นห่วงเราเพราะเดินทางกลับดึกๆดื่นๆก็ไม่อยากขัดใจ (พ่อเจ้าประคู๊ณณณณ รักเอียดหวงเอียดสิเจ้าคะ) ประกอบกับงานมันก็หนักจริงๆ ไม่ได้คิดไปเอง จุดพีคคืองานเยอะมากติดต่อกันเป็นเดือน เราต้องเอางานกลับมาทำที่หอค่ะ มีครั้งนึงที่หลับไม่รู้ตัวว่าตัวเองหลับแต่ความรู้สึกคือ กำลังทำงานอยู่หน้าคอมตลอดนะคะ ความจำสุดท้ายคือกด SAVE แล้วก็ Shutdown ทั้งคอมและคน แต่ผลคือ เช้านั้น ไม่มีไฟลล์งานที่เราทำเลยค่ะ ทั้งๆที่ความรู้สึกมันชัดมาก จำได้แม้แต่ตัวเลขที่คำนวณได้ และข้อมูลที่วิเคราะห์ไว้ หลังจากวันนั้นมา ตื่นเข้าก็น้ำตาไหลค่ะ รู้สึกไม่อยากไปทำงาน
งานที่บริษัทนั้นก็จะมีไปต่างจังหวัดบ้างแต่ไม่บ่อยค่ะ เลิกงานเราก็จะนั่งรถไปหาแฟนที่ร้านค่ะ (เค้าทำธุรกิจส่วนตัว แถวหน้ามหาวิทยาลัยที่เราเรียนค่ะ) แต่บางวันแฟนก็เลยจะนั่งรถไฟฟ้ามารับไปกินข้าว ดูหนังบ้างนานๆที แต่พอมาทำงานที่ใหม่เป็นงานที่ต้องเดินทางตลอดค่ะ อยู่กรุงเทพแค่เสาร์-อาทิตย์ และแฟนก็เป็นคนไม่ชอบใช้โทรศัพท์ค่ะ บางช่วงเค้าก็จะปิดเครื่อง จริงๆเราก็เคืองนะคะ เพราะอยู่ไกลกันมันก็ต้องคิดถึง ไม่โทรหาเราไม่ว่า แต่เราจะโทรหาปิดเครื่องตลอดเลย มันก็น่าน้อยใจ เราทำงานที่แผนกนี้อยู่ประมาณ 2 ปี ก็มีแผนว่าแต่งงานกันดีไหม โดยแฟนเราไม่ได้ขอเราแต่งงานค่ะ เราเป็นคนถามเค้าเองว่าเมื่อไหร่จะมาขอซักที โดยอ้างเหตุผลว่าเค้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ถ้าแต่งตอนเค้า 40 เพื่อนจะล้อเรา (ตอนนั้นเราอายุ 24-25) เรากับเค้าก็อายุห่างกันประมาณ 14-15 ปี ซึ่งผู้ใหญ่หลายคนก็เป็นห่วงว่าจะมีปัญหาไหม เราก็ตอบว่าไม่มีๆ (แต่จริงๆ คือ เราสามารถมองข้ามปัญหาเหล่านั้นได้ เพราะเราหลงเค้า และคิดว่าผู้ชายคนนี้คือคนสุดท้ายที่เราจะรัก) แต่หลังจากเตรียมงานไปเกือบทั้งหมด และการ์ดก็ถูกแจกจ่ายออกไปแล้ว ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องโทรหาแม่เพื่อปรึกษาว่า “เรายังไม่แต่งดีไหม” เพราะมันมีความรู้สึกไม่มั่นใจว่าเราจะมีความสุขถ้าแต่งงานกับเค้า จริงๆมันเป็นเหตุการณ์ที่เล็กมาก แค่เค้าไม่ค่อยสนใจเรื่องงานแต่ง ไม่ช่วยเราเตรียมงาน และหนนี้เองที่เราไม่ยอม และในเมื่อเคลียร์กันไม่ได้ เราก็เลยขับรถออกมา และเค้าก็ไม่โทรหาอะไรใดๆ ทำให้เราน้อยใจ
แม่ปลอบใจเราว่าอาจจะเป็นเพราะชีวิตเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงเราเลยเกิดความกังวล ความกลัว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา การที่เค้าไม่ได้ช่วยไม่ได้แปลว่าไม่อยากแต่งกับเรา แม่มองว่าถ้าจะยกเลิกงานตอนนี้ทั้งๆที่เตรียมทุกอย่างแล้ว มันต้องมีเหตุผลมากกว่านี้
เมื่อโดนชายไทยเท ใจฉันเลยเซไปไอซ์แลนด์
เรื่องที่เราจะเล่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ประสบการณ์อกหัก หย่าร้าง เพื่อนใหม่ ความรักทางไกล การผจญภัย และการมองโลกมุมใหม่ค่ะ
ตั้งใจว่าจะเขียนไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ใครบังเอิญแวะผ่านมาก็ทักทายกันบ้างนะคะ ขอเสียงคนโดนเทหน่อยริ้ววววว!!
พอพูดเรื่องความรัก มันก็น่าจะเริ่มจากความความหลงก่อนเนอะ ไม่งั้นคนจะใช้คำว่า "หลงรัก" ได้ไง (ภาษาไทยต้องแปลจากหน้าไปหลัง แต่ถ้าภาษาอังกฤษแปลจากหลังไปหน้า งั้นแสดงว่าฝรั่งจะเริ่มจากรักแล้วค่อยหลง
แล้วการที่คนสองคนมันจะมาหลง จนกระทั่งเกิดเป็นความรักกันได้ มันก็มีองค์ประกอบหลายๆอย่างใช่ไหมคะ ถ้าหน้าตาไม่สวย แม่ก็ต้องรวยหละนะ เพราะถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ แม่ก็ต้องเปย์ด้วยเงิน --- อันนี้พูดเล่นนะคะ จะหลงได้มันก็ต้องมีอย่างอื่นที่ดึงดูดใจบ้าง สำหรับตัวเราแล้ว เราจัดตัวเองอยู่ในประเภทคนสวยค่ะ แต่เป็นการจัดเองเพราะมั่นหน้า แต่ตั้งเล็กจนโตมาก็จำไม่ค่อยได้ว่าเคยมีปู้จายมาจีบ มีแต่มโนไปเองว่าเค้ามาชอบ 555 เพราะออกจะล่ำๆ ตัวตันๆ ไม่ได้ขาวหมวย น่ารักกระจุ๊กกระจิ๊ก
แต่สิ่งที่เป็นจุดขายของเราคือ เราเป็นคนดี รักใครก็รักจริง แล้วก็คิดเลขในใจได้ (เลยไม่เคยคิดนอกใจ) ว่าแต่เราก็เป็นคนดี ทำไมโดนเทนะ
ก่อนที่จะไปถึงช่วงเซไปไอซ์แลนด์ ต้องย้อนกลับไปตอนโดนเทก่อน ก็ย้อนไปตอนที่เรามีแฟนคนแรกค่ะ เพราะชีวิตเคยโดนเทหนเดียว (เริศๆ เชิดๆ) ตอนนั้น เราเรียนอยู่ปี4 อยู่มา 20ปี ไม่ได้มีใครมาจีบ พอเปลี่ยนแนวแอ๊วเค้าก็นกตลอดๆ ดังนั้น พอได้มีแฟนกับเค้า ต้องบอกว่าหลงหัวปักหัวปำค่ะ ตอนนั้นคือรู้สึกว่าแฟนหล่อมาก เค้าจะเลือกคนสวยๆก็ได้แต่เลือกเรา เราเลยบูชาแฟนค่ะ แฟนว่าไงก็ตามนั้น เชื่อใจ ไม่ซอกแซก ไม่จิก ไม่งี่เง่า (จริงๆมีครบเลยที่กล่าวมา แต่รู้ว่าเค้าไม่ชอบค่ะ ก็เลยไม่ทำ และเราก็เป็นพวกขี้เกียจค่ะ คือขี้เกียจทะเลาะกัน เพราะขี้เกียจไปตามง้อ)
หลังเรียนจบเราก็เข้าทำงานบริษัทแห่งนึงในกรุงเทพ งานก็จะเป็นลักษณะช่วงที่หนักก็หนักโคตรๆ กลับหอตี2 ก็มี ตอนนั้นแฟนก็บอกให้เราออกมาหางานใหม่ค่ะ เราเข้าใจว่าเค้าคงเป็นห่วงเราเพราะเดินทางกลับดึกๆดื่นๆก็ไม่อยากขัดใจ (พ่อเจ้าประคู๊ณณณณ รักเอียดหวงเอียดสิเจ้าคะ) ประกอบกับงานมันก็หนักจริงๆ ไม่ได้คิดไปเอง จุดพีคคืองานเยอะมากติดต่อกันเป็นเดือน เราต้องเอางานกลับมาทำที่หอค่ะ มีครั้งนึงที่หลับไม่รู้ตัวว่าตัวเองหลับแต่ความรู้สึกคือ กำลังทำงานอยู่หน้าคอมตลอดนะคะ ความจำสุดท้ายคือกด SAVE แล้วก็ Shutdown ทั้งคอมและคน แต่ผลคือ เช้านั้น ไม่มีไฟลล์งานที่เราทำเลยค่ะ ทั้งๆที่ความรู้สึกมันชัดมาก จำได้แม้แต่ตัวเลขที่คำนวณได้ และข้อมูลที่วิเคราะห์ไว้ หลังจากวันนั้นมา ตื่นเข้าก็น้ำตาไหลค่ะ รู้สึกไม่อยากไปทำงาน
งานที่บริษัทนั้นก็จะมีไปต่างจังหวัดบ้างแต่ไม่บ่อยค่ะ เลิกงานเราก็จะนั่งรถไปหาแฟนที่ร้านค่ะ (เค้าทำธุรกิจส่วนตัว แถวหน้ามหาวิทยาลัยที่เราเรียนค่ะ) แต่บางวันแฟนก็เลยจะนั่งรถไฟฟ้ามารับไปกินข้าว ดูหนังบ้างนานๆที แต่พอมาทำงานที่ใหม่เป็นงานที่ต้องเดินทางตลอดค่ะ อยู่กรุงเทพแค่เสาร์-อาทิตย์ และแฟนก็เป็นคนไม่ชอบใช้โทรศัพท์ค่ะ บางช่วงเค้าก็จะปิดเครื่อง จริงๆเราก็เคืองนะคะ เพราะอยู่ไกลกันมันก็ต้องคิดถึง ไม่โทรหาเราไม่ว่า แต่เราจะโทรหาปิดเครื่องตลอดเลย มันก็น่าน้อยใจ เราทำงานที่แผนกนี้อยู่ประมาณ 2 ปี ก็มีแผนว่าแต่งงานกันดีไหม โดยแฟนเราไม่ได้ขอเราแต่งงานค่ะ เราเป็นคนถามเค้าเองว่าเมื่อไหร่จะมาขอซักที โดยอ้างเหตุผลว่าเค้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ถ้าแต่งตอนเค้า 40 เพื่อนจะล้อเรา (ตอนนั้นเราอายุ 24-25) เรากับเค้าก็อายุห่างกันประมาณ 14-15 ปี ซึ่งผู้ใหญ่หลายคนก็เป็นห่วงว่าจะมีปัญหาไหม เราก็ตอบว่าไม่มีๆ (แต่จริงๆ คือ เราสามารถมองข้ามปัญหาเหล่านั้นได้ เพราะเราหลงเค้า และคิดว่าผู้ชายคนนี้คือคนสุดท้ายที่เราจะรัก) แต่หลังจากเตรียมงานไปเกือบทั้งหมด และการ์ดก็ถูกแจกจ่ายออกไปแล้ว ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องโทรหาแม่เพื่อปรึกษาว่า “เรายังไม่แต่งดีไหม” เพราะมันมีความรู้สึกไม่มั่นใจว่าเราจะมีความสุขถ้าแต่งงานกับเค้า จริงๆมันเป็นเหตุการณ์ที่เล็กมาก แค่เค้าไม่ค่อยสนใจเรื่องงานแต่ง ไม่ช่วยเราเตรียมงาน และหนนี้เองที่เราไม่ยอม และในเมื่อเคลียร์กันไม่ได้ เราก็เลยขับรถออกมา และเค้าก็ไม่โทรหาอะไรใดๆ ทำให้เราน้อยใจ
แม่ปลอบใจเราว่าอาจจะเป็นเพราะชีวิตเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงเราเลยเกิดความกังวล ความกลัว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา การที่เค้าไม่ได้ช่วยไม่ได้แปลว่าไม่อยากแต่งกับเรา แม่มองว่าถ้าจะยกเลิกงานตอนนี้ทั้งๆที่เตรียมทุกอย่างแล้ว มันต้องมีเหตุผลมากกว่านี้