วันนี้เมื่อปีที่แล้ว (จริงๆแล้วก่อนวันนี้สักเดือนนึง) เราตัดสินใจทิ้งชีวิตที่เมืองไทยแล้วลากกระเป๋ามาล่าฝันที่สิงคโปร์ เคยมีคนถามว่าทำไมถึงตัดสินใจมาติดเกาะตอนที่อายุก็เริ่มเยอะแล้ว (เอ่อะ..ช็อก) คือมันเป็นช่วงอายุที่น่าจะเริ่ม settle down กับชีวิตได้แล้วไง การตัดสินใจทิ้งหน้าที่การงานที่เริ่มก้าวไปได้เป็นอย่างดีที่ไทย โพรไฟล์ก็สร้างไว้เยอะแล้ว คนในวงการงานเดียวกันก็เริ่มมีเน็ทเวิร์ครู้จักกันเป็นอย่างดี เหมือนจะเป็นชีวีที่เบิกบาน ... การตัดสินใจครั้งนั้นถือว่าเป็นความตัดสินใจที่ค่อนข้างลำบากพอสมควร แต่ตอนนั้นจำได้เลยว่าถ้าไม่ตัดสินใจก้าวออกมาตั้งแต่วันนี้ ไม่รู้ชีวิตนี้จะได้ออกจากประเทศมาเจออะไรใหม่ๆอีกเมื่อไหร่ ... จับพลัดจับผลูมีสามีขึ้นมาทำไง ไม่ออกจากประเทศแน่นอน 55555
วันนี้เลยขอมาเล่าให้ฟังตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจมาติดเกาะที่สิงคโปร์ และสรุปเล็กๆน้อยๆ ว่า 1 ปีที่ผ่านมาเราได้อะไรมาบ้าง

1. ทำไมถึงตัดสินใจมาติดเกาะ ง่ายๆเลย ตอนนั้นรู้สึกตันแล้วกับหน้าที่การงานของตัวเอง (เรารู้สึกเองนะไม่มีใครทำให้รู้สึก) ตอนนั้นบอกไม่ถูกว่าเราจะเดินก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ยังไงในสายอาชีพ เริ่มมีหลายคนชวนไปทำงานด้วยกัน แต่ตอนนั้นก็ถามตัวเองนะว่าถ้าเราจะก้าวหน้ามันต้องมีอะไรมากกว่าการย้ายบริษัท .... ก็เลยตัดสินใจ เอาวะ..หางานต่างประเทศเลยละกัน เราทำงานเกี่ยวกับ communication / marketing อยู่แล้ว มันจะมีอะไรที่จะดีไปกว่าการก้าวข้ามตลาดของเราเองแล้วไปศึกษาตลาดต่างประเทศบ้าง เลยเริ่มๆหางานค่ะ ตอนนั้นหาที่สี่ที่เป็นหลัก คือ สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน แล้วก็โตเกียว มีสัมภาษณ์มาแล้วทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง แล้วก็โตเกียว (ส่วนไต้หวันยากมาก เพราะเราไม่ได้ภาษาจีน) สรุปว่าได้งานที่สิงคโปร์ก่อนก็เลยตัดสินใจมา ใช้เวลาหาทั้งหมดนานเหมือนกันนะ น่าจะประมาณครึ่งปี
2. เคยมีคนถามว่าหางานได้ไงที่สิงคโปร์เก่งจัง ... คนที่อยากมาทำงานที่นี่ขอแนะนำอย่างแรงกล้าเลยค่ะว่าให้สร้างโพรไฟล์ Linkedin ไว้ อย่าลืมว่าเราไม่ได้หางานอยู่คนเดียว เราต้องทำตัวให้ visible ในหมู่ recruiter / headhunter ด้วย เหล่าบุคคลเหล่านั้นจะคอยสอดส่องโพรไฟล์ของคนทั้งหลายบน Linkedin กันเป็นประจำทุกวัน จะบอกว่างานที่ถูกเรียกสัมภาษณ์ทั้งหมดในข้อ 1 เป็นงานที่ได้จาก headhunter ที่เจอโพรไฟล์ของเราจาก Linkedin ทั้งหมด โชคดีที่ได้ภาษาญี่ปุ่นอีกภาษาด้วยถือว่าเป็น advantage ของเรามากๆ เพราะคนที่ได้ trilingual มันไม่เยอะ เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่าจะหางานใหม่ อย่าลืมทำโพรไฟล์ Linkedin ไว้นะคะ แล้วเข้าไปเช็คบ่อยๆ ถ้าเรา active บ่อยๆ โพรไฟล์เราจะยิ่งมีคนเห็นมากขึ้น
3. จำได้ว่าคืนก่อนที่จะเดินทางมาสิงคโปร์ นอนร้องไห้อ่ะ ... คือวินาทีที่จะย้ายมาจริงๆแล้วมันทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว ทั้งไม่มั่นใจ และครั้งนี้ไม่เหมือนตอนไปเรียนต่อ โตแล้ว ออกมาทำงานเมืองนอกคนเดียว ไม่มีใครมาช่วยเหมือนตอนเป็นนักเรียนแล้ว ทุกอย่างต้องช่วยเหลือตัวเอง แต่ตัดสินใจไปแล้ว ถอนตัวไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องไป และแล้ววันนี้เมื่อปีที่แล้วก็มาถึง ... วันนี้เราขึ้นเครื่องบินมาอยู่ที่นี่
4. มาอยู่แล้ว culture shock มั้ย จริงๆแล้วไม่ช็อคเท่าไหร่ เพราะตอนทำงานก็มา business trip ที่ regional office ที่สิงคโปร์บ่อยมาก แต่สิ่งที่ไม่เรียกว่าช็อค แต่เรียกว่าเสียเซลฟ์ดีกว่า คือ เรื่องความสามารถภาษาอังกฤษของเรา
5. จากคนที่เคยคิดว่าภาษาอังกฤษชั้นเนี่ยแหละหนึ่งในตองอูนะเว้ยเฮ้ย สอบเอ็นท์ได้อังกฤษยังเกือบเต็ม (ใข่ค่ะรุ่นสอบเอ็นท์ค่ะ...รู้อายุเลยสินะ) สอบ TOEIC ยังตอบผิดไปข้อเดียว ก่อนมามั่นใจมากกกกกก สบายยยยยยยย ... แต่มาถึงแล้วมันไ้ม่ใช่ยังงั้นหว่ะแก คือพอตอนเรียน ตอนอ่านหนังสือ ตอนเขียน thesis ตอนทำข้อสอบมันไม่เหมือนกัน รู้สึกเลยว่ามาอยู่นี่ทำไมภาษาชั้นง่อยจังอ่ะ อาจจะเป็นเพราะคำศัพท์ที่ใช้ตอนทำงานกับที่เคยใช้มาตลอดชีวิตมันคนละอย่างกันเหวย แล้วนึกออกมั้ยเราอ่ะไม่ใช่คนพูดน้อยนะ แต่เวลาอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วย English Native Speakers ทั้งอังกฤษ อเมริกา สิงคโปร์ หรือแม้แต่อินเดีย ดิชั้นตัวลืบมากกกก เห้ยยย คือไม่ได้ไม่มีความเห็นไง แต่พูดไม่ทันไงแกกกกกกกกก
6. หลายคนอาจจะสงสัยว่าอยู่สิงคโปร์แพงมั้ย บอกตรงๆนะคะว่า ... ก็แล้วแต่ว่าอะไร มันมีหลายอย่างนะที่แพงกว่าเมืองไทยเยอะ เพราะอย่างว่าประเทศเค้าเป็นเกาะไง ที่มันก็น้อย ผลิตอะไรมาเองก็ไม่ค่อยได้ น้ำเปล่ายังต้องอิมพอร์ตมาจากมาเลย์เลย มีครั้งนึงปุ่มกดส้วมที่บ้านพัง...ซีดเลยค่ะ ค่าอะไหล่บวกค่าบริการแพงมากกกก (ความเดิมตอนที่แล้ว
http://bit.ly/2rS4vSD) แต่บางอย่างที่จะบอกว่าจริงๆแล้ว เห้ย มันโอเคนะ มันไม่ได้แพงขนาดนั้น อย่างเช่น อาหาร หลายคนคิดว่า เห้ย อยู่ได้ไงอาหารแพง .... แต่ขอบอกว่าถ้ามาอยู่จริงๆมันสามารถหาได้นะอาหารที่มันไม่แพงอ่ะ แบบ S$3-4 (75-100 บาท) เนี่ยหาได้ง่ายๆ เหมือนกินข้าวกลางวันที่ food court central world เลยอ่ะแก ค่าเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะก็ถูกมาก เราใช้เดินทางไป-กลับที่ทำงาน (ถ้าไม่ได้ไปไหนต่อ) ก็ตกอยู่ที่วันละ S$2 (50 บาท) เอง แล้วรถสาธารณะมันไม่ได้ง่อยๆนะ คือดี คือตรงเวลา เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ดีมากๆ
7. แต่เหล้าแพง ... ก็ดีกินเหล้าน้อยลงไปโดยปริยาย ประหยัดตังค์ หะๆ
8. นอกจากการเดินทางสะดวกแล้ว จริงๆสิ่งที่ดีมากเวลามาอยู่ที่นี่คือมันปลอดภัยมาก คือที่นี่ทุกคนเกรงกลัวกฎหมาย (ถึงแม้ว่ามันจะมีกฎหมายแปลกประหลาดบ้างหลายข้อ เช่น ไม่กดส้วมสาธารณะโดนจับได้ ไว้วันหลังจะมาเขียนให้อ่าน) ไปเดินพวกตลาด หรืออีเว้นท์ที่มันเบียดๆนะไม่ต้องมีใครประกาศเหมือนศูนย์สิริกิติ์นะว่าระวังกระเป๋าสตางค์ มันโอเคจริงๆแก คือตอนที่มาแรกๆเกือบโดยเอเจ้นท์บ้านหลอกกินตังค์ไปฟรีๆ (ความเดิมตอนที่แล้ว
http://bit.ly/2rRX25Y) ตอนแรกก็รู้สึกแย่มากแต่พอเพื่อนโทรไปจัดการว่าจะแจ้งตำรวจก็คดีพลิกทันทีได้เงินคืนง่ายๆซะงั้น คือแบบ เฮ้ย..คนที่นี่เค้ามีความเกรงกลังกฎหมายจริงๆ
9. มีอย่างนึงที่ชอบมากคือการข้ามถนนทางม้าลายไม่ต้องมองซ้ายมองขวา ข้ามได้เลย รถหยุดให้ ไม่โดนรถชนตายแน่นอน ... อันนี้ทำให้คราวก่อนกลับเมืองไทยมีความเก้ๆกังๆในการเดินข้ามทางม้าลายเล็กน้อย สกิลการข้ามถนนลดลง
10. มาพูดเรื่องภาษากันบ้าง มีคนถามหลายคนมาก เห้ย ไหวเหรอ ... ฟัง Singlish ออกเหรอ ก็ยอมรับกันตรงๆว่าตอนแรกขำมากกกก คือฟังไม่ออกกกก พูดอะไรกันเหรอแกร๊ แต่ไปๆมาๆก็ฟังรู้เรื่องละ ตอนนี้รู้บริบทการใช้ Lah / Lor / Leh และ (มันมีมากกว่า Lah เยอะนะจริงๆแล้ว) แล้วก็มีความอะเมซิ่งหลายๆอย่าง คือคำศัพท์บางคำที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเรารู้เรื่องนะ เพราะมันมีรากภาษามาจากภาษาจีนฮกเกี้ยน (ญาติกับแต้จิ๋ว) เช่น ก๋วยเตี๋ยว เก้าอี้ หรือแม้แต่คำบางคำที่ไม่รู้มันคือภาษาอะไรเราก็มารู้ที่มาที่นี่ เช่น เราเข้าใจว่า "คริสตัง" คือคนคาทอลิกเฉยๆมาตลอก (แบบคริสเตียน คริสตัง) แต่จริงๆแล้วมันมาจากคำว่า Kristang คือ คนที่เป็นลูกผสมสืบเชื้อสายมาจากโปรตุเกส และมะละกา
11. มันให้ความรู้สึกต่างจากตอนไปอยู่ญี่ปุ่นมากนะ (เราเคยไปเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นหลายปี เคยสถิตย์อยู่ในห้องไกลบ้าน 555) เพราะถึงแม้เราจะรู้สึกว่าญี่ปุ่นใกล้ตัวเรามาก เพราะเรารับวัฒนธรรมป็อปจากญี่ปุ่นมาแต่เด็ก แต่จริงๆแล้วมันแตกต่างจากรากเหง้าเรามาก ตอนที่เราไปญี่ปุ่นคือเริ่มใหม่หมดทุกอย่าง ต้องเข้าใจอะไรใหม่หมดทุกอย่าง พอมาอยู่นี่กลับรู้สึกเหมือนเราได้ต่อยอดความรู้จากสิ่งที่เรารู้มาแล้ว เราได้ discover สิ่งที่เรารู้มาก่อนแต่รู้ไม่ลึกอ่ะ มันให้ความรู้สึกฟินกันคนละแบบนะ
12. มาอยู่ที่นี่เราจะงงมาก คืองงมากว่าเราอยู่ประเทศอะไรวะ เดินไปกลางถนนนะจะมีคนพูดภาษานั่นนี่ ภาษาอะไรก็ไม่รู้อ่ะ เดินสวนเราไปตลอดเวลา คือที่นี่มัน mix มาก mix มากมากกกกกก นอกจากดั้งเดิมที่มีคนหลายชาติพันธุ์มาอยู่รวมกันแล้ว เนื่องจากนางเป็น regional hub ของภูมิภาคนี้เลยมีคนต่างชาติมาอยู่เยอะมากมากกกกกกกก
13. ความยากลำบากของการอยู่ที่นี่มีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกมาก คือเรารู้สึกว่าเราด้อยอ่ะ เรารู้สึกเลยนะว่าเราไม่เก่งพอ คืออย่างที่บอกว่าที่นี่เป็น regional hub มันก็จะรวมคนเจ๋งๆ มาอยู่ที่นี่ เรากลายเป็นเห็บหอยไปเลย คือเรารู้สึกตัวเล็กมากเมื่อเที่ยบกับคนที่นี่ ขนาดไปยิมนะ ตอนแรกเราคิดว่าเราเนี่ยแหละแข็งแรงมาก มาเจอสาวสิงคโปร์เท่านั้นแหละ อีบ้า...เอาแรงมาจากไหนวะแก อย่าว่าแต่คนต่างชาติที่มารวมกันที่นี่เลย คนสิงคโปร์เองพวกนางก็เก่ง เคยอ่านบทความนึงบอกว่าคนสิงคโปร์จริงๆแล้วไม่เยอะที่มีประสบการณ์ไปเรียนหรือทำงานที่ต่างประเทศ แต่ที่พวกนางเก่งขนาดนี้ต้องชมระบบการศึกษาของนางนะ มหาลัยนางติดอันดับโลกนะจ๊ะ คือมันทำให้เราท้อใจในระดับหนึ่งนะ แบบเราทิ้งความเจ๋งที่เราเคยทำไว้ที่ไทยมาหมดเลยแล้วมาเริ่มใหม่แบบนี้เราคิดถูกหรือเปล่าแต่ตอนนี้คิดได้และ คิดว่ามันเป็นแรงฮึดให้เรารู้สึกว่าเราอยากเก่งกว่านี้ อยากทำได้มากกว่านี้ อยากแข็งแรงกว่านี้ ฮึบๆ บอกตรงๆว่าก็เริ่มหางานใหม่มาสักพักละ เห็นท้อมาแล้วหลายลูก แต่ก็ไม่ยอมแพ้หรอก จะหน้าด้านส่งใบสมัครต่อไปนี่แหละ มันต้องได้สักที่แหละวะ!
14. เรื่องร้ายๆก็มีนะไม่ใช่ไม่มี ไม่ใช่ว่าจะชื่นชมอะไรพวกนางขนาดนั้น อย่างที่เล่าไปข้อก่อนๆ แล้วเรื่องเกือบโดนโกง และความแพง มาอยู่ที่นี่มันมีความรู้สึกแย่หลายอย่าง อย่างเช่น ในการที่เราเป็นคนไทย เป็นผู้หญิงไทยอ่ะ คือ sterotype มันก็ถูกมองแย่ไประดับนึงแล้ว เคยไปดู stand up comedy ครั้งนึงแล้วนางถามเราว่าเรากับเพื่อนที่ไปด้วยกันเจอกันที่ไหน Orchard Tower หรือเปล่า (Orchard Tower คือแหล่งร่วมการค้าบริการที่คิดว่าน่าจะถูกกฎหมาย) เพียงเพราะว่านางรู้ว่าเราเป็นคนไทย แต่คนสิงคโปร์ที่ชอบเมืองไทยมากๆ ชอบคนไทยมากๆก็มีนะ คนสิงคโปร์พูดไทยได้ ชอบดูหนังไทย ละครไทยคือมีเยอะจริงๆ เราว่ามันก็แอบปะปน หรือเรื่องความเปิดกว้างทางความคิดนางไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่นะพูดเลย อย่างสื่อนางก็โดนคุมโดยรัฐบาลอย่างหนัก (ไม่แน่ใจว่าคุมไปถึง social media / online หรือเปล่า) หรือล่าสุดที่ Facebook เปิดให้ใช้ปุ่มสายรุ้งเพื่อเดือน LGBT ที่นี่นางก็ไม่เปิดให้ใช้นะจ๊ะ นางยังรับไม่ได้เรื่องนี้ ... เราเลยไม่มีสายรุ้งใช้ไปด้วยเลย T T
15. สุดท้าย ... คุ้มมั้ยมาอยู่ที่นี่ ก็คุ้มนะ...ถ้าเรื่องเงินตอนแรกคิดนะ โหเงินเดือนเยอะกว่าที่ไทยเกือบ 3 เท่า สบ๊ายยยยย แต่จ่ายค่าบ้านไปก็ไม่ค่อยสบายละ สรุปเหลือเงินเก็บนิดเดียว แต่เนื่องจากค่าครองชีพเนี่ยแหละถ้าเราประหยัดๆหน่อย เราสามารถเจียดเงินเดือนเราไปซื้อตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น ฮ่องกงไรงี้ได้เเลย (ถ้าอยู่ไทยอาจต้องอดออมสักสามสี่เดือน) ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินเก็บเลยนะ หลายคนบอกว่าสิงคโปร์น่าเบื่อประเทศเล็กนิดเดียวไม่มีไรทำ ธรรมชาติอะไรก็ไม่มี แต่จริงๆแล้วมันมีอะไรให้ทำเยอะนะ เราว่าขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนแบบไหน ถ้าแอคทีฟๆแบบเราเนี่ย ยังไงก็ต้องหาอะไรทำ ไม่เบื่อหรอก สนุกจะตาย (อีกอย่างมีตังค์บินไปเที่ยวประเทศใกล้ๆได้ ไม่แพง) คุ้ม!
โห...เลื่อนกลับไปดูยาวมากเลยอ่ะ ถ้าใครอ่านมีถึงตรงนี้ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้อ่านบทสรุป 1 ปีของชีวิตเราในสิงคโปร์จบแล้ว 55555 เราก็ยังจะอยู่ต่อไปนะ ไม่รู้อยู่ถึงเมื่อไหร่ อาจจะอยู่จนถึงตอนที่รู้สึกว่ามันไม่มี room ให้เติบโตต่อแล้ว หรือว่ามีโอกาสอื่นที่เจ๋งกว่ารออยู่ อีกอย่างเซ็นสัญญาบ้านไปและ อย่างน้อยก็ต้องห้ามออกจากเกาะนี้ไปอีกหนึ่งปีแหละ 55555
ปล. สามารถติดตามรายละเอียดทุกซอกทุกมุมของสิ่งที่เราทำได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/BoringSG/ ตั้งใจตั้งชื่อว่าสิงคโปร์น่าเบื่อ เพราะมีแต่คนบอกว่ามันน่าเบื่อ ... จริงๆมีอะไรทำให้ทำแก้เบื่อเยอะนะ ;)
บันทึก 1 ปีชะนีติดเกาะ (สิงคโปร์)
วันนี้เลยขอมาเล่าให้ฟังตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจมาติดเกาะที่สิงคโปร์ และสรุปเล็กๆน้อยๆ ว่า 1 ปีที่ผ่านมาเราได้อะไรมาบ้าง
1. ทำไมถึงตัดสินใจมาติดเกาะ ง่ายๆเลย ตอนนั้นรู้สึกตันแล้วกับหน้าที่การงานของตัวเอง (เรารู้สึกเองนะไม่มีใครทำให้รู้สึก) ตอนนั้นบอกไม่ถูกว่าเราจะเดินก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ยังไงในสายอาชีพ เริ่มมีหลายคนชวนไปทำงานด้วยกัน แต่ตอนนั้นก็ถามตัวเองนะว่าถ้าเราจะก้าวหน้ามันต้องมีอะไรมากกว่าการย้ายบริษัท .... ก็เลยตัดสินใจ เอาวะ..หางานต่างประเทศเลยละกัน เราทำงานเกี่ยวกับ communication / marketing อยู่แล้ว มันจะมีอะไรที่จะดีไปกว่าการก้าวข้ามตลาดของเราเองแล้วไปศึกษาตลาดต่างประเทศบ้าง เลยเริ่มๆหางานค่ะ ตอนนั้นหาที่สี่ที่เป็นหลัก คือ สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน แล้วก็โตเกียว มีสัมภาษณ์มาแล้วทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง แล้วก็โตเกียว (ส่วนไต้หวันยากมาก เพราะเราไม่ได้ภาษาจีน) สรุปว่าได้งานที่สิงคโปร์ก่อนก็เลยตัดสินใจมา ใช้เวลาหาทั้งหมดนานเหมือนกันนะ น่าจะประมาณครึ่งปี
2. เคยมีคนถามว่าหางานได้ไงที่สิงคโปร์เก่งจัง ... คนที่อยากมาทำงานที่นี่ขอแนะนำอย่างแรงกล้าเลยค่ะว่าให้สร้างโพรไฟล์ Linkedin ไว้ อย่าลืมว่าเราไม่ได้หางานอยู่คนเดียว เราต้องทำตัวให้ visible ในหมู่ recruiter / headhunter ด้วย เหล่าบุคคลเหล่านั้นจะคอยสอดส่องโพรไฟล์ของคนทั้งหลายบน Linkedin กันเป็นประจำทุกวัน จะบอกว่างานที่ถูกเรียกสัมภาษณ์ทั้งหมดในข้อ 1 เป็นงานที่ได้จาก headhunter ที่เจอโพรไฟล์ของเราจาก Linkedin ทั้งหมด โชคดีที่ได้ภาษาญี่ปุ่นอีกภาษาด้วยถือว่าเป็น advantage ของเรามากๆ เพราะคนที่ได้ trilingual มันไม่เยอะ เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่าจะหางานใหม่ อย่าลืมทำโพรไฟล์ Linkedin ไว้นะคะ แล้วเข้าไปเช็คบ่อยๆ ถ้าเรา active บ่อยๆ โพรไฟล์เราจะยิ่งมีคนเห็นมากขึ้น
3. จำได้ว่าคืนก่อนที่จะเดินทางมาสิงคโปร์ นอนร้องไห้อ่ะ ... คือวินาทีที่จะย้ายมาจริงๆแล้วมันทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว ทั้งไม่มั่นใจ และครั้งนี้ไม่เหมือนตอนไปเรียนต่อ โตแล้ว ออกมาทำงานเมืองนอกคนเดียว ไม่มีใครมาช่วยเหมือนตอนเป็นนักเรียนแล้ว ทุกอย่างต้องช่วยเหลือตัวเอง แต่ตัดสินใจไปแล้ว ถอนตัวไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องไป และแล้ววันนี้เมื่อปีที่แล้วก็มาถึง ... วันนี้เราขึ้นเครื่องบินมาอยู่ที่นี่
4. มาอยู่แล้ว culture shock มั้ย จริงๆแล้วไม่ช็อคเท่าไหร่ เพราะตอนทำงานก็มา business trip ที่ regional office ที่สิงคโปร์บ่อยมาก แต่สิ่งที่ไม่เรียกว่าช็อค แต่เรียกว่าเสียเซลฟ์ดีกว่า คือ เรื่องความสามารถภาษาอังกฤษของเรา
5. จากคนที่เคยคิดว่าภาษาอังกฤษชั้นเนี่ยแหละหนึ่งในตองอูนะเว้ยเฮ้ย สอบเอ็นท์ได้อังกฤษยังเกือบเต็ม (ใข่ค่ะรุ่นสอบเอ็นท์ค่ะ...รู้อายุเลยสินะ) สอบ TOEIC ยังตอบผิดไปข้อเดียว ก่อนมามั่นใจมากกกกกก สบายยยยยยยย ... แต่มาถึงแล้วมันไ้ม่ใช่ยังงั้นหว่ะแก คือพอตอนเรียน ตอนอ่านหนังสือ ตอนเขียน thesis ตอนทำข้อสอบมันไม่เหมือนกัน รู้สึกเลยว่ามาอยู่นี่ทำไมภาษาชั้นง่อยจังอ่ะ อาจจะเป็นเพราะคำศัพท์ที่ใช้ตอนทำงานกับที่เคยใช้มาตลอดชีวิตมันคนละอย่างกันเหวย แล้วนึกออกมั้ยเราอ่ะไม่ใช่คนพูดน้อยนะ แต่เวลาอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วย English Native Speakers ทั้งอังกฤษ อเมริกา สิงคโปร์ หรือแม้แต่อินเดีย ดิชั้นตัวลืบมากกกก เห้ยยย คือไม่ได้ไม่มีความเห็นไง แต่พูดไม่ทันไงแกกกกกกกกก
6. หลายคนอาจจะสงสัยว่าอยู่สิงคโปร์แพงมั้ย บอกตรงๆนะคะว่า ... ก็แล้วแต่ว่าอะไร มันมีหลายอย่างนะที่แพงกว่าเมืองไทยเยอะ เพราะอย่างว่าประเทศเค้าเป็นเกาะไง ที่มันก็น้อย ผลิตอะไรมาเองก็ไม่ค่อยได้ น้ำเปล่ายังต้องอิมพอร์ตมาจากมาเลย์เลย มีครั้งนึงปุ่มกดส้วมที่บ้านพัง...ซีดเลยค่ะ ค่าอะไหล่บวกค่าบริการแพงมากกกก (ความเดิมตอนที่แล้ว http://bit.ly/2rS4vSD) แต่บางอย่างที่จะบอกว่าจริงๆแล้ว เห้ย มันโอเคนะ มันไม่ได้แพงขนาดนั้น อย่างเช่น อาหาร หลายคนคิดว่า เห้ย อยู่ได้ไงอาหารแพง .... แต่ขอบอกว่าถ้ามาอยู่จริงๆมันสามารถหาได้นะอาหารที่มันไม่แพงอ่ะ แบบ S$3-4 (75-100 บาท) เนี่ยหาได้ง่ายๆ เหมือนกินข้าวกลางวันที่ food court central world เลยอ่ะแก ค่าเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะก็ถูกมาก เราใช้เดินทางไป-กลับที่ทำงาน (ถ้าไม่ได้ไปไหนต่อ) ก็ตกอยู่ที่วันละ S$2 (50 บาท) เอง แล้วรถสาธารณะมันไม่ได้ง่อยๆนะ คือดี คือตรงเวลา เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ดีมากๆ
7. แต่เหล้าแพง ... ก็ดีกินเหล้าน้อยลงไปโดยปริยาย ประหยัดตังค์ หะๆ
8. นอกจากการเดินทางสะดวกแล้ว จริงๆสิ่งที่ดีมากเวลามาอยู่ที่นี่คือมันปลอดภัยมาก คือที่นี่ทุกคนเกรงกลัวกฎหมาย (ถึงแม้ว่ามันจะมีกฎหมายแปลกประหลาดบ้างหลายข้อ เช่น ไม่กดส้วมสาธารณะโดนจับได้ ไว้วันหลังจะมาเขียนให้อ่าน) ไปเดินพวกตลาด หรืออีเว้นท์ที่มันเบียดๆนะไม่ต้องมีใครประกาศเหมือนศูนย์สิริกิติ์นะว่าระวังกระเป๋าสตางค์ มันโอเคจริงๆแก คือตอนที่มาแรกๆเกือบโดยเอเจ้นท์บ้านหลอกกินตังค์ไปฟรีๆ (ความเดิมตอนที่แล้ว http://bit.ly/2rRX25Y) ตอนแรกก็รู้สึกแย่มากแต่พอเพื่อนโทรไปจัดการว่าจะแจ้งตำรวจก็คดีพลิกทันทีได้เงินคืนง่ายๆซะงั้น คือแบบ เฮ้ย..คนที่นี่เค้ามีความเกรงกลังกฎหมายจริงๆ
9. มีอย่างนึงที่ชอบมากคือการข้ามถนนทางม้าลายไม่ต้องมองซ้ายมองขวา ข้ามได้เลย รถหยุดให้ ไม่โดนรถชนตายแน่นอน ... อันนี้ทำให้คราวก่อนกลับเมืองไทยมีความเก้ๆกังๆในการเดินข้ามทางม้าลายเล็กน้อย สกิลการข้ามถนนลดลง
10. มาพูดเรื่องภาษากันบ้าง มีคนถามหลายคนมาก เห้ย ไหวเหรอ ... ฟัง Singlish ออกเหรอ ก็ยอมรับกันตรงๆว่าตอนแรกขำมากกกก คือฟังไม่ออกกกก พูดอะไรกันเหรอแกร๊ แต่ไปๆมาๆก็ฟังรู้เรื่องละ ตอนนี้รู้บริบทการใช้ Lah / Lor / Leh และ (มันมีมากกว่า Lah เยอะนะจริงๆแล้ว) แล้วก็มีความอะเมซิ่งหลายๆอย่าง คือคำศัพท์บางคำที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเรารู้เรื่องนะ เพราะมันมีรากภาษามาจากภาษาจีนฮกเกี้ยน (ญาติกับแต้จิ๋ว) เช่น ก๋วยเตี๋ยว เก้าอี้ หรือแม้แต่คำบางคำที่ไม่รู้มันคือภาษาอะไรเราก็มารู้ที่มาที่นี่ เช่น เราเข้าใจว่า "คริสตัง" คือคนคาทอลิกเฉยๆมาตลอก (แบบคริสเตียน คริสตัง) แต่จริงๆแล้วมันมาจากคำว่า Kristang คือ คนที่เป็นลูกผสมสืบเชื้อสายมาจากโปรตุเกส และมะละกา
11. มันให้ความรู้สึกต่างจากตอนไปอยู่ญี่ปุ่นมากนะ (เราเคยไปเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นหลายปี เคยสถิตย์อยู่ในห้องไกลบ้าน 555) เพราะถึงแม้เราจะรู้สึกว่าญี่ปุ่นใกล้ตัวเรามาก เพราะเรารับวัฒนธรรมป็อปจากญี่ปุ่นมาแต่เด็ก แต่จริงๆแล้วมันแตกต่างจากรากเหง้าเรามาก ตอนที่เราไปญี่ปุ่นคือเริ่มใหม่หมดทุกอย่าง ต้องเข้าใจอะไรใหม่หมดทุกอย่าง พอมาอยู่นี่กลับรู้สึกเหมือนเราได้ต่อยอดความรู้จากสิ่งที่เรารู้มาแล้ว เราได้ discover สิ่งที่เรารู้มาก่อนแต่รู้ไม่ลึกอ่ะ มันให้ความรู้สึกฟินกันคนละแบบนะ
12. มาอยู่ที่นี่เราจะงงมาก คืองงมากว่าเราอยู่ประเทศอะไรวะ เดินไปกลางถนนนะจะมีคนพูดภาษานั่นนี่ ภาษาอะไรก็ไม่รู้อ่ะ เดินสวนเราไปตลอดเวลา คือที่นี่มัน mix มาก mix มากมากกกกกก นอกจากดั้งเดิมที่มีคนหลายชาติพันธุ์มาอยู่รวมกันแล้ว เนื่องจากนางเป็น regional hub ของภูมิภาคนี้เลยมีคนต่างชาติมาอยู่เยอะมากมากกกกกกกก
13. ความยากลำบากของการอยู่ที่นี่มีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกมาก คือเรารู้สึกว่าเราด้อยอ่ะ เรารู้สึกเลยนะว่าเราไม่เก่งพอ คืออย่างที่บอกว่าที่นี่เป็น regional hub มันก็จะรวมคนเจ๋งๆ มาอยู่ที่นี่ เรากลายเป็นเห็บหอยไปเลย คือเรารู้สึกตัวเล็กมากเมื่อเที่ยบกับคนที่นี่ ขนาดไปยิมนะ ตอนแรกเราคิดว่าเราเนี่ยแหละแข็งแรงมาก มาเจอสาวสิงคโปร์เท่านั้นแหละ อีบ้า...เอาแรงมาจากไหนวะแก อย่าว่าแต่คนต่างชาติที่มารวมกันที่นี่เลย คนสิงคโปร์เองพวกนางก็เก่ง เคยอ่านบทความนึงบอกว่าคนสิงคโปร์จริงๆแล้วไม่เยอะที่มีประสบการณ์ไปเรียนหรือทำงานที่ต่างประเทศ แต่ที่พวกนางเก่งขนาดนี้ต้องชมระบบการศึกษาของนางนะ มหาลัยนางติดอันดับโลกนะจ๊ะ คือมันทำให้เราท้อใจในระดับหนึ่งนะ แบบเราทิ้งความเจ๋งที่เราเคยทำไว้ที่ไทยมาหมดเลยแล้วมาเริ่มใหม่แบบนี้เราคิดถูกหรือเปล่าแต่ตอนนี้คิดได้และ คิดว่ามันเป็นแรงฮึดให้เรารู้สึกว่าเราอยากเก่งกว่านี้ อยากทำได้มากกว่านี้ อยากแข็งแรงกว่านี้ ฮึบๆ บอกตรงๆว่าก็เริ่มหางานใหม่มาสักพักละ เห็นท้อมาแล้วหลายลูก แต่ก็ไม่ยอมแพ้หรอก จะหน้าด้านส่งใบสมัครต่อไปนี่แหละ มันต้องได้สักที่แหละวะ!
14. เรื่องร้ายๆก็มีนะไม่ใช่ไม่มี ไม่ใช่ว่าจะชื่นชมอะไรพวกนางขนาดนั้น อย่างที่เล่าไปข้อก่อนๆ แล้วเรื่องเกือบโดนโกง และความแพง มาอยู่ที่นี่มันมีความรู้สึกแย่หลายอย่าง อย่างเช่น ในการที่เราเป็นคนไทย เป็นผู้หญิงไทยอ่ะ คือ sterotype มันก็ถูกมองแย่ไประดับนึงแล้ว เคยไปดู stand up comedy ครั้งนึงแล้วนางถามเราว่าเรากับเพื่อนที่ไปด้วยกันเจอกันที่ไหน Orchard Tower หรือเปล่า (Orchard Tower คือแหล่งร่วมการค้าบริการที่คิดว่าน่าจะถูกกฎหมาย) เพียงเพราะว่านางรู้ว่าเราเป็นคนไทย แต่คนสิงคโปร์ที่ชอบเมืองไทยมากๆ ชอบคนไทยมากๆก็มีนะ คนสิงคโปร์พูดไทยได้ ชอบดูหนังไทย ละครไทยคือมีเยอะจริงๆ เราว่ามันก็แอบปะปน หรือเรื่องความเปิดกว้างทางความคิดนางไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่นะพูดเลย อย่างสื่อนางก็โดนคุมโดยรัฐบาลอย่างหนัก (ไม่แน่ใจว่าคุมไปถึง social media / online หรือเปล่า) หรือล่าสุดที่ Facebook เปิดให้ใช้ปุ่มสายรุ้งเพื่อเดือน LGBT ที่นี่นางก็ไม่เปิดให้ใช้นะจ๊ะ นางยังรับไม่ได้เรื่องนี้ ... เราเลยไม่มีสายรุ้งใช้ไปด้วยเลย T T
15. สุดท้าย ... คุ้มมั้ยมาอยู่ที่นี่ ก็คุ้มนะ...ถ้าเรื่องเงินตอนแรกคิดนะ โหเงินเดือนเยอะกว่าที่ไทยเกือบ 3 เท่า สบ๊ายยยยย แต่จ่ายค่าบ้านไปก็ไม่ค่อยสบายละ สรุปเหลือเงินเก็บนิดเดียว แต่เนื่องจากค่าครองชีพเนี่ยแหละถ้าเราประหยัดๆหน่อย เราสามารถเจียดเงินเดือนเราไปซื้อตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น ฮ่องกงไรงี้ได้เเลย (ถ้าอยู่ไทยอาจต้องอดออมสักสามสี่เดือน) ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินเก็บเลยนะ หลายคนบอกว่าสิงคโปร์น่าเบื่อประเทศเล็กนิดเดียวไม่มีไรทำ ธรรมชาติอะไรก็ไม่มี แต่จริงๆแล้วมันมีอะไรให้ทำเยอะนะ เราว่าขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนแบบไหน ถ้าแอคทีฟๆแบบเราเนี่ย ยังไงก็ต้องหาอะไรทำ ไม่เบื่อหรอก สนุกจะตาย (อีกอย่างมีตังค์บินไปเที่ยวประเทศใกล้ๆได้ ไม่แพง) คุ้ม!
โห...เลื่อนกลับไปดูยาวมากเลยอ่ะ ถ้าใครอ่านมีถึงตรงนี้ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้อ่านบทสรุป 1 ปีของชีวิตเราในสิงคโปร์จบแล้ว 55555 เราก็ยังจะอยู่ต่อไปนะ ไม่รู้อยู่ถึงเมื่อไหร่ อาจจะอยู่จนถึงตอนที่รู้สึกว่ามันไม่มี room ให้เติบโตต่อแล้ว หรือว่ามีโอกาสอื่นที่เจ๋งกว่ารออยู่ อีกอย่างเซ็นสัญญาบ้านไปและ อย่างน้อยก็ต้องห้ามออกจากเกาะนี้ไปอีกหนึ่งปีแหละ 55555
ปล. สามารถติดตามรายละเอียดทุกซอกทุกมุมของสิ่งที่เราทำได้ที่เพจ https://www.facebook.com/BoringSG/ ตั้งใจตั้งชื่อว่าสิงคโปร์น่าเบื่อ เพราะมีแต่คนบอกว่ามันน่าเบื่อ ... จริงๆมีอะไรทำให้ทำแก้เบื่อเยอะนะ ;)