เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนไปเที่ยวปีนังเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว

เรื่องมันเริ่มต้นที่นี่ อือ...ที่สุสานนี่แหละ
วันนั้นเป็นวันก่อนวันสุดท้ายที่ปีนังและต้องอยู่คนเดียว แพลนอะไรก็ไม่มีเพราะพวกแลนด์มาร์คอะไรก็ไปมาหมดแล้ว เลยมาถามเจ้าของโฮสเทล, จ๊อยซ์, ว่าวันนี้มีอะไรน่าสนใจ จ๊อยซ์ยื่นโบรชัวร์มามากมาย พร้อมแนะนำทัวร์สุสานของผู้บุกเบิกเกาะปีนัง เรามองหน้าจ๊อยซ์หนึ่งทีเป็นนัยว่า “เอาจริงหรอ” จ๊อยซ์พยักหน้าและบอกว่ามันน่าสนใจนะ ยูจะได้รู้ประวัติความเป็นมาของเกาะปีนัง ที่สำคัญฟรีด้วย....โอเค!
หลังจากรวบรวมโบรชัวร์เราก็ออกเดินทางไปสุสาน ผู้ร่วมทัวร์กับเรามีประมาณ 15 คน หลังจากไกด์พาเดินชม...หลุมศพ...คนสำคัญๆ พร้อมเล่าประวัติไปสักพัก ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วง
ทุกคนมีร่ม เราก็มีร่ม แต่มีผู้ชายคนนึงไม่มีร่ม
ยืนตากฝนอยู่คนเดียว เราเลยยื่นร่มให้
เรา : “เข้ามาสิ”
เค้าก็ดูลังเลนิดนึงแต่ก็เข้ามาในที่สุด พร้อมอาสาถือร่มให้
ตอนอยู่ในร่มก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยจนกระทั่งฝนหยุด ทัวร์จบก็แยกย้าย เราก็ไปต่อคนเดียว ดูโบรชัวร์แปบนึงก็ตัดสินใจว่าจะไปดูดนตรีออเคสตร้าในสวน ซึ่งต้องนั่งรถเมล์ไป ความท้าทายต่อไปคือการหาสถานีรถเมล์ ยังไงล่ะ...หลงสิ เดินไปเดินมาตามแผนที่ก็ไม่เจอสักที
จะด้วยบังเอิญหรืออะไรก็ตามที มองไปมองมาก็ไปสบตากับผู้ชายที่ยื่นร่มให้ที่สุสานอยู่อีกฟากถนนนึง ยิ้มให้กันหนึ่งที แล้วเค้าก็ทำท่าจะข้ามถนนมาหาเรา
ผช. “จะไปไหน”
เรา “ไปดูดนตรีในสวนที่นี่”
พร้อมหยิบโบรชัวร์และแผนที่ว่าเรากำลังหาสถานีรถเมล์อยู่ โชคดีจริงๆค่ะท่านผู้ชม เค้าบอกว่าเค้ารู้จักสถานีรถเมล์เดี๋ยวพาไปแถมบอกว่าถ้าไม่รังเกียจขอไปด้วยได้มั้ย ตอนนั้นก็คิดแค่ว่าก็ดีมีคนรู้ทางไปด้วยจะได้ไม่หลง
หลังจากนั้น เค้าก็พาเราไปสถานีรถเมล์และก็ไปด้วยกัน ระหว่างทางเลยได้ถามไถ่ประวัติเบื้องต้นว่าเป็นคนจีนมาเลย์ เด็กกว่าเราสองปี เรียนวิศวกรรมเครื่องกลเหมือนกันไปอีก
ในที่สุดก็ถึงสวน แต่ยังไม่ถึงเวลาที่วงดนตรีเล่น เราก็เลยไปเดินเล่นในสวนกันก่อน อารมณ์เหมือนสวนรถไฟแต่มีลิงเกาะอยู่ตามต้นไม้เป็นระยะๆ เดินคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย ก็มานั่งฟังออเคสตร้าในสวน ประมาณชั่วโมงนึง

ตอนเดินกลับอยู่ๆ เค้าก็เรียกเรา
ผช : "เธอๆ"
“แชะ!” รู้ตัวอีกทีก็โดนถ่ายรูปไปแล้ว
เรา : “โห่....สวยปะเนี่ย”
ผช. :“สวย”
แบบนี้ก็ได้หรออ...
ขากลับเราง่วงมากแต่ก็ไม่กล้าหลับกลัวเลยป้าย สัพหงกอยู่สองสามที เค้าก็บอกว่า
“หลับเลย ถึงแล้วเด๋วปลุก ซบไหล่ก็ได้นะไม่ถือ”
โอ้โห อ่อยไปอีก
กว่าจะถึงตัวเมืองก็ประมาณสองทุ่ม เลยมาแวะกินข้าวกันก่อน ด้วยความที่ไม่ได้กินข้าวกลางวัน เราจึงซัดก๋วยเตี๋ยวไปเน้นๆ สามชาม เรายังจำสีหน้าเค้าตอนเราสั่งชามที่สามได้ แบบอึ้งไปเลย
"เฮ้ย ยังไม่อิ่มหรอ"
เราก็ยิ้มให้หนึ่งทีพร้อมกับสั่งก๋วยเตี๋ยวมาอีกหนึ่งชาม
กว่าจะอิ่มหนำสำราญก็ปาเข้าไปสามทุ่ม เค้าอาสาเดินไปส่งที่โฮสเทลเพราะบอกว่าทางเดียวกัน
ทางเดินไปโฮสเทลเรามันเงียบมาก เงียบขนาดได้ยินเสียงสะท้อนที่เราคุยกัน
เรา : “ดีเนอะที่ยูเดินมาด้วย ถ้ามาคนเดียวเราต้องวิ่งด้วยความเร็วแสงแน่ๆ น่ากลัวอะ”
เค้าหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร และก็เหมือนจังหวะในหนังเลยค่ะคู๊ณณ จู่ๆ มือก็บังเอิญมาโดนกัน มันก็รู้สึกสปาร์คนิดๆ มันก็จะเขินๆ หน่อย หลังจากนั้นก็เงียบกันมาตลอดทาง
พอมาถึงหน้าโฮสเทล เราก็ร่ำลากัน จังหวะที่เรากำลังจะเปิดประตูเข้าไป เค้าตะโกนมาว่า
“ขออีเมลได้มั้ย”
: )
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สุดท้ายเราไม่ได้ให้อีเมลไป...เรื่องก็จบลงด้วยประการฉะนี้
กวน มึน โฮ อิน ปีนัง
เรื่องมันเริ่มต้นที่นี่ อือ...ที่สุสานนี่แหละ
วันนั้นเป็นวันก่อนวันสุดท้ายที่ปีนังและต้องอยู่คนเดียว แพลนอะไรก็ไม่มีเพราะพวกแลนด์มาร์คอะไรก็ไปมาหมดแล้ว เลยมาถามเจ้าของโฮสเทล, จ๊อยซ์, ว่าวันนี้มีอะไรน่าสนใจ จ๊อยซ์ยื่นโบรชัวร์มามากมาย พร้อมแนะนำทัวร์สุสานของผู้บุกเบิกเกาะปีนัง เรามองหน้าจ๊อยซ์หนึ่งทีเป็นนัยว่า “เอาจริงหรอ” จ๊อยซ์พยักหน้าและบอกว่ามันน่าสนใจนะ ยูจะได้รู้ประวัติความเป็นมาของเกาะปีนัง ที่สำคัญฟรีด้วย....โอเค!
หลังจากรวบรวมโบรชัวร์เราก็ออกเดินทางไปสุสาน ผู้ร่วมทัวร์กับเรามีประมาณ 15 คน หลังจากไกด์พาเดินชม...หลุมศพ...คนสำคัญๆ พร้อมเล่าประวัติไปสักพัก ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วง
ทุกคนมีร่ม เราก็มีร่ม แต่มีผู้ชายคนนึงไม่มีร่ม
ยืนตากฝนอยู่คนเดียว เราเลยยื่นร่มให้
เรา : “เข้ามาสิ”
เค้าก็ดูลังเลนิดนึงแต่ก็เข้ามาในที่สุด พร้อมอาสาถือร่มให้
ตอนอยู่ในร่มก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยจนกระทั่งฝนหยุด ทัวร์จบก็แยกย้าย เราก็ไปต่อคนเดียว ดูโบรชัวร์แปบนึงก็ตัดสินใจว่าจะไปดูดนตรีออเคสตร้าในสวน ซึ่งต้องนั่งรถเมล์ไป ความท้าทายต่อไปคือการหาสถานีรถเมล์ ยังไงล่ะ...หลงสิ เดินไปเดินมาตามแผนที่ก็ไม่เจอสักที
จะด้วยบังเอิญหรืออะไรก็ตามที มองไปมองมาก็ไปสบตากับผู้ชายที่ยื่นร่มให้ที่สุสานอยู่อีกฟากถนนนึง ยิ้มให้กันหนึ่งที แล้วเค้าก็ทำท่าจะข้ามถนนมาหาเรา
ผช. “จะไปไหน”
เรา “ไปดูดนตรีในสวนที่นี่”
พร้อมหยิบโบรชัวร์และแผนที่ว่าเรากำลังหาสถานีรถเมล์อยู่ โชคดีจริงๆค่ะท่านผู้ชม เค้าบอกว่าเค้ารู้จักสถานีรถเมล์เดี๋ยวพาไปแถมบอกว่าถ้าไม่รังเกียจขอไปด้วยได้มั้ย ตอนนั้นก็คิดแค่ว่าก็ดีมีคนรู้ทางไปด้วยจะได้ไม่หลง
หลังจากนั้น เค้าก็พาเราไปสถานีรถเมล์และก็ไปด้วยกัน ระหว่างทางเลยได้ถามไถ่ประวัติเบื้องต้นว่าเป็นคนจีนมาเลย์ เด็กกว่าเราสองปี เรียนวิศวกรรมเครื่องกลเหมือนกันไปอีก
ในที่สุดก็ถึงสวน แต่ยังไม่ถึงเวลาที่วงดนตรีเล่น เราก็เลยไปเดินเล่นในสวนกันก่อน อารมณ์เหมือนสวนรถไฟแต่มีลิงเกาะอยู่ตามต้นไม้เป็นระยะๆ เดินคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย ก็มานั่งฟังออเคสตร้าในสวน ประมาณชั่วโมงนึง
ผช : "เธอๆ"
“แชะ!” รู้ตัวอีกทีก็โดนถ่ายรูปไปแล้ว
เรา : “โห่....สวยปะเนี่ย”
ผช. :“สวย”
แบบนี้ก็ได้หรออ...
ขากลับเราง่วงมากแต่ก็ไม่กล้าหลับกลัวเลยป้าย สัพหงกอยู่สองสามที เค้าก็บอกว่า
“หลับเลย ถึงแล้วเด๋วปลุก ซบไหล่ก็ได้นะไม่ถือ”
โอ้โห อ่อยไปอีก
กว่าจะถึงตัวเมืองก็ประมาณสองทุ่ม เลยมาแวะกินข้าวกันก่อน ด้วยความที่ไม่ได้กินข้าวกลางวัน เราจึงซัดก๋วยเตี๋ยวไปเน้นๆ สามชาม เรายังจำสีหน้าเค้าตอนเราสั่งชามที่สามได้ แบบอึ้งไปเลย
"เฮ้ย ยังไม่อิ่มหรอ"
เราก็ยิ้มให้หนึ่งทีพร้อมกับสั่งก๋วยเตี๋ยวมาอีกหนึ่งชาม
กว่าจะอิ่มหนำสำราญก็ปาเข้าไปสามทุ่ม เค้าอาสาเดินไปส่งที่โฮสเทลเพราะบอกว่าทางเดียวกัน
ทางเดินไปโฮสเทลเรามันเงียบมาก เงียบขนาดได้ยินเสียงสะท้อนที่เราคุยกัน
เรา : “ดีเนอะที่ยูเดินมาด้วย ถ้ามาคนเดียวเราต้องวิ่งด้วยความเร็วแสงแน่ๆ น่ากลัวอะ”
เค้าหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร และก็เหมือนจังหวะในหนังเลยค่ะคู๊ณณ จู่ๆ มือก็บังเอิญมาโดนกัน มันก็รู้สึกสปาร์คนิดๆ มันก็จะเขินๆ หน่อย หลังจากนั้นก็เงียบกันมาตลอดทาง
พอมาถึงหน้าโฮสเทล เราก็ร่ำลากัน จังหวะที่เรากำลังจะเปิดประตูเข้าไป เค้าตะโกนมาว่า
“ขออีเมลได้มั้ย”
: )
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้