สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเล่าถึงขั้นตอนการเตรียมตัวพาน้องไปบริจาคเลือดค่ะ อันดับแรกโทรไปที่โรงพยาบาลสัตว์มหิดลก่อนค่ะ
ว่าสามารถพาน้องหมาไปได้วันไหน ทางโรงพยาบาลจะมี 2 วันคือ วันพุธ และวันเสาร์ค่ะ เลยเลือกเป็นวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน
เวลาประมาณ 13.30 น. จนท.แจ้งว่าให้น้องกินมื้อเช้าตอน 6.00 น. ของวันเสาร์ได้เลยค่ะ ที่ต้องโทรไปเช็คก่อน
เพราะกลัวว่าถ้าไปโดยที่ไม่ได้โทรถาม เดี๋ยวจะเสียเที่ยว และเสียเวลาค่ะ พอถึงวันศุกร์เอแคลร์ไปคุ้ยขยะมากิน
สรุป อ้วกค่ะ ตอนเช้าวันเสาร์ ต้องรีบโทรไปแจ้งที่โรงพยาบาลขอเลื่อนนัด เป็นวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน เวลา 11.30 น. แทน
เตรียมให้เอแคลร์กินอาหารเมื่อช่วงเย็นของวันศุกร์เวลาประมาณห้าโมงเย็น ส่วนน้ำกินได้ถึง 3 ทุ่ม ก็คว่ำชามน้ำไว้
แต่เปิดห้องน้ำไว้ให้เค้าขับถ่ายค่ะ เช้ามาทำธุระเสร็จ จึงรีบพาเอแคลร์ไปโรงพยาบาลก่อนเวลานัด เผื่อจะได้คิวก่อน อิอิ
ไปถึงก็แจ้ง จนท.ด้านหน้าว่าพาน้องหมามาบริจาคเลือดแบบไม่ระบุชื่อสุนัขค่ะ จนท.ก็ให้ไปรอที่คลีนิคพิเศษ
เพื่อตรวจเลือดว่าผ่านไหม ขั้นตอนตรวจเลือดจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ
พาน้องมานั่งเล่นข้างนอกระหว่างรอผลเลือดค่ะ
ยิ้มหน่อยยยยย
พอครบเวลา คุณหมอก็มาแจ้งผลค่าเลือดค่ะว่า เม็ดเลือดแดงดีมาก ค่าตับปกติ ส่วนค่าไตสูงเล็กน้อย แต่ยังไม่อันตราย
คุณหมอให้เหตุผลว่าอาจจะเป็นเพราะน้องโตขึ้น ค่าไตเลยสูงจากเมื่อ 2 ปีก่อนที่น้องเคยบริจาค
จากนั้นคุณหมอจึงไปเตรียมเครื่องมือ ต้องมีการให้ยาซึมกับเอแคลร์ค่ะ ของเราให้เจาะเลือดที่คอค่ะ และคุณหมอให้มารอ
ที่หน้าห้องค่ะ แต่มาคิดว่าคราวหน้าจะให้เจาะที่ขาแทน เพราะลืมไปว่าเค้าต้องใส่โซ่ สายรัดอก
รอๆ
นั่งรอประมาณครึ่งชม. คุณหมอก็เข็นเอแคลร์ออกมาค่ะ 555 คงยังมึนยา แต่ต้องบอกว่าเอแคลร์ฟื้นตัวไวมากค่ะ
ไม่แน่ใจว่าเพราะหิวหรือเปล่า เมื่อบริจาคเลือดเสร็จแล้ว คุณหมอได้ให้อาหารเม็ดของหมา และของแมว
เพราะ จขกท.แจ้งไปว่าเลี้ยงแมวด้วย ยาหยดเห็บหมัด 2 ชิ้น เข็มกลัด และยาบำรุงเลือด การพาน้องมาบริจาคเลือดไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ
สิ่งของที่ได้ค่ะ
หมายเหตุ เอแคลร์เป็นหมาบีเกิ้ล สูง 17 นิ้ว ตัวจะสูงใหญ่กว่าบีเกิ้ลทั่วไป และเอแคลร์หนักถึง 23 กิโลกรัม
เลยบริจาคเลือดได้ค่ะ แต่เลือดของเอแคลร์ไม่สามารถไปช่วยหมาใหญ่ได้ แต่สามารถเอาไปช่วยน้องหมาขนาดเล็กได้ค่ะ
ข้อดีของการพามาบริจาคเลือดคือ จะได้รู้ค่าเลือดว่าปกติไหม แข็งแรง มีโรคแทรกซ้อนอะไรไหม จะได้รักษาได้ทันท่วงที
ข้อเสียคือ จับอดอาหารนานไปหน่อย สงสารน้อง 555 แต่คิดว่าถ้าครบ 3 เดือนก็จะพาไปบริจาคอีกค่ะ
พาน้องหมาไปบริจาคเลือดค่ะ
ว่าสามารถพาน้องหมาไปได้วันไหน ทางโรงพยาบาลจะมี 2 วันคือ วันพุธ และวันเสาร์ค่ะ เลยเลือกเป็นวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน
เวลาประมาณ 13.30 น. จนท.แจ้งว่าให้น้องกินมื้อเช้าตอน 6.00 น. ของวันเสาร์ได้เลยค่ะ ที่ต้องโทรไปเช็คก่อน
เพราะกลัวว่าถ้าไปโดยที่ไม่ได้โทรถาม เดี๋ยวจะเสียเที่ยว และเสียเวลาค่ะ พอถึงวันศุกร์เอแคลร์ไปคุ้ยขยะมากิน
สรุป อ้วกค่ะ ตอนเช้าวันเสาร์ ต้องรีบโทรไปแจ้งที่โรงพยาบาลขอเลื่อนนัด เป็นวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน เวลา 11.30 น. แทน
เตรียมให้เอแคลร์กินอาหารเมื่อช่วงเย็นของวันศุกร์เวลาประมาณห้าโมงเย็น ส่วนน้ำกินได้ถึง 3 ทุ่ม ก็คว่ำชามน้ำไว้
แต่เปิดห้องน้ำไว้ให้เค้าขับถ่ายค่ะ เช้ามาทำธุระเสร็จ จึงรีบพาเอแคลร์ไปโรงพยาบาลก่อนเวลานัด เผื่อจะได้คิวก่อน อิอิ
ไปถึงก็แจ้ง จนท.ด้านหน้าว่าพาน้องหมามาบริจาคเลือดแบบไม่ระบุชื่อสุนัขค่ะ จนท.ก็ให้ไปรอที่คลีนิคพิเศษ
เพื่อตรวจเลือดว่าผ่านไหม ขั้นตอนตรวจเลือดจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ
พาน้องมานั่งเล่นข้างนอกระหว่างรอผลเลือดค่ะ
ยิ้มหน่อยยยยย
พอครบเวลา คุณหมอก็มาแจ้งผลค่าเลือดค่ะว่า เม็ดเลือดแดงดีมาก ค่าตับปกติ ส่วนค่าไตสูงเล็กน้อย แต่ยังไม่อันตราย
คุณหมอให้เหตุผลว่าอาจจะเป็นเพราะน้องโตขึ้น ค่าไตเลยสูงจากเมื่อ 2 ปีก่อนที่น้องเคยบริจาค
จากนั้นคุณหมอจึงไปเตรียมเครื่องมือ ต้องมีการให้ยาซึมกับเอแคลร์ค่ะ ของเราให้เจาะเลือดที่คอค่ะ และคุณหมอให้มารอ
ที่หน้าห้องค่ะ แต่มาคิดว่าคราวหน้าจะให้เจาะที่ขาแทน เพราะลืมไปว่าเค้าต้องใส่โซ่ สายรัดอก
รอๆ
นั่งรอประมาณครึ่งชม. คุณหมอก็เข็นเอแคลร์ออกมาค่ะ 555 คงยังมึนยา แต่ต้องบอกว่าเอแคลร์ฟื้นตัวไวมากค่ะ
ไม่แน่ใจว่าเพราะหิวหรือเปล่า เมื่อบริจาคเลือดเสร็จแล้ว คุณหมอได้ให้อาหารเม็ดของหมา และของแมว
เพราะ จขกท.แจ้งไปว่าเลี้ยงแมวด้วย ยาหยดเห็บหมัด 2 ชิ้น เข็มกลัด และยาบำรุงเลือด การพาน้องมาบริจาคเลือดไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ
สิ่งของที่ได้ค่ะ
หมายเหตุ เอแคลร์เป็นหมาบีเกิ้ล สูง 17 นิ้ว ตัวจะสูงใหญ่กว่าบีเกิ้ลทั่วไป และเอแคลร์หนักถึง 23 กิโลกรัม
เลยบริจาคเลือดได้ค่ะ แต่เลือดของเอแคลร์ไม่สามารถไปช่วยหมาใหญ่ได้ แต่สามารถเอาไปช่วยน้องหมาขนาดเล็กได้ค่ะ
ข้อดีของการพามาบริจาคเลือดคือ จะได้รู้ค่าเลือดว่าปกติไหม แข็งแรง มีโรคแทรกซ้อนอะไรไหม จะได้รักษาได้ทันท่วงที
ข้อเสียคือ จับอดอาหารนานไปหน่อย สงสารน้อง 555 แต่คิดว่าถ้าครบ 3 เดือนก็จะพาไปบริจาคอีกค่ะ