สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เขียนตามความเข้าใจของตัวเองนะคะ
ฮอกไกโด เดิมเป็นพื้นที่เรียกว่าเอะโซะ (蝦夷 Ezo) ไม่ได้รวมอยู่ใน Gokishichidou (五畿七道) หรือ Five Provinces Seven Circuits ซึ่งเป็นระบบแบ่งเขตการปกครองโบราณ
Goki (五畿) ที่ว่าคือ 5 จังหวัดแบบเก่าที่เรียกว่าคุนิ (国 Kuni) ซึ่งอยู่ล้อมรอบเมืองหลวงนาราหรือเกียวโต เรียกอีกอย่างว่า คิไน (畿内 Kinai) ได้แก่ Yamato no Kuni, Yamashiro no Kuni, Kawachi no Kuni, Settsu no Kuni, Izumi no Kuni ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดนารา, นครเกียวโต, นครโอซาก้า และจังหวัดเฮียวโกะ
Shichidou (七道) เทียบประมาณ "ภูมิภาค" แบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์และมีเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดภายใน ได้แก่ โทไคโด (東海道 Toukaidou), โทซันโด (東山道 Tousandou), โฮคุริคุโด 北陸道 (Hokurikudou), ซันโยโด 山陽道 (Sanyoudou), ซันอิงโด 山陰道 (Sanindou), นันไคโด 南海道 (Nankaidou) และไซไคโด 西海道 (Saikaidou) ครอบคลุมตั้งแต่เกาะฮอนชู ชิโกะกุ และคิวชู
หลังจากสิ้นสุดสงครามโบชินในปี 1869 รัฐบาลเมจิตั้งชื่อให้เป็นภูมิภาค "ฮอกไกโด" และมี 11 จังหวัดแบบเก่า (国 Kuni) พอปี 1882 มีการปรับปรุงเขตการปกครองใหม่ มีการจัดตั้งจังหวัด (県 Ken) ขึ้นทั่วประเทศ ตอนนั้นฮอกไกโดก็ตั้ง 3 จังหวัดย่อยขึ้นมา คือ จังหวัดฮาโกดาเตะ จังหวัดซัปโปโระ และจังหวัดเนมุโระ
ปี 1886 จังหวัดทั้ง 3 ถูกยุบ เพราะประชากรน้อยเกินและการคมนาคมยังไม่สะดวก ฮอกไกโดกลายเป็นหน่วยงานปกครองรัฐบาลฮอกไกโด (北海道庁 Hokkaidou-chou) มาอีกนานกว่าจะเป็นที่รับรู้ในฐานะจังหวัดเช่นเดียวกับจังหวัดอื่น ๆ ประมาณราวปี 1947
สรุปคือ ฮอกไกโดสมัยก่อนเคยมีฐานะเป็นภูมิภาค (道 Dou) มี 11 จังหวัดแบบเก่า (国 Kuni) และเคยมีจังหวัดแบบใหม่กะเค้าด้วยเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก แต่ตอนหลังทั้งเกาะมีฐานะเป็นจังหวัดเทียบเท่าจังหวัดอื่น ๆ แต่ไม่ได้ใช้คำว่า Ken และยังคง Dou ไว้อย่างนั้น
ฮอกไกโด เดิมเป็นพื้นที่เรียกว่าเอะโซะ (蝦夷 Ezo) ไม่ได้รวมอยู่ใน Gokishichidou (五畿七道) หรือ Five Provinces Seven Circuits ซึ่งเป็นระบบแบ่งเขตการปกครองโบราณ
Goki (五畿) ที่ว่าคือ 5 จังหวัดแบบเก่าที่เรียกว่าคุนิ (国 Kuni) ซึ่งอยู่ล้อมรอบเมืองหลวงนาราหรือเกียวโต เรียกอีกอย่างว่า คิไน (畿内 Kinai) ได้แก่ Yamato no Kuni, Yamashiro no Kuni, Kawachi no Kuni, Settsu no Kuni, Izumi no Kuni ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดนารา, นครเกียวโต, นครโอซาก้า และจังหวัดเฮียวโกะ
Shichidou (七道) เทียบประมาณ "ภูมิภาค" แบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์และมีเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดภายใน ได้แก่ โทไคโด (東海道 Toukaidou), โทซันโด (東山道 Tousandou), โฮคุริคุโด 北陸道 (Hokurikudou), ซันโยโด 山陽道 (Sanyoudou), ซันอิงโด 山陰道 (Sanindou), นันไคโด 南海道 (Nankaidou) และไซไคโด 西海道 (Saikaidou) ครอบคลุมตั้งแต่เกาะฮอนชู ชิโกะกุ และคิวชู
หลังจากสิ้นสุดสงครามโบชินในปี 1869 รัฐบาลเมจิตั้งชื่อให้เป็นภูมิภาค "ฮอกไกโด" และมี 11 จังหวัดแบบเก่า (国 Kuni) พอปี 1882 มีการปรับปรุงเขตการปกครองใหม่ มีการจัดตั้งจังหวัด (県 Ken) ขึ้นทั่วประเทศ ตอนนั้นฮอกไกโดก็ตั้ง 3 จังหวัดย่อยขึ้นมา คือ จังหวัดฮาโกดาเตะ จังหวัดซัปโปโระ และจังหวัดเนมุโระ
ปี 1886 จังหวัดทั้ง 3 ถูกยุบ เพราะประชากรน้อยเกินและการคมนาคมยังไม่สะดวก ฮอกไกโดกลายเป็นหน่วยงานปกครองรัฐบาลฮอกไกโด (北海道庁 Hokkaidou-chou) มาอีกนานกว่าจะเป็นที่รับรู้ในฐานะจังหวัดเช่นเดียวกับจังหวัดอื่น ๆ ประมาณราวปี 1947
สรุปคือ ฮอกไกโดสมัยก่อนเคยมีฐานะเป็นภูมิภาค (道 Dou) มี 11 จังหวัดแบบเก่า (国 Kuni) และเคยมีจังหวัดแบบใหม่กะเค้าด้วยเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก แต่ตอนหลังทั้งเกาะมีฐานะเป็นจังหวัดเทียบเท่าจังหวัดอื่น ๆ แต่ไม่ได้ใช้คำว่า Ken และยังคง Dou ไว้อย่างนั้น
ความคิดเห็นที่ 12
นั้นคือแผ่นดินสุดท้ายของเจ้าของเดิม จึงต้องคงไว้แบบเสียไม่ได้
เพื่อลดแรงกดดัน และอิทธิพลจากหมีขาว
อ้างอิงบางส่วนจาก
ญี่ปุ่นโดยสังเขป : Japan in a Nutshell
23 มีนาคม 2016
บทที่ 44 - ฮกไกโด กับ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวไอนุ
ฮกไกโดเป็นเมืองค่อนข้างใหม่ เพิ่งได้รับการพัฒนาครั้งใหญ่หลังการปฏิรูปประเทศในสมัยจักรพรรดิเมจิ
หรือประมาณร้อยกว่าปีมานี้เอง การพัฒนาครั้งนั้นเป็นไปเพื่อขยายพระราชอำนาจ ต่อสู้แย่งชิงหัวเมืองเหนือกับจักรวรรดิรัสเซีย
ความเจริญของเกาะฮกไกโดในปัจจุบัน แลกมาด้วยรอยเลือด หยาดน้ำตา และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวไอนุ
ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่มาแต่เดิม
ไอนุ (アイヌ) เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมบนเกาะฮกไกโด เรื่องราวของชาวไอนุ
บันทึกอยู่ในเอกสารประวัติศาสตร์ของจีน สมัยราชวงศ์หยวน ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 12
บันทึกในเอกสารของญี่ปุ่นมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวญี่ปุ่นเริ่มติดต่อกับ พวกปีศาจทางตอนเหนือ

นักรบชาวไอนุ
พวกปีศาจที่ว่านี้ หมายถึงชาวไอนุนั่นเอง

สาวชาวไอนุสักปาก เพื่อป้องกันการฉุดคร่า
ตั้งแต่ยุคคะมะกุระและมุโระมะจิ ชาวญี่ปุ่นทยอยย้ายถิ่นฐานเข้ามาตั้งรกรากอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฮกไกโด
ทำการค้า และขูดรีดผลประโยชน์จากชาวไอนุ จนเกิดศึกสงครามกันหลายครั้ง
ครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1789 กองทัพของรัฐบาลโทะกุกะวะมีชัยเหนือกองทัพไอนุอย่างเบ็ดเสร็จ พร้อมออกประกาศว่า
พื้นที่ใดที่ชาวไอนุอยู่อาศัย พื้นที่นั้นคือเขตแดนของญี่ปุ่น
หลังปฏิรูปเมจิ ปี ค.ศ.1869 จักรพรรดิเมจิต้องการรวมเกาะฮกไกโดไว้ภายใต้จักรวรรดิญี่ปุ่น
ขับไล่อิทธิพลของจักรวรรดิรัสเซีย จึงทรงตั้งคอมมิตตีเพื่อสำรวจและพัฒนาเกาะฮกไกโดอย่างจริงจัง
การพัฒนาเกาะฮกไกโดในครั้งนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนญี่ปุ่น รัฐบาลกลางส่งเสริมการอพยพของชาวญี่ปุ่น
จากเกาะฮนชูเข้าสู่เกาะฮกไกโดโดยให้กรรมสิทธิ์ และผลประโยชน์จากการบุกเบิกที่ดินทำกิน
บุกรุกพื้นที่ดั้งเดิมของชาวไอนุ โดยอ้างเหตุผลเพื่อการพัฒนา

สาวไอนุ ป้อนเหล้าให้หมีสีน้ำตาล ฮิกุมะ หนึ่งในเทพของชาวไอนุ
จักรพรรดิเมจิตรากฎหมายเพื่อกลืนวัฒนธรรม(cultural assimilation) บังคับให้ชาวไอนุเลิกนับถือประเพณีเดิมของตน
ห้ามใช้ภาษาไอนุ ให้เปลี่ยนมาใช้ภาษาญี่ปุ่น ใช้นามสกุลแบบคนญี่ปุ่น ในขณะเดียวกัน
ได้กดสถานะทางสังคมของชาวไอนุให้ด้อยกว่าคนญี่ปุ่นโดยทั่วไป โดยตรากฎการครอบครองที่ดินว่า
(ก่อนปฏิรูปเมจิ ชาวไอนุถูกคนญี่ปุ่นมองว่า เป็นยักษ์ เป็นมาร
พอหลังปฏิรูปเมจิก็ถูกมองว่า เป็นพวกต่างด้าวไร้วัฒนธรรม
ชื่อทางราชการใช้เรียกชาวไอนุมาตั้งแต่ ค.ศ. 1878 คือ คิวโดะจิน(旧土人)
ภาษาอังกฤษคือ former Aborigine แปลว่า เคยเป็นเจ้าของพื้นที่ หรือพ้นสถานะเจ้าของพื้นที่ไปแล้ว)
ชาวไอนุจะมีกรรมสิทธิในที่ดินได้ ต่อเมื่อสามารถทำการเพาะปลูกได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ
ไม่อย่างนั้นรัฐบาลกลางจะยึดกรรมสิทธิ์คืน
ชาวไอนุมีวิถีชีวิตผูกพันกับการตกปลาล่าสัตว์ เมื่อถูกบังคับให้ทำไร่ไถนาก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่รัฐบาลต้องการ
สุดท้ายกรรมสิทธิ์ที่ดินก็หลุดมือไป ชาวไอนุจำนวนมากถูกส่งไปทำงานในเหมืองหรือในโรงงานของคนญี่ปุ่น
ชาวไอนุซึ่งเคยอยู่อาศัยในเกาะฮกไกโดมาหลายชั่วอายุคน กลับกลายเป็นคนไร้พื้นที่ ขาดโอกาสทางสังคม
ถูกแบ่งแยกกีดกันทั้งในแง่กฏหมาย และความรู้สึกของผู้คน ชาวไอนุส่วนหนึ่งพยายามแยกตัวจากสังคม
ปกปิดฐานะของตนเอง หรือบางคนหาโอกาสแต่งงานกับคนญี่ปุ่นเพื่อเจือจางสายเลือดไอนุให้ลดลง
กระทั่งปี ค.ศ.1997 รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มตระหนักถึงความมีอยู่ของชาวไอนุ
จึงประกาศแก้ไขกฎหมายฉบับเดิมเพื่อรับรองสถานะวัฒนธรรมไอนุ
แต่กฎหมายฉบับใหม่นี้ไม่ได้กล่าวถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน สิทธิทางการศึกษา
สถานะทางสังคม ตลอดจนสิทธิมนุษยชนของชาวไอนุ
ในมุมมองของคนญี่ปุ่น ชาวไอนุเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนด้อยพัฒนา มีสถานะที่ต่ำต้อย
กฎหมายญี่ปุ่นแต่เดิม ไม่ได้รับรองชาวไอนุในฐานะพลเมือง
หลายคนเชื่อว่าชาวไอนุ เป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนที่รอนแรม
เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ
ได้มีแผ่นดินอยู่ก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น
รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งยอมรับสถานะของชาวไอนุว่าเป็น
ชนพื้นเมืองดั้งเดิม(indigenous people) บนเกาะฮกไกโด เมื่อปี ค.ศ. 2008 นี่เอง
หลังจากโดนกดดันจากสหประชาชาติ และประเทศภาคีสมาชิกในกลุ่ม G8
ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นสมัยนั้นให้สัญญาว่าจะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆให้ดีขึ้น
ปลายปี ค.ศ.2014 นายมะซะรุ โอโนะเดระ สส.ฮกไกโดจากพรรครัฐบาล(LDP) ให้ความเห็นว่า
สถานะของชาวไอนุยังเป็นเรื่องน่าสงสัย ญี่ปุ่นควรยอมรับชาวไอนุในฐานะพลเมืองดั้งเดิมของฮกไกโดจริงๆอย่างนั้นหรือ
นายโอโนะเดระเห็นว่า ญี่ปุ่นไม่ควรรับรองสถานะของชาวไอนุในฐานะพลเมืองดั้งเดิมของฮกไกโด
ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีความคืบหน้าใดมากไปกว่าเดิม สัญญาจากรัฐบาลเดิมดูจะเงียบหายไปพร้อมๆ
กับนโยบายอนุรักษ์นิยมของพรรครัฐบาลปัจจุบัน(พรรค LDP) ที่ได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่นมาหลายยุคหลายสมัย
ผลสำรวจโดยสมาคมชาวไอนุแห่งฮกไกโด(Ainu Association of Hokkaido) เมื่อปลายปี ค.ศ. 2015 พบว่า
เกือบ 3 ใน 4 ของชาวไอนุยังถูกดูถูกเหยียดหยามจากคนญี่ปุ่นอยู่เช่นเดิม
(แม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับคนต่างชาติ ยังไม่แนะนำให้ไปเยือนถิ่นชาวไอนุ)

ถนนคนเดิน ย่านทะนุกิโคจิ (狸小路) ย่านการค้าเก่าแก่ของเกาะฮกไกโด
สร้างขึ้นเพื่อรองรับความฟุ้งเฟ้อของชาวญี่ปุ่นอพยพตั้งแต่ปี ค.ศ. 1873
ความเจริญที่เข้ามาแลกกับการสิ้นแผ่นดินของชาวไอนุ
แม้แต่ในแบบเรียนก็เลือนหายไป แต่ด้วยแรงกดดันจำใจต้องรับเข้าเป็นพวก
เนื่องจากแนวทางสุดโต่งเริ่มจะไปไม่รอด
ไอนุ มาจากคำว่า ainu แปลว่า มนุษย์(ภาษาไอนุ ไม่มีตัวอักษร)
(ชื่อเผ่าชนกลุ่มน้อยแถบอุษาคเนย์ ส่วนใหญ่แปลว่า คน เพราะได้รับการเหยียดหยามว่าเป็น ลิง ข่าง บ่าง ชะนี)
แต่ชาวไอนุในปัจจุบัน ไม่ชอบชื่อที่ถูกเรียกว่า “ไอนุ” เพราะเสมือนเป็นคำดูถูก
(เช่นเดียวกับ เอสกิโม ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า อินูอิต)
ชาวไอนุต้องการที่จะเรียกตัวเองว่า อุตาริ (Utari) แปลว่า สหาย หรือ เพื่อน ในภาษาไอนุมากกว่า
เอกสารราชการญี่ปุ่นใช้ทั้งสองชื่อในปัจจุบัน
ลูกหลานชาวไอนุยังอยู่ ไม่มีการต้องปกปิดที่มาของตัวเอง
พูดเต็มปากกันเลยว่าพวกเขาเป็นไอนุ ต่างจาก พวกบุราคุมิน หรือ จัณฑาลญี่ปุ่น
ไม่มีการกีดกันในเรื่องที่อยู่อาศัยหรืออาชีพในชีวิตประจำวันอย่างพวกเมกันมีสี
ได้รับการยอมรับจากสังคมทั่วไปมากกว่า พวกโชเซน(เกาหลี)
สมัยนี้มีนิทรรศการเกี่ยวกับไอนุที่ไหน คนเข้าชมแน่น
(คล้ายกับที่บ.มิตซุบิชิขอโทษคนจีนสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เพื่อลดกระแสเกลียดชัง
เนื่องจากคนจีนรวยขึ้น ส่วนฮกไกโดทำเงินได้ดี หลังเหตุฟุกุชิมะ ทำเป็นต้องเอาใจชาวไอนุ)

เทศกาลบวงสรวงเทพงูขาว หนึ่งในเทศกาลแก่เก่า หาชมได้ยากของชาวไอนุ

ตำนานเริ่มขึ้นในยุคที่ชาวไอนุต้องทนทุกข์ทรมานต่อความอดอยาก จึงร้องขอต่อเทพให้ช่วย
ทันใดนั้นปรากฏงูขาวตัวหนึ่งนำพาชาวไอนุไปที่ทะเลสาบชิคะริเบตสึ มีฝูงปลาชุกชุม
ชาวไอนุจึงรอดพ้นจากความอดอยากได้ในที่สุด

เทศกาลจัดขึ้นเพื่อขอบคุณเทพเจ้า คามุยโนมิ(Kamui Nomi) และธรรมชาติ
จัดขึ้นวันเสาร์แรกของเดือนกรกฎาคมของทุกปี ณ ทะเลสาบชิคะริเบตสึ เมืองชิคะโออิ ฮอกไกโด
ในงานจะมีพญางูขาวจำลองหลายตัว กับมิโกะแสนสวย มาร่ายรำประกอบเพลงพื้นเมืองไอนุ
ตำนานซูซาโนะโอะ พิชิต ยามาตะ โนะ โอโรจิ มีความสอดคล้องกับตำนานเทพงูขาว
เพราะดาบคุซานางิ เป็นของต่างเผ่าซึ่งนับถืองูเป็นเทพประจำเผ่า แต่พ่ายแพ้จึงผูกเรื่องเป็นนิทานภายหลัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยนิสัยธรรมชาติชาวไอนุรักสงบ แต่ยามที่ญี่ปุ่นต้องอาศัย
ความชำนาญทางป่าเขาเช่นในยามสงคราม (สมัยเมจิทำสงครามกับรัสเซีย)

บรรพบุรุษของไอนุให้ความช่วยเหลืออย่างดี โดยเป็นพรานนำทางบ้าง
กองขนสัพพาหระบ้าง(ไม่เกี่ยงงอน ไม่เรียกร้องเกินเหตุ)
ชาวญี่ปุ่นสมัยนี้ยกย่องวีระกรรมของผู้นำชาวไอนุที่ต่อสู้กับกองทัพยามาโตะในสมัยเฮอัน
ชื่อ "อาเทลุอิ" (มีป้ายมีศาลเจ้าของอาเทลุอิในหลายที่แม้กระทั่งในเกียวโต)
กลายเป็นฮีโร่ยอดขวัญใจของชาวญี่ปุ่นในปัจจุบัน ทำเป็นหนัง เป็นละครยอดฮิต
เด็กรุ่นใหม่รู้จักอาเทลุอิ จากมังงะ และอนิเม
สมัยเอโดะ ฮกไกโด เรียกว่า เอโซจิ
รัฐบาลโชกุนให้อยู่ในความควบคุมของ ไดเมียวมัทซึมาเอะ ดูแลหัวเมืองเหนือ
ขนาดคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง ระหว่างเจ้าเมือง กับชาวนายังมีการก่อกบฏ
ถ้าปีไหนที่ฝนฟ้าไม่เป็นใจ ชาวนาเก็บเกี่ยวได้น้อย แต่ไดเมียวเล่นเก็บภาษีข้าวหนัก
พวกชาวนายังลุกขึ้นต่อต้านแล้วโดนปราบปรามไปเป็นเรื่องธรรมดามากมีบ่อยด้วย
ชาวไอนุก็ไม่ต่างกัน
การค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าหนังสัตว์ การประมงในทะเลเหนือ
ไอนุทำกับรัสเซีย ถูกไดเมียวผูกขาดแทน ชาวไอนุต้องยอมเพราะอาวุธด้อยกว่า

สาวไอนุ ยืนหน้าหมู่บ้าน ค.ศ.1890 ฮกไกโด เมจิ ถ่ายโดย ทากางิ เทจิโร
บรรดาซามุไรของไดเมียว ที่ถูกส่งมาประจำควบคุมตามหมู่บ้านไอนุ
ใช่ว่าจะโหดร้ายไปเสียทุกคน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คุมกับผู้ถูกคุมไม่ได้เลวร้ายไปหมด
(สำหรับซามุไร ถ้าโดนย้ายมาที่นี้หมายถึง ถูกเนรเทศ ไปอยู่ทุ่งน้ำแข็งแทนทุ่งลาเวนเดอร์ บางที่เรียก แช่แข็ง
หมดโอกาสเป็นใหญ่เป็นโต บางคนล้มตายด้วยโรคขาดอาหารก็มี ไม่ต่างจาก ขุนนางต้าชิงโดนย้ายไปซินเจียง)
เพื่อลดแรงกดดัน และอิทธิพลจากหมีขาว
อ้างอิงบางส่วนจาก
ญี่ปุ่นโดยสังเขป : Japan in a Nutshell
23 มีนาคม 2016
บทที่ 44 - ฮกไกโด กับ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวไอนุ
ฮกไกโดเป็นเมืองค่อนข้างใหม่ เพิ่งได้รับการพัฒนาครั้งใหญ่หลังการปฏิรูปประเทศในสมัยจักรพรรดิเมจิ
หรือประมาณร้อยกว่าปีมานี้เอง การพัฒนาครั้งนั้นเป็นไปเพื่อขยายพระราชอำนาจ ต่อสู้แย่งชิงหัวเมืองเหนือกับจักรวรรดิรัสเซีย
ความเจริญของเกาะฮกไกโดในปัจจุบัน แลกมาด้วยรอยเลือด หยาดน้ำตา และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวไอนุ
ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่มาแต่เดิม
ไอนุ (アイヌ) เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมบนเกาะฮกไกโด เรื่องราวของชาวไอนุ
บันทึกอยู่ในเอกสารประวัติศาสตร์ของจีน สมัยราชวงศ์หยวน ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 12
บันทึกในเอกสารของญี่ปุ่นมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวญี่ปุ่นเริ่มติดต่อกับ พวกปีศาจทางตอนเหนือ

นักรบชาวไอนุ
พวกปีศาจที่ว่านี้ หมายถึงชาวไอนุนั่นเอง

สาวชาวไอนุสักปาก เพื่อป้องกันการฉุดคร่า
ตั้งแต่ยุคคะมะกุระและมุโระมะจิ ชาวญี่ปุ่นทยอยย้ายถิ่นฐานเข้ามาตั้งรกรากอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฮกไกโด
ทำการค้า และขูดรีดผลประโยชน์จากชาวไอนุ จนเกิดศึกสงครามกันหลายครั้ง
ครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1789 กองทัพของรัฐบาลโทะกุกะวะมีชัยเหนือกองทัพไอนุอย่างเบ็ดเสร็จ พร้อมออกประกาศว่า
พื้นที่ใดที่ชาวไอนุอยู่อาศัย พื้นที่นั้นคือเขตแดนของญี่ปุ่น
หลังปฏิรูปเมจิ ปี ค.ศ.1869 จักรพรรดิเมจิต้องการรวมเกาะฮกไกโดไว้ภายใต้จักรวรรดิญี่ปุ่น
ขับไล่อิทธิพลของจักรวรรดิรัสเซีย จึงทรงตั้งคอมมิตตีเพื่อสำรวจและพัฒนาเกาะฮกไกโดอย่างจริงจัง
การพัฒนาเกาะฮกไกโดในครั้งนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนญี่ปุ่น รัฐบาลกลางส่งเสริมการอพยพของชาวญี่ปุ่น
จากเกาะฮนชูเข้าสู่เกาะฮกไกโดโดยให้กรรมสิทธิ์ และผลประโยชน์จากการบุกเบิกที่ดินทำกิน
บุกรุกพื้นที่ดั้งเดิมของชาวไอนุ โดยอ้างเหตุผลเพื่อการพัฒนา

สาวไอนุ ป้อนเหล้าให้หมีสีน้ำตาล ฮิกุมะ หนึ่งในเทพของชาวไอนุ
จักรพรรดิเมจิตรากฎหมายเพื่อกลืนวัฒนธรรม(cultural assimilation) บังคับให้ชาวไอนุเลิกนับถือประเพณีเดิมของตน
ห้ามใช้ภาษาไอนุ ให้เปลี่ยนมาใช้ภาษาญี่ปุ่น ใช้นามสกุลแบบคนญี่ปุ่น ในขณะเดียวกัน
ได้กดสถานะทางสังคมของชาวไอนุให้ด้อยกว่าคนญี่ปุ่นโดยทั่วไป โดยตรากฎการครอบครองที่ดินว่า
(ก่อนปฏิรูปเมจิ ชาวไอนุถูกคนญี่ปุ่นมองว่า เป็นยักษ์ เป็นมาร
พอหลังปฏิรูปเมจิก็ถูกมองว่า เป็นพวกต่างด้าวไร้วัฒนธรรม
ชื่อทางราชการใช้เรียกชาวไอนุมาตั้งแต่ ค.ศ. 1878 คือ คิวโดะจิน(旧土人)
ภาษาอังกฤษคือ former Aborigine แปลว่า เคยเป็นเจ้าของพื้นที่ หรือพ้นสถานะเจ้าของพื้นที่ไปแล้ว)
ชาวไอนุจะมีกรรมสิทธิในที่ดินได้ ต่อเมื่อสามารถทำการเพาะปลูกได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ
ไม่อย่างนั้นรัฐบาลกลางจะยึดกรรมสิทธิ์คืน
ชาวไอนุมีวิถีชีวิตผูกพันกับการตกปลาล่าสัตว์ เมื่อถูกบังคับให้ทำไร่ไถนาก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่รัฐบาลต้องการ
สุดท้ายกรรมสิทธิ์ที่ดินก็หลุดมือไป ชาวไอนุจำนวนมากถูกส่งไปทำงานในเหมืองหรือในโรงงานของคนญี่ปุ่น
ชาวไอนุซึ่งเคยอยู่อาศัยในเกาะฮกไกโดมาหลายชั่วอายุคน กลับกลายเป็นคนไร้พื้นที่ ขาดโอกาสทางสังคม
ถูกแบ่งแยกกีดกันทั้งในแง่กฏหมาย และความรู้สึกของผู้คน ชาวไอนุส่วนหนึ่งพยายามแยกตัวจากสังคม
ปกปิดฐานะของตนเอง หรือบางคนหาโอกาสแต่งงานกับคนญี่ปุ่นเพื่อเจือจางสายเลือดไอนุให้ลดลง
กระทั่งปี ค.ศ.1997 รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มตระหนักถึงความมีอยู่ของชาวไอนุ
จึงประกาศแก้ไขกฎหมายฉบับเดิมเพื่อรับรองสถานะวัฒนธรรมไอนุ
แต่กฎหมายฉบับใหม่นี้ไม่ได้กล่าวถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน สิทธิทางการศึกษา
สถานะทางสังคม ตลอดจนสิทธิมนุษยชนของชาวไอนุ
ในมุมมองของคนญี่ปุ่น ชาวไอนุเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนด้อยพัฒนา มีสถานะที่ต่ำต้อย
กฎหมายญี่ปุ่นแต่เดิม ไม่ได้รับรองชาวไอนุในฐานะพลเมือง
หลายคนเชื่อว่าชาวไอนุ เป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนที่รอนแรม
เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ
ได้มีแผ่นดินอยู่ก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น
รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งยอมรับสถานะของชาวไอนุว่าเป็น
ชนพื้นเมืองดั้งเดิม(indigenous people) บนเกาะฮกไกโด เมื่อปี ค.ศ. 2008 นี่เอง
หลังจากโดนกดดันจากสหประชาชาติ และประเทศภาคีสมาชิกในกลุ่ม G8
ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นสมัยนั้นให้สัญญาว่าจะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆให้ดีขึ้น
ปลายปี ค.ศ.2014 นายมะซะรุ โอโนะเดระ สส.ฮกไกโดจากพรรครัฐบาล(LDP) ให้ความเห็นว่า
สถานะของชาวไอนุยังเป็นเรื่องน่าสงสัย ญี่ปุ่นควรยอมรับชาวไอนุในฐานะพลเมืองดั้งเดิมของฮกไกโดจริงๆอย่างนั้นหรือ
นายโอโนะเดระเห็นว่า ญี่ปุ่นไม่ควรรับรองสถานะของชาวไอนุในฐานะพลเมืองดั้งเดิมของฮกไกโด
ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีความคืบหน้าใดมากไปกว่าเดิม สัญญาจากรัฐบาลเดิมดูจะเงียบหายไปพร้อมๆ
กับนโยบายอนุรักษ์นิยมของพรรครัฐบาลปัจจุบัน(พรรค LDP) ที่ได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่นมาหลายยุคหลายสมัย
ผลสำรวจโดยสมาคมชาวไอนุแห่งฮกไกโด(Ainu Association of Hokkaido) เมื่อปลายปี ค.ศ. 2015 พบว่า
เกือบ 3 ใน 4 ของชาวไอนุยังถูกดูถูกเหยียดหยามจากคนญี่ปุ่นอยู่เช่นเดิม
(แม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับคนต่างชาติ ยังไม่แนะนำให้ไปเยือนถิ่นชาวไอนุ)

ถนนคนเดิน ย่านทะนุกิโคจิ (狸小路) ย่านการค้าเก่าแก่ของเกาะฮกไกโด
สร้างขึ้นเพื่อรองรับความฟุ้งเฟ้อของชาวญี่ปุ่นอพยพตั้งแต่ปี ค.ศ. 1873
ความเจริญที่เข้ามาแลกกับการสิ้นแผ่นดินของชาวไอนุ
แม้แต่ในแบบเรียนก็เลือนหายไป แต่ด้วยแรงกดดันจำใจต้องรับเข้าเป็นพวก
เนื่องจากแนวทางสุดโต่งเริ่มจะไปไม่รอด
ไอนุ มาจากคำว่า ainu แปลว่า มนุษย์(ภาษาไอนุ ไม่มีตัวอักษร)
(ชื่อเผ่าชนกลุ่มน้อยแถบอุษาคเนย์ ส่วนใหญ่แปลว่า คน เพราะได้รับการเหยียดหยามว่าเป็น ลิง ข่าง บ่าง ชะนี)
แต่ชาวไอนุในปัจจุบัน ไม่ชอบชื่อที่ถูกเรียกว่า “ไอนุ” เพราะเสมือนเป็นคำดูถูก
(เช่นเดียวกับ เอสกิโม ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า อินูอิต)
ชาวไอนุต้องการที่จะเรียกตัวเองว่า อุตาริ (Utari) แปลว่า สหาย หรือ เพื่อน ในภาษาไอนุมากกว่า
เอกสารราชการญี่ปุ่นใช้ทั้งสองชื่อในปัจจุบัน
ลูกหลานชาวไอนุยังอยู่ ไม่มีการต้องปกปิดที่มาของตัวเอง
พูดเต็มปากกันเลยว่าพวกเขาเป็นไอนุ ต่างจาก พวกบุราคุมิน หรือ จัณฑาลญี่ปุ่น
ไม่มีการกีดกันในเรื่องที่อยู่อาศัยหรืออาชีพในชีวิตประจำวันอย่างพวกเมกันมีสี
ได้รับการยอมรับจากสังคมทั่วไปมากกว่า พวกโชเซน(เกาหลี)
สมัยนี้มีนิทรรศการเกี่ยวกับไอนุที่ไหน คนเข้าชมแน่น
(คล้ายกับที่บ.มิตซุบิชิขอโทษคนจีนสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เพื่อลดกระแสเกลียดชัง
เนื่องจากคนจีนรวยขึ้น ส่วนฮกไกโดทำเงินได้ดี หลังเหตุฟุกุชิมะ ทำเป็นต้องเอาใจชาวไอนุ)

เทศกาลบวงสรวงเทพงูขาว หนึ่งในเทศกาลแก่เก่า หาชมได้ยากของชาวไอนุ

ตำนานเริ่มขึ้นในยุคที่ชาวไอนุต้องทนทุกข์ทรมานต่อความอดอยาก จึงร้องขอต่อเทพให้ช่วย
ทันใดนั้นปรากฏงูขาวตัวหนึ่งนำพาชาวไอนุไปที่ทะเลสาบชิคะริเบตสึ มีฝูงปลาชุกชุม
ชาวไอนุจึงรอดพ้นจากความอดอยากได้ในที่สุด

เทศกาลจัดขึ้นเพื่อขอบคุณเทพเจ้า คามุยโนมิ(Kamui Nomi) และธรรมชาติ
จัดขึ้นวันเสาร์แรกของเดือนกรกฎาคมของทุกปี ณ ทะเลสาบชิคะริเบตสึ เมืองชิคะโออิ ฮอกไกโด
ในงานจะมีพญางูขาวจำลองหลายตัว กับมิโกะแสนสวย มาร่ายรำประกอบเพลงพื้นเมืองไอนุ
ตำนานซูซาโนะโอะ พิชิต ยามาตะ โนะ โอโรจิ มีความสอดคล้องกับตำนานเทพงูขาว
เพราะดาบคุซานางิ เป็นของต่างเผ่าซึ่งนับถืองูเป็นเทพประจำเผ่า แต่พ่ายแพ้จึงผูกเรื่องเป็นนิทานภายหลัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยนิสัยธรรมชาติชาวไอนุรักสงบ แต่ยามที่ญี่ปุ่นต้องอาศัย
ความชำนาญทางป่าเขาเช่นในยามสงคราม (สมัยเมจิทำสงครามกับรัสเซีย)

บรรพบุรุษของไอนุให้ความช่วยเหลืออย่างดี โดยเป็นพรานนำทางบ้าง
กองขนสัพพาหระบ้าง(ไม่เกี่ยงงอน ไม่เรียกร้องเกินเหตุ)
ชาวญี่ปุ่นสมัยนี้ยกย่องวีระกรรมของผู้นำชาวไอนุที่ต่อสู้กับกองทัพยามาโตะในสมัยเฮอัน
ชื่อ "อาเทลุอิ" (มีป้ายมีศาลเจ้าของอาเทลุอิในหลายที่แม้กระทั่งในเกียวโต)
กลายเป็นฮีโร่ยอดขวัญใจของชาวญี่ปุ่นในปัจจุบัน ทำเป็นหนัง เป็นละครยอดฮิต
เด็กรุ่นใหม่รู้จักอาเทลุอิ จากมังงะ และอนิเม
สมัยเอโดะ ฮกไกโด เรียกว่า เอโซจิ
รัฐบาลโชกุนให้อยู่ในความควบคุมของ ไดเมียวมัทซึมาเอะ ดูแลหัวเมืองเหนือ
ขนาดคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง ระหว่างเจ้าเมือง กับชาวนายังมีการก่อกบฏ
ถ้าปีไหนที่ฝนฟ้าไม่เป็นใจ ชาวนาเก็บเกี่ยวได้น้อย แต่ไดเมียวเล่นเก็บภาษีข้าวหนัก
พวกชาวนายังลุกขึ้นต่อต้านแล้วโดนปราบปรามไปเป็นเรื่องธรรมดามากมีบ่อยด้วย
ชาวไอนุก็ไม่ต่างกัน
การค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าหนังสัตว์ การประมงในทะเลเหนือ
ไอนุทำกับรัสเซีย ถูกไดเมียวผูกขาดแทน ชาวไอนุต้องยอมเพราะอาวุธด้อยกว่า

สาวไอนุ ยืนหน้าหมู่บ้าน ค.ศ.1890 ฮกไกโด เมจิ ถ่ายโดย ทากางิ เทจิโร
บรรดาซามุไรของไดเมียว ที่ถูกส่งมาประจำควบคุมตามหมู่บ้านไอนุ
ใช่ว่าจะโหดร้ายไปเสียทุกคน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คุมกับผู้ถูกคุมไม่ได้เลวร้ายไปหมด
(สำหรับซามุไร ถ้าโดนย้ายมาที่นี้หมายถึง ถูกเนรเทศ ไปอยู่ทุ่งน้ำแข็งแทนทุ่งลาเวนเดอร์ บางที่เรียก แช่แข็ง
หมดโอกาสเป็นใหญ่เป็นโต บางคนล้มตายด้วยโรคขาดอาหารก็มี ไม่ต่างจาก ขุนนางต้าชิงโดนย้ายไปซินเจียง)
แสดงความคิดเห็น
ทำไมฮอกไกโดทั้งเกาะถึงเป็นแค่เขตจังหวัดเดียวครับ