สวัสดีครับ วันนี้เจ้าของกระทู้จะมารีวิว การท่องเที่ยวอินโดนีเซีย เอาจริงๆแล้วเจ้าของกระทู้ไม่ได้จะต้องการเขียนรีวิวตั้งแต่แรกนะครับ แต่ไกด์ที่พาเราเที่ยวบริการดี เกิ้นนนนน แถมลดราคาให้อีกต่างหาก เลยมีรีวิวเป็นการขอบคุณให้นิดหน่อยนะครับ
จากตอนกล่าวไปแล้วตอนแรกว่าไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวตั้งแต่แรก ดังนั้นภาพบางสถานที่อาจจะหายๆไปบ้าง ต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ
เราเริ่มเดินทางไปท่องเที่ยวในวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมาด้วยสายการบิน AirAsiaX เวลา 6.15 ถึง Bali เวลา 11.30 ครับ โดยที่บาหลีจะไวกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง ซึ่งที่บาหลีเราได้จ้างคนขับรถทีม Andrew Andreas สาเหตุที่เลือกเพราะเพื่อนที่ไปก่อนหน้านั้น 1 เดือนให้เครดิตดี และเมื่อติดต่อไปไม่นานเค้าก็ตอบกลับมาทันที (ไม่ต้องมานั่งรอตอบกลับนานเป็นวัน ทีมนี้ตอบกลับมาในเวลา 30 นาทีหรือน้อยกว่า) อีกทั้งความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษโอเค (ทั้งหมดเราติดต่อกันด้วย Facebook เอา Andrew Andreas ค้นหาได้เลย )
สิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงก็คือ กินข้าวววววววววว
Asis (ไกด์+คนขับรถ+ล่ามแปลภาษา+ช่างภาพ) ถามเราว่าอยากกินอาหารประเภทไหน ซึ่งเราบอกกับเค้าว่า เราอยากทาน local Food เค้าเลยพาเราไปกินอาหารตามรูป
ในรูปคืออาหารที่มีชื่อว่า Ayum Betutu ก็จะประกอบด้วยข้าว ไก่ที่น่าจะต้มด้วยเครื่องเทศอะไรซักอย่าง มีรสชาติเผ็ด ซึ่ง Asis บอกว่ามันเผ็ดมากนะคุณกินได้แน่นะ แต่ผมคิดว่ามันไม่เผ็ดเลย คือมันมันสู้ส้มตำบ้านเราไม่ได้ซักกะติ๊ด ใน set menu มีข้าว ไก่ กับผักที่คล้ายๆ อาจาด บ้านเรา ชุดนี้ราคา 45,000 IDR ซึ่งผมคิดว่าแพงและไม่ค่อยถูกปากเท่าไรนัก แต่เห็นนักท่องเที่ยวกินกันเต็มไปหมดจึงคิดว่ามาที่ Bali คงต้องกิน
เมื่อกินเสร็จเราก็เดินทางกันต่อโดยไปที่ Pura Ulun Danu Bratan โดยใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง (ตามการจราจร Asis ว่างี้) ซึ่งเราเดินทางด้วยรถ Toyota Innova (กรุ๊ปผมมีกัน 6 คน) การเดินทางรถไม่ติดหรอกครับ แต่ถนนมีแค่ 2 เลนทำให้ใช้ความเร็วไม่ค่อยจะได้ ซึ่ง Asis ก็ทำผมฮาแตกลั่นรถโดยการพูดว่า
“กัน, ถ้าคุณคิดว่าผมขับเร็วเกินไปบอกผมนะ”
เค้าพูดกับผมงี้ครับ ทั้งๆที่เค้าขับรถที่ 60 Km/Hr โอ้ยตายๆ ผมอยากจะบอกกับเค้าจริงๆว่าที่ไทยเราขับรถกันที่ความเร็วเท่าไร แต่กลัวเค้าถามยาวแล้วเสียชื่อประเทศเรา เลยฮากันแตกทั้งรถแล้วก็บอกว่า ไม่มีอะไรๆ แล้วบอกเค้าว่า
“Asis คุณจะขับไวเท่าไรก็ได้ตามใจคุณเถอะ พวกผมไม่กลัวหรอก”
และเราก็มาถึง Pura Ulun Danu Bratan
ที่ Pura Ulun Danu Bratan ผมรู้สึกก็โอเคอยู่ (ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่แย่มาก) มีที่ให้ถ่ายรูปครับ แต่ว่าสถานที่มันเล็ก มุมถ่ายรูปเลยมีไม่เยอะเท่าไร ถ่ายแปปๆ เดินรอบแล้วเลยสถานที่ต่อไปเลย
สถานที่เที่ยวต่อไปคือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ Tirta Empul โดยเดินทางจาก Pura Ulun Danu Bratan 1.30 – 2 ชั่วโมงโดยประมาณครับ การเดินทางยังคงเป็นถนนแคบๆ เลยสวนกันไปมาเหมือนเดิม ความเร็วก็เท่าเดิม - - *
พอมาถึงก็ค่อนข้างที่จะมืดนิดๆแล้วครับ (ที่อินโดแสงหมดไวมาก 5 โมงเย็นเหมือน 6 โมงครึ่งบ้านเรา) รูปก็ถ่ายได้ประมาณนี้ครับ
อันนี้เจ้าของกระทู้เองครับ
ที่นี่ก็เช่นเดียวกันกับ Pura Ulun Danu Bratan ครับ ผมรู้สึกโอเคอยู่ วิวค่อนข้างดีครับครึ้มๆต้นไม้ แต่สถานที่ก็ยังเล็กอยู่เดินเพียงแค่ 45 นาทีมันก็รอบแล้ว (เดินทางเป็นชั่วโมง)
*****โปรดระวังการขายแบบ HardSell ****
ตรงที่จอดรถ Tirta Empul จะมีพ่อค้าแม่ค้าขายรูปแกะสลักอยู่ครับ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำไม ตอนแรกเราก็ไม่สนใจหรอกครับ จนกระทั่งได้ยินคำว่า “สองตัวร้อยๆๆ” ผมนี่หันทันที แล้วแม่ค้าก็นึกว่าเราสนใจจนต้องหนีไปขึ้นรถเลยล่ะครับ
วันนี้หลังจากกินข้างเย็นง่ายๆ เป็นอันจบวันแรกครับ
วันที่สอง เริ่มในเวลา 8 โมงเช้าครับ หลังจากกินข้าวง่ายๆจบเราก็มุ่งหน้าไป Tanah Lot ใช้เวลาเดินทางจากที่พักที่อยู่ใกล้ๆกับสนามบิน 1.30 – 2.30 ชั่วโมงครับ ข้างหน้าจะเป็นแหล่งซื้อของ ใครจะซื้อขอบอกว่าต่อเยอะๆนะครับ ส่วนมากผมจะทำท่าว่าไม่เอาก่อน ก่อนจะทำเป็นสนใจแล้วต่อลงมาจากที่คนขายบอกประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์
ที่นี่ผมชอบกว่าวันแรกค่อนข้างเยอะเพราะมันกว้างมีที่ให้เดิน มีจุดถ่ายรูปเยอะอย่างซุ่มประตู วิหารกลางทะเล แต่น่าเสียดายครับ ที่วิหารกลางทะเลเค้าไม่ให้คนนอกเข้า เข้าได้เฉพาะชาวฮินดูเท่านั้นเพราะเป็นที่ประกอบกิจทางศาสนาเราเลยถ่ายได้แต่รอบนอก
หลังจากจบที่ Tanah Lot เราก็ถาม Asis ไปไหนได้อีกไหม ซึ่ง Asis บอกว่าไปไม่ได้แล้วเพราะจากที่ Tanah Lot ไป Gilimanuk Pier ใช้เวลาขับรถ 6 ชั่วโมง!!!! แต่ระหว่างทางมีที่ให้ถ่ายรูปอยู่บ้าง โดยมักเป็นรูปนาขั้นบันไดครับ
และเราก็ได้แวะกินข้าวกันที่นี่ครับ
เป็นร้านอาหารที่ใหญ่มากและบรรยากาศดีมากครับแต่เชื่อไหมครับที่นี่ขายข้าวแกง!!!!! งงกันทั้งคณะตอนจะขอเมนูแล้วเค้ากวักมือให้ไปเลือกอาหารที่จะกินที่หน้าตู้กระจก แล้วเราก็ชี้ๆ เอาอะไรบ้าง ก็ราคาค่อนข้างถูกมากครับ ผิดกับบรรยากาศที่ดีมากๆ ใครมากลางคืน(ถ้าเค้ายังเปิดอยู่อานะ) ก็น่าจะได้ถ่ายรูปสวยๆกลับไป
และเราก็มาถึงท่าเรือเฟอร์รี่ครับ
เจ้าของกระทู้เหม่อมองฟ้าาา
ใช้เวลาการเดินทางที่ด้วยเรือเฟอร์รี่ข้ามเกาะ 45 นาทีครับ สามารถขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือได้โดยเรือมี 3 ชั้น ใครจะนั่งนานๆอาจจะต้องทนกับกลิ่นบุหรี่หน่อยนะครับเพราะคนอินโดสูบบุหรี่ค่อนข้างจัดเลย ใครแพ้อาจจะต้องหนีไปที่รถนะครับ
หลังจากขึ้นเฟอร์รี่เป็นอันจบทริปของ Bali ครับ โดยร่วมผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนัก ให้คะแนน 6.5/10 ครับ เนื่องจากที่เที่ยวสถานที่เล็กมากกกกก เดินจริงๆ 45 นาทีก็รอบแล้ว การเดินทางแต่ล่ะที่ก็ไกลเอามากๆ เลยไม่ค่อยประทับใจเท่าไรครับ
เมื่อลงจากเรือเฟอร์รี่ก็จะ 1 ทุ่มแล้วครับ กว่าจะไปถึงที่พักก็ 4 ทุ่ม (ที่พักที่ Kawahijen) พอดูจากตารางที่เที่ยวแล้วพรุ่งนี้เราจะไปแค่น้ำตกที่อยู่ใกล้ๆ Kawahijen เท่านั้น ไกด์เราเลยเปลี่ยนแปลงโดยให้ขึ้น Kawahijen เลย (ตรงนี้ใครไม่ไหวอย่าเลียนแบบนะครับ เพราะการที่จะขึ้น Kawahijen เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นนั้นต้องตื่นตั้งแต่ ตี1 เมื่อเรามาถึงที่พักเราเลยมีเวลานอนแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นแล้วเดินขึ้นเขากันเลย ซึ่งการทำงานของคณะผมนอนกันน้อยอยู่แล้ว(โรงพยาบาลรัฐ) แค่นี้เลยชิลๆ สบายๆ 5555 กลัวได้เที่ยวน้อย 55555+ )
****ความฮาบังเกิดรอบ 2 *****
หลังจากที่ Asis บอกให้ทุกคนนอนเลยนะ แล้วมาเจอกัน ตี1 เพื่อปีนเข้า เราก็ทำตามครับ
เวลา 01.00 น.
พวกเราก็ตื่นมากันหมดทุกคนแล้วมาหา Asis ซึ่ง Asis บอกว่า เฮ้ นี่มันยังเที่ยงคืนอยู่เลย พวกคุณลุกกันมาทำไม
เราก็เถียงกับ Asis ว่านี่ไงตี1 พร้อมเอานาฬิกาข้อมือให้ดู
Asis เห็นก็บอกว่า โอ้ยย ผมขอโทษ ผมลืมบอกพวกคุณว่าที่ Kawahijen เวลาในเท่ากับไทย (คือไม่ได้เร็วกว่า 1 ชั่วโมงเหมือนบาหลี)
ผ่างงงงง ผ่างงงงง ผ่างงงงงงง
โนววววววว เอาเวลานอน 1 ชั่วโมงของเราคืนมา
วันที่สาม เมื่อถึงเวลาตี1 (ตี1จริงๆ)
เราก็ใช้เวลาในการไปที่ทางเข้า Kawahijen 45นาทีครับ ซึ่ง Kawahijen นั้นจะเปิดให้คนเข้าไปในเวลา ตี2 ตรงนี้เราต้องจ้างไกด์ท้องถิ่นนะครับ ซึ่งเราก็ให้ Asis จัดการให้ วันที่พวกผมไปนั้นโชคไม่ดีนักเพราะฝนดันตก อีกทั้งไกด์ท้องถิ่นบอกว่า ซัลเฟอร์ ปะทุมากกว่าปกติ เลยห้ามลงไปที่ถ่าย Blue Flame TT^TT เราเลยได้แต่มองจากที่ไกลไกล~~
สภาพตอนเดินครับนี่คือตอนขาลงที่ฝนก็ยังตกอยู่
ใครเจอฝนก็อาจจะลำบากหน่อยนะครับเพราะว่าการใส่เสื้อกันฝนมันร้อนมากๆ แต่อากาศข้างนอกเสื้อกันฝนมันเย็นเลยกลายเป็นว่าตัวร้อน มือเย็น ซึ่งผมเป็นคนนึงที่.......กุไม่ทนแล้วโว้ยยยยย ถอดเสื้อกันฝนออกครับ แล้วเดินถือเสื้อกันฝนคลุมหัวแทนช่วยได้เยอะถึงแม้ว่าสภาพผมที่อุตสาห์หวีมาจะพังพินาศก็ตาม เดินซัก 2 ชั่วโมงก็ถึงครับ พอขึ้นไปถึงแล้วข้างบนสวยมากครับ
ถ่ายย้อนแสงสวยอยู่นะครับตอนพระอาทิตย์ขึ้น
ใครตาไวๆอาจจะเจอมุมนี้นะครับ อิอิอิ
อันนี้ทางเข้าครับที่บอกว่าเปิดตี2
หลังจากที่เรากลับลงมาจาก Kawahijen Asis ก็ได้พาเราไปที่น้ำตกเล็กๆ น้ำตกนึงก่อนครับ แต่น้ำที่นั้นห้ามเล่น!!! เด็ดขาดเพราะมันเป็นพิษจากซัลเฟอร์ครับ น้ำเลยมีสีเขียว
นี่ครับสังเกตุดูน้ำจะเขียวๆ
จากนั้น Asis ก็พาเราไปที่ Blawan Waterfall ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งสวยงามดีครับ แต่มันสถานที่ที่สามารถเดินได้มันน้อยครับ เลยไม่ค่อยมีมุมให้ถ่ายรูปเท่าไร
อันนี้ด้านนอกครับ
[CR] รีวิวนำเที่ยว Bali, Kawahijen, Bromo, Malang และ Surabaya 31 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน 2560 (6วัน)
จากตอนกล่าวไปแล้วตอนแรกว่าไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวตั้งแต่แรก ดังนั้นภาพบางสถานที่อาจจะหายๆไปบ้าง ต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ
เราเริ่มเดินทางไปท่องเที่ยวในวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมาด้วยสายการบิน AirAsiaX เวลา 6.15 ถึง Bali เวลา 11.30 ครับ โดยที่บาหลีจะไวกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง ซึ่งที่บาหลีเราได้จ้างคนขับรถทีม Andrew Andreas สาเหตุที่เลือกเพราะเพื่อนที่ไปก่อนหน้านั้น 1 เดือนให้เครดิตดี และเมื่อติดต่อไปไม่นานเค้าก็ตอบกลับมาทันที (ไม่ต้องมานั่งรอตอบกลับนานเป็นวัน ทีมนี้ตอบกลับมาในเวลา 30 นาทีหรือน้อยกว่า) อีกทั้งความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษโอเค (ทั้งหมดเราติดต่อกันด้วย Facebook เอา Andrew Andreas ค้นหาได้เลย )
สิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงก็คือ กินข้าวววววววววว
Asis (ไกด์+คนขับรถ+ล่ามแปลภาษา+ช่างภาพ) ถามเราว่าอยากกินอาหารประเภทไหน ซึ่งเราบอกกับเค้าว่า เราอยากทาน local Food เค้าเลยพาเราไปกินอาหารตามรูป
ในรูปคืออาหารที่มีชื่อว่า Ayum Betutu ก็จะประกอบด้วยข้าว ไก่ที่น่าจะต้มด้วยเครื่องเทศอะไรซักอย่าง มีรสชาติเผ็ด ซึ่ง Asis บอกว่ามันเผ็ดมากนะคุณกินได้แน่นะ แต่ผมคิดว่ามันไม่เผ็ดเลย คือมันมันสู้ส้มตำบ้านเราไม่ได้ซักกะติ๊ด ใน set menu มีข้าว ไก่ กับผักที่คล้ายๆ อาจาด บ้านเรา ชุดนี้ราคา 45,000 IDR ซึ่งผมคิดว่าแพงและไม่ค่อยถูกปากเท่าไรนัก แต่เห็นนักท่องเที่ยวกินกันเต็มไปหมดจึงคิดว่ามาที่ Bali คงต้องกิน
เมื่อกินเสร็จเราก็เดินทางกันต่อโดยไปที่ Pura Ulun Danu Bratan โดยใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง (ตามการจราจร Asis ว่างี้) ซึ่งเราเดินทางด้วยรถ Toyota Innova (กรุ๊ปผมมีกัน 6 คน) การเดินทางรถไม่ติดหรอกครับ แต่ถนนมีแค่ 2 เลนทำให้ใช้ความเร็วไม่ค่อยจะได้ ซึ่ง Asis ก็ทำผมฮาแตกลั่นรถโดยการพูดว่า
“กัน, ถ้าคุณคิดว่าผมขับเร็วเกินไปบอกผมนะ”
เค้าพูดกับผมงี้ครับ ทั้งๆที่เค้าขับรถที่ 60 Km/Hr โอ้ยตายๆ ผมอยากจะบอกกับเค้าจริงๆว่าที่ไทยเราขับรถกันที่ความเร็วเท่าไร แต่กลัวเค้าถามยาวแล้วเสียชื่อประเทศเรา เลยฮากันแตกทั้งรถแล้วก็บอกว่า ไม่มีอะไรๆ แล้วบอกเค้าว่า
“Asis คุณจะขับไวเท่าไรก็ได้ตามใจคุณเถอะ พวกผมไม่กลัวหรอก”
และเราก็มาถึง Pura Ulun Danu Bratan
ที่ Pura Ulun Danu Bratan ผมรู้สึกก็โอเคอยู่ (ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่แย่มาก) มีที่ให้ถ่ายรูปครับ แต่ว่าสถานที่มันเล็ก มุมถ่ายรูปเลยมีไม่เยอะเท่าไร ถ่ายแปปๆ เดินรอบแล้วเลยสถานที่ต่อไปเลย
สถานที่เที่ยวต่อไปคือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ Tirta Empul โดยเดินทางจาก Pura Ulun Danu Bratan 1.30 – 2 ชั่วโมงโดยประมาณครับ การเดินทางยังคงเป็นถนนแคบๆ เลยสวนกันไปมาเหมือนเดิม ความเร็วก็เท่าเดิม - - *
พอมาถึงก็ค่อนข้างที่จะมืดนิดๆแล้วครับ (ที่อินโดแสงหมดไวมาก 5 โมงเย็นเหมือน 6 โมงครึ่งบ้านเรา) รูปก็ถ่ายได้ประมาณนี้ครับ
ที่นี่ก็เช่นเดียวกันกับ Pura Ulun Danu Bratan ครับ ผมรู้สึกโอเคอยู่ วิวค่อนข้างดีครับครึ้มๆต้นไม้ แต่สถานที่ก็ยังเล็กอยู่เดินเพียงแค่ 45 นาทีมันก็รอบแล้ว (เดินทางเป็นชั่วโมง)
*****โปรดระวังการขายแบบ HardSell ****
ตรงที่จอดรถ Tirta Empul จะมีพ่อค้าแม่ค้าขายรูปแกะสลักอยู่ครับ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำไม ตอนแรกเราก็ไม่สนใจหรอกครับ จนกระทั่งได้ยินคำว่า “สองตัวร้อยๆๆ” ผมนี่หันทันที แล้วแม่ค้าก็นึกว่าเราสนใจจนต้องหนีไปขึ้นรถเลยล่ะครับ
วันนี้หลังจากกินข้างเย็นง่ายๆ เป็นอันจบวันแรกครับ
วันที่สอง เริ่มในเวลา 8 โมงเช้าครับ หลังจากกินข้าวง่ายๆจบเราก็มุ่งหน้าไป Tanah Lot ใช้เวลาเดินทางจากที่พักที่อยู่ใกล้ๆกับสนามบิน 1.30 – 2.30 ชั่วโมงครับ ข้างหน้าจะเป็นแหล่งซื้อของ ใครจะซื้อขอบอกว่าต่อเยอะๆนะครับ ส่วนมากผมจะทำท่าว่าไม่เอาก่อน ก่อนจะทำเป็นสนใจแล้วต่อลงมาจากที่คนขายบอกประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์
ที่นี่ผมชอบกว่าวันแรกค่อนข้างเยอะเพราะมันกว้างมีที่ให้เดิน มีจุดถ่ายรูปเยอะอย่างซุ่มประตู วิหารกลางทะเล แต่น่าเสียดายครับ ที่วิหารกลางทะเลเค้าไม่ให้คนนอกเข้า เข้าได้เฉพาะชาวฮินดูเท่านั้นเพราะเป็นที่ประกอบกิจทางศาสนาเราเลยถ่ายได้แต่รอบนอก
หลังจากจบที่ Tanah Lot เราก็ถาม Asis ไปไหนได้อีกไหม ซึ่ง Asis บอกว่าไปไม่ได้แล้วเพราะจากที่ Tanah Lot ไป Gilimanuk Pier ใช้เวลาขับรถ 6 ชั่วโมง!!!! แต่ระหว่างทางมีที่ให้ถ่ายรูปอยู่บ้าง โดยมักเป็นรูปนาขั้นบันไดครับ
และเราก็ได้แวะกินข้าวกันที่นี่ครับ
เป็นร้านอาหารที่ใหญ่มากและบรรยากาศดีมากครับแต่เชื่อไหมครับที่นี่ขายข้าวแกง!!!!! งงกันทั้งคณะตอนจะขอเมนูแล้วเค้ากวักมือให้ไปเลือกอาหารที่จะกินที่หน้าตู้กระจก แล้วเราก็ชี้ๆ เอาอะไรบ้าง ก็ราคาค่อนข้างถูกมากครับ ผิดกับบรรยากาศที่ดีมากๆ ใครมากลางคืน(ถ้าเค้ายังเปิดอยู่อานะ) ก็น่าจะได้ถ่ายรูปสวยๆกลับไป
และเราก็มาถึงท่าเรือเฟอร์รี่ครับ
ใช้เวลาการเดินทางที่ด้วยเรือเฟอร์รี่ข้ามเกาะ 45 นาทีครับ สามารถขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือได้โดยเรือมี 3 ชั้น ใครจะนั่งนานๆอาจจะต้องทนกับกลิ่นบุหรี่หน่อยนะครับเพราะคนอินโดสูบบุหรี่ค่อนข้างจัดเลย ใครแพ้อาจจะต้องหนีไปที่รถนะครับ
หลังจากขึ้นเฟอร์รี่เป็นอันจบทริปของ Bali ครับ โดยร่วมผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนัก ให้คะแนน 6.5/10 ครับ เนื่องจากที่เที่ยวสถานที่เล็กมากกกกก เดินจริงๆ 45 นาทีก็รอบแล้ว การเดินทางแต่ล่ะที่ก็ไกลเอามากๆ เลยไม่ค่อยประทับใจเท่าไรครับ
เมื่อลงจากเรือเฟอร์รี่ก็จะ 1 ทุ่มแล้วครับ กว่าจะไปถึงที่พักก็ 4 ทุ่ม (ที่พักที่ Kawahijen) พอดูจากตารางที่เที่ยวแล้วพรุ่งนี้เราจะไปแค่น้ำตกที่อยู่ใกล้ๆ Kawahijen เท่านั้น ไกด์เราเลยเปลี่ยนแปลงโดยให้ขึ้น Kawahijen เลย (ตรงนี้ใครไม่ไหวอย่าเลียนแบบนะครับ เพราะการที่จะขึ้น Kawahijen เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นนั้นต้องตื่นตั้งแต่ ตี1 เมื่อเรามาถึงที่พักเราเลยมีเวลานอนแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นแล้วเดินขึ้นเขากันเลย ซึ่งการทำงานของคณะผมนอนกันน้อยอยู่แล้ว(โรงพยาบาลรัฐ) แค่นี้เลยชิลๆ สบายๆ 5555 กลัวได้เที่ยวน้อย 55555+ )
****ความฮาบังเกิดรอบ 2 *****
หลังจากที่ Asis บอกให้ทุกคนนอนเลยนะ แล้วมาเจอกัน ตี1 เพื่อปีนเข้า เราก็ทำตามครับ
เวลา 01.00 น.
พวกเราก็ตื่นมากันหมดทุกคนแล้วมาหา Asis ซึ่ง Asis บอกว่า เฮ้ นี่มันยังเที่ยงคืนอยู่เลย พวกคุณลุกกันมาทำไม
เราก็เถียงกับ Asis ว่านี่ไงตี1 พร้อมเอานาฬิกาข้อมือให้ดู
Asis เห็นก็บอกว่า โอ้ยย ผมขอโทษ ผมลืมบอกพวกคุณว่าที่ Kawahijen เวลาในเท่ากับไทย (คือไม่ได้เร็วกว่า 1 ชั่วโมงเหมือนบาหลี)
ผ่างงงงง ผ่างงงงง ผ่างงงงงงง
โนววววววว เอาเวลานอน 1 ชั่วโมงของเราคืนมา
วันที่สาม เมื่อถึงเวลาตี1 (ตี1จริงๆ)
เราก็ใช้เวลาในการไปที่ทางเข้า Kawahijen 45นาทีครับ ซึ่ง Kawahijen นั้นจะเปิดให้คนเข้าไปในเวลา ตี2 ตรงนี้เราต้องจ้างไกด์ท้องถิ่นนะครับ ซึ่งเราก็ให้ Asis จัดการให้ วันที่พวกผมไปนั้นโชคไม่ดีนักเพราะฝนดันตก อีกทั้งไกด์ท้องถิ่นบอกว่า ซัลเฟอร์ ปะทุมากกว่าปกติ เลยห้ามลงไปที่ถ่าย Blue Flame TT^TT เราเลยได้แต่มองจากที่ไกลไกล~~
ใครเจอฝนก็อาจจะลำบากหน่อยนะครับเพราะว่าการใส่เสื้อกันฝนมันร้อนมากๆ แต่อากาศข้างนอกเสื้อกันฝนมันเย็นเลยกลายเป็นว่าตัวร้อน มือเย็น ซึ่งผมเป็นคนนึงที่.......กุไม่ทนแล้วโว้ยยยยย ถอดเสื้อกันฝนออกครับ แล้วเดินถือเสื้อกันฝนคลุมหัวแทนช่วยได้เยอะถึงแม้ว่าสภาพผมที่อุตสาห์หวีมาจะพังพินาศก็ตาม เดินซัก 2 ชั่วโมงก็ถึงครับ พอขึ้นไปถึงแล้วข้างบนสวยมากครับ
หลังจากที่เรากลับลงมาจาก Kawahijen Asis ก็ได้พาเราไปที่น้ำตกเล็กๆ น้ำตกนึงก่อนครับ แต่น้ำที่นั้นห้ามเล่น!!! เด็ดขาดเพราะมันเป็นพิษจากซัลเฟอร์ครับ น้ำเลยมีสีเขียว
จากนั้น Asis ก็พาเราไปที่ Blawan Waterfall ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งสวยงามดีครับ แต่มันสถานที่ที่สามารถเดินได้มันน้อยครับ เลยไม่ค่อยมีมุมให้ถ่ายรูปเท่าไร