ปฐมสุริยูปมสูตร
[๑๗๒๐]ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่จะขึ้นก่อนสิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน
คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อนแห่งการตรัสรู้อริยสัจ
ตามความเป็นจริง คือ สัมมาทิฏฐิฉะนั้นเหมือนกัน อันภิกษุผู้มีความเห็นชอบ
พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริง
ว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
สัมมาทิฏฐิ เป็นประธานองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ทั้งปวง รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง
ด้วย ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ นี่เป็นสัมมาทิฏฐิแบบอนาสวะ
นี่แค่องค์มรรคข้อแรกนะครับ คุณเห็นองค์ธรรมในโพธิปักขิยธรรมอยู่ในมรรคข้อแรกนี้อะไรมั่ง
ซึ่งถ้าจะกระจายองค์มรรคทั้ง 8 ออกมาจริงๆ กลุ่มองค์ธรรมในโพธิปักขิยธรรมอยู่ในมรรค8 ทั้งสิ้นครับ
แต่ที่จะร่วมแลกเปลี่ยน ไม่ใช่เรื่องนี้หรอกครับ ที่จะร่วมแลกเปลี่ยนคือ...
สติปัฏฐาน4 ถ้าผมจะกล่าว ก็คือสัมมาสติในองค์มรรคนั่นเองครับ
ปฏิบัติกันเพื่ออะไร?
เพื่อรู้ถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริงของกายใจไงครับ ว่า
ไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่ประกอบกันขึ้น
เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เกิดเป็นสัมมาทิฏฐิแบบอนาสวะขึ้นมา
และขณะที่มีความเพียรในสัมมาสติ(สติปัฏฐาน)อยู่นั้น เป็นสัมมาวายามะ
เป็นอันว่า สัมมาทิฏฐิองค์เดียวเป็นประธาน(ด้วยสติปัฏฐาน4) คุณได้มรรคมาอีกสององค์ คือสัมมาวายามะ กับ สัมมาสติ
และเมื่อสติปัฏฐานเกิดเต็มที่ คุณได้มรรคเพิ่มมาอีกสององค์คือ สัมมาสังกัปปะ(วิตกในองค์ฌาน) กับ สัมมาสมาธิ
ซึ่งคราวนี้ ก็เหลือ องค์มรรคที่เป็นอริยศีลอีกสามองค์ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ซึ่งถ้า
เป็นในภาวะปรกติ องค์ธรรมสามองค์นี้เกิดได้ครั้งละองค์เท่านั้น ยามใดที่องค์ธรรมสามองค์นี้ประจวบลงพร้อมกัน
ไปรวมกับอีกห้าองค์แรก นั่นแหละครับ มรรคสมังคี
วิรตีธรรม (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ)
เกิดกับ
1.
มหากุศลจิต (วิรตี เกิดได้ทีละองค์ เพราะต้องมี
วิรมิตัพพวัตถุ เป็นอารมณ์) เป็นไปในกุศลขั้นศีล
วิรมิตัพพวัตถุ เป็นวัตถุเฉพาะหน้า เช่น แมลงหวี่มาตอมตายั่วโทสะ ก็ไม่ฆ่ามัน,มีบุคคลมาชี้หน้าด่า ไม่โต้ตอบ
2.
โลกุตรจิต (คือมัคคจิต ผลจิต เกิดพร้อมกันสามองค์เสมอ
มีพระนิพพาน เป็นอารมณ์) ทำกิจประหารกิเลส
วิรตีธรรม (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ)
ไม่เกิดกับ
๑. จิตพระอรหันต์
๒. จิตในฌาน
3. ปฏิสนธิจิต ภวังค์ จุติ และตทาลัมพณกิจ
ดังนั้น ขณะปฏิบัติธรรม การมีพระนิพพานเป็นอารมณ์จึงถูกต้องที่สุดครับ
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมี
อยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด
ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอ
ย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่ง
สังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด
ความดับ นิพพาน"
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=9041&Z=9145
กรุณาระลึกถึง "ธรรมคู่"
บุคคลย่อมไม่ทราบอารมณ์พระนิพพานว่าเป็นอย่างไร
จนกว่าจะเห็นไตรลักษณ์ของ จิต เจตสิก รูป
จนกว่าจะเห็นทุกข์และสาเหตุแห่งทุกข์ ที่มีที่มาจาก จิต เจตสิก และรูป (เห็นอริยสัจจน์บางข้อ)
ธรรมอันเป็นไปในอีกด้านหนึ่ง คือพระนิพพาน จึงจะเข้าใจได้และปรากฏครับ
เจริญในธรรมครับ.
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (วิรตีธรรม)
ปฐมสุริยูปมสูตร
[๑๗๒๐]ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่จะขึ้นก่อนสิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน
คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อนแห่งการตรัสรู้อริยสัจ
ตามความเป็นจริง คือ สัมมาทิฏฐิฉะนั้นเหมือนกัน อันภิกษุผู้มีความเห็นชอบ
พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริง
ว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
สัมมาทิฏฐิ เป็นประธานองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ทั้งปวง รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง
ด้วย ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ นี่เป็นสัมมาทิฏฐิแบบอนาสวะ
นี่แค่องค์มรรคข้อแรกนะครับ คุณเห็นองค์ธรรมในโพธิปักขิยธรรมอยู่ในมรรคข้อแรกนี้อะไรมั่ง
ซึ่งถ้าจะกระจายองค์มรรคทั้ง 8 ออกมาจริงๆ กลุ่มองค์ธรรมในโพธิปักขิยธรรมอยู่ในมรรค8 ทั้งสิ้นครับ
แต่ที่จะร่วมแลกเปลี่ยน ไม่ใช่เรื่องนี้หรอกครับ ที่จะร่วมแลกเปลี่ยนคือ...
สติปัฏฐาน4 ถ้าผมจะกล่าว ก็คือสัมมาสติในองค์มรรคนั่นเองครับ
ปฏิบัติกันเพื่ออะไร?
เพื่อรู้ถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริงของกายใจไงครับ ว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่ประกอบกันขึ้น
เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เกิดเป็นสัมมาทิฏฐิแบบอนาสวะขึ้นมา
และขณะที่มีความเพียรในสัมมาสติ(สติปัฏฐาน)อยู่นั้น เป็นสัมมาวายามะ
เป็นอันว่า สัมมาทิฏฐิองค์เดียวเป็นประธาน(ด้วยสติปัฏฐาน4) คุณได้มรรคมาอีกสององค์ คือสัมมาวายามะ กับ สัมมาสติ
และเมื่อสติปัฏฐานเกิดเต็มที่ คุณได้มรรคเพิ่มมาอีกสององค์คือ สัมมาสังกัปปะ(วิตกในองค์ฌาน) กับ สัมมาสมาธิ
ซึ่งคราวนี้ ก็เหลือ องค์มรรคที่เป็นอริยศีลอีกสามองค์ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ซึ่งถ้า
เป็นในภาวะปรกติ องค์ธรรมสามองค์นี้เกิดได้ครั้งละองค์เท่านั้น ยามใดที่องค์ธรรมสามองค์นี้ประจวบลงพร้อมกัน
ไปรวมกับอีกห้าองค์แรก นั่นแหละครับ มรรคสมังคี
วิรตีธรรม (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ)
เกิดกับ
1.มหากุศลจิต (วิรตี เกิดได้ทีละองค์ เพราะต้องมี วิรมิตัพพวัตถุ เป็นอารมณ์) เป็นไปในกุศลขั้นศีล
วิรมิตัพพวัตถุ เป็นวัตถุเฉพาะหน้า เช่น แมลงหวี่มาตอมตายั่วโทสะ ก็ไม่ฆ่ามัน,มีบุคคลมาชี้หน้าด่า ไม่โต้ตอบ
2.โลกุตรจิต (คือมัคคจิต ผลจิต เกิดพร้อมกันสามองค์เสมอ มีพระนิพพาน เป็นอารมณ์) ทำกิจประหารกิเลส
วิรตีธรรม (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ)
ไม่เกิดกับ
๑. จิตพระอรหันต์
๒. จิตในฌาน
3. ปฏิสนธิจิต ภวังค์ จุติ และตทาลัมพณกิจ
ดังนั้น ขณะปฏิบัติธรรม การมีพระนิพพานเป็นอารมณ์จึงถูกต้องที่สุดครับ
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมี
อยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด
ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอ
ย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่ง
สังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด
ความดับ นิพพาน"
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=9041&Z=9145
กรุณาระลึกถึง "ธรรมคู่"
บุคคลย่อมไม่ทราบอารมณ์พระนิพพานว่าเป็นอย่างไร
จนกว่าจะเห็นไตรลักษณ์ของ จิต เจตสิก รูป
จนกว่าจะเห็นทุกข์และสาเหตุแห่งทุกข์ ที่มีที่มาจาก จิต เจตสิก และรูป (เห็นอริยสัจจน์บางข้อ)
ธรรมอันเป็นไปในอีกด้านหนึ่ง คือพระนิพพาน จึงจะเข้าใจได้และปรากฏครับ
เจริญในธรรมครับ.