[รีวิว] 2 เดือนกับชีวิตเด็กทุนฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่น (internship program by JTECS/METI)
สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้เราก็อยากจะนำประสบการณ์ดี ๆ จากการฝึกงานในต่างประเทศมาแชร์ให้เพื่อนๆได้ฟังกัน ขอแนะนำตัวนะครับ ตอนนี้เราเรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (IB) ที่สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) ครับ ไม่ใช่ดินแดงนะ อิอิ ตอนนี้ก็ขึ้นปี 4 ละครับ

ก็ต้องขอเกริ่นก่อนว่าสาขา IB ของผมจะมีการฝึกงานเป็นระยะเวลา ประมาณ 2 เดือน เพื่อเป็นการฝึกให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์การทำงานจริงก่อนเรียนจบครับ ซึ่งปกตินักศึกษาส่วนมากก็เลือกฝึกงานกับบริษัทในประเทศไทยนี่แหละครับ แต่ที่พิเศษคือปีนี้สถาบันเขาเปิดโอกาสให้มีโครงการทุนฝึกงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสนับสนุนโดย Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) และ Japan-Thailand Economic Cooperation Society (JTECS) เป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือนครับ เราจะเรียกย่อๆกันว่าทุนฝึกงาน หรือทุนJTECS/METI ซึ่งเป็นทุนได้เปล่าเลยครับที่จะมอบให้แก่นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ ทุกสาขา เข้าใจว่ามีจำกัดจำนวนนะครับ แต่ไม่แน่ใจว่ากี่คน (ราว ๆ 10 กว่าคนมั้งครับ) หากผ่านการคัดเลือกก็จะได้รับการจับคู่บริษัท และได้เงินเยนมาก้อนนึงเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตในประเทศญี่ปุ่น ไม่ได้บอกจำนวนนะครับ เพราะกระทู้นี้ไม่ได้เน้นเรื่องเงิน แต่มันเป็นเงินก้อนที่พอที่จะใช้ชีวิตที่นั่นได้อย่างไม่ลำบากเลยล่ะ ยังไม่นับสวัสดิการหลาย ๆ อย่างที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ เช่น ที่พักฟรี ค่าน้ำ-ค่าไฟฟรี ซึ่งทำให้ชีวิตดีขึ้นไปอีก

(ต้นซากุระหลังบ.ที่มีแค่ต้นเดียว555 ก็จะดูญี่ปุ่นๆหน่อย)
ซึ่งเราก็ได้สมัครโครงการนี้และสอบผ่านในที่สุด ส่วนบริษัทที่จับคู่ได้ก็คือ บ.World Kogyo Co.,Ltd. ครับ เป็นบริษัททำประตูม้วนผ้าใบเปิด-ปิด อัตโนมัติ เป็นประตูที่นิยมใช้กันในโรงงานเท่านั้น ตอนที่รู้ครั้งแรกก็นึกแบบนี้เลย
“เห้ย ได้ไปอยู่โรงงานหรอวะ แล้วจะรอดมั้ยเนี่ย”
เพราะเราเรียนมาสายบริหาร ไม่ค่อยรู้เรื่องในโรงงาน กลัวไปหมด กลัวไปเอง ก็เลยคิดไปไกลว่าถ้าถูกจับไปอยู่ในโรงงานก็อาจจะไม่ได้ใช้สิ่งที่เรียนมาในการฝึกงาน กลัวไม่รู้เรื่อง กลัวเด๋อ เพราะแบบก็ไปอยู่ญี่ปุ่น ภาษาเราก็ไม่แข็งแรง พอพูดได้แค่ชีวิตประจำวัน ถ้าเจอศัพท์โรงงานหรือศัพท์เทคนิคคือตายแน่ๆ 555+ แต่เราก็ทำใจดีสู้เสือ พยายามทำการบ้าน เปิดเว็บบริษัทศึกษาดูว่าเค้าทำอะไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็จดคำศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวกับโรงงานไปเผื่อได้ใช้ ที่นี้ตัดภาพไปวันเดินทางเลยละกัน หลังจากเคลียร์เรื่องเอกสาร จัดกระเป๋าอะไรเสร็จแล้ว

credit :
http://www.worldkogyothai.com/index.php/th/2015-06-28-07-23-02/2015-06-28-07-23-25
วันแรกพอไปถึงญี่ปุ่นก็จะมีเจ้าหน้าที่จาก JTECS มารับครับ และจะพาพวกเราไปส่งตามบริษัทต่างๆ ในเที่ยวบินขาไปพวกเรามากัน 5 คนครับ ถูกจับแยกเมืองหมดเลย แต่เราโชคดีได้ฝึกงานกับเพื่อน เลยกลายเป็น 2 หน่อตะลุยด่านไปด้วยกัน วันแรกที่ไปบริษัท คนจาก JTECS ก็ได้เข้าไปคุยกับคนที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงเรา บอกรายละเอียดขอบเขตการฝึกงานของเรา และอธิบายต่างๆจนเสร็จพิธีแล้วเขาก็กลับไป
“หลังจากนี้แหละคือความท้าทาย”
----------------------------------------------------------------------------------------------------

(เพื่อนที่ฝึกงงานด้วยกัน)
เราได้เจอกับคุณคามาคุระ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงเรา คุณคามาคุระสามารถพูดอิ้งได้นิดหน่อย เราจึงรู้สึกโล่งอกที่ได้พี่เลี้ยงที่พูดอิ้งได้ จากนั้นพี่เลี้ยงก็พาเราไปชมบริษัท ชมโรงงาน พาไปแนะนำกับพนักงานทุกคน และจบด้วยการพากลับที่พักไปพักผ่อนและจัดของ จบวันแรกไปอย่างใสใสครับ ยังไม่มีอะไรน่ากลัว 555+

(คุณคามาคุระที่เป็นพี่เลี้ยงครับ)
พวกเรา 2 คน ได้นอนหอครับ อยู่ห้องเดียวกัน ซึ่งเป็นหอพักที่บริษัทหาไว้ให้ หอพักค่อนข้างอยู่ห่างจากบริษัท จึงต้องใช้เวลาในการเดินค่อนข้างนาน ประมาณ 20-30 นาทีได้ และรอบๆหอพักก็ไม่มีร้านอะไรเลย ย้ำ ไม่มีเลย มีแต่บ้าน บ้าน บ้าน แล้วก็บ้าน ตอนนั้นก็นึกในใจละ ขนาดเซเว่นยังไม่มี จะเอาชีวิตรอดไงเนี่ย แต่ด้วยความเหนื่อยก็เลยขอนอนพักก่อน แล้วค่อยไปปรึกษาพี่เลี้ยงเรื่องการใช้ชีวิตพรุ่งนี้

(สวนสาธารณะข้างหอครับ ไว้ไปเดินเล่นแก้เหงา)
พวกเราเริ่มงาน 8.00 ครับ และเลิกงาน 17.00 ดังนั้นจึงต้องตื่นเช้า (มาก!) เพื่อเดินเท้าไปบริษัท วันแรกที่ไปบริษัท พี่เลี้ยงได้ให้ยูนิฟอร์มมา ซึ่งเป็นเหมือนเสื้อช็อปวิศวะเลยครับ ในใจเราก็แบบ “เอาแล้ววว! แค่เครื่องแบบก็มีความโรงงานแล้ว จะรอดมั้ยๆๆ” 5555+ แต่ก็ไม่เป็นไรเราอุตส่าห์ได้ทุนมา ก็ต้องเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด คิดบวกครับๆๆ แต่ว่าผิดคาด เพราะว่าเราถูกบรรจุไปอยู่ในแผนก corporate planning ซึ่งมีพี่เลี้ยงเป็นหัวหน้าแผนก และงานส่วนใหญ่ก็คือรับผิดชอบเกี่ยวกับกระบวนการส่งออกสินค้าของบริษัท ประสานงานคนในบริษัท และวางแผน วางกลยุทธ์ให้กับบริษัท ตอนนั้น เราคิดในใจ
“โชคดีจัง ค่อยดูเป็นงานบริหารหน่อย อีกอย่างคือยังอยู่ในขอบเขตของสิ่งที่เรียนมาด้วย”

(ถึงเสื้อช็อปเราจะเปื้อนฝุ่น แต่ตัวเรากอดอุ่นนะ)
พี่เลี้ยงก็ให้เรารับผิดชอบ เรื่องการทำเอกสารเพื่อส่งออกสินค้านี่แหละ ง่าย ๆ ก็คือพวก Invoice, Packing list, Shipping instruction ครับ ถือเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ได้ทำงานตรงสายที่เรียนมา หลังจากนี้อุปสรรคก็มีแค่คันจิอย่างเดียว ซึ่งงานก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ แต่แรก ๆ เราก็จะงง ๆ หน่อย ยอมรับเลยว่ามีพลาดบ้างครับ เช่น ดูคันจิผิดบ้าง กรอกตัวเลขสายเรือผิดบ้าง กรอกจำนวนสินค้าผิดบ้าง เลยทำให้เราทราบจุดอ่อนของตัวเองว่ายังไม่แม่นยำเท่าที่ควร ต่อไปจะต้องพัฒนาตัวเองให้ได้ คนญี่ปุ่นเขาเรียกการประเมินตัวเองแบบนี้ว่า Hansei ครับ เพราะถ้าเราไม่ยอมรับจุดบกพร่องแล้วจะพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างไร จริงมั้ย ทำเป็นพูดดีไป จริง ๆ แล้วคือให้พี่เลี้ยงตรวจสอบทุกครั้งก่อนที่จะปริ้นออกมา และถูกนำไปส่งให้กับบริษัทขนส่งที่ทางบริษัทใช้บริการอยู่

(บอกตัวเองว่าสู้ๆทุกวันครับ เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ)
ที่พูดมาข้างบนก็คือจะเป็นงานหลักของเราที่ต้องทำ แต่งานเล็กงานน้อยเราก็อาสาทำหมดทุกอย่างเพราะไม่อยากได้ชื่อว่ามาเป็นภาระบริษัทเขา ก็จะมีกรอกข้อมูลลูกค้าลงคอมฯ ส่งแฟ็ก สแกนเอกสาร พิมพ์งานเป็นภาษาอังกฤษ ส่งอีเมลตอบลูกค้า ทำลายเอกสาร และแปลเอกสารจากภาษาญี่ปุ่น เป็นไทยและอังกฤษครับ อ้อ ลืมบอกไปว่าที่ต้องแปลเป็นไทยเพราะว่า มีบริษัทลูกอยู่ที่ประเทศไทยด้วยครับ

(ทำลายเอกสารใสใสครับ งานง่ายๆไม่ต้องคิด555)
------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนญี่ปุ่นค่อนข้างทำงานกันหนักและขยันครับ แต่เวลาเที่ยวเขาก็จัดเต็มเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุก ๆ วันศุกร์ หลังเลิกงานเสร็จทุกคนก็จะไปปาร์ตี้กัน ปาร์ตี้ในแบบฉบับญี่ปุ่นก็คือ การไปจองร้านอาหารแบบเป็นห้อง ๆ ห้องปิดนะครับ กินกันแบบส่วนตัวเลย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเน้นเป็นบุฟเฟต์เครื่องดื่ม ส่วนอาหารก็จะมาเป็นชุด ๆ ครับ แต่ไม่บุฟเฟต์แบบบ้านเรา คนญี่ปุ่นเน้นดื่มครับ แต่ละคนก็ดื่มกันเก่งมาก555 และแน่นอนทุกอย่าง “ ฟรี ! ” เพราะใช้งบบริษัท

(เวลาเมาก็จะพูดญี่ปุ่นเก่งขึ้น 20%ครับ 555)
ตอนที่ฝึกงานก็ไม่ได้อยู่แค่บริษัทอย่างเดียวนะครับ ทางบริษัทก็มีพาไปดูงานตามโรงงานหรือบริษัทต่างๆด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลย เพราะเป็นการเปิดหูเปิดตาที่ดีมากครับ ที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสไปดูโรงงาน Glico Pia East ครับ เป็นโรงงาน Pocky

ไปดูกระบวนการทำงานของ Pocky ว่ากว่าจะมาเป็นขนมให้เราทานต้องผ่านกระบวนอะไรมาบ้าง และก็ได้นั่งฟังประวัติของ Pocky ตั้งแต่ก็ตั้ง ถึงจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็เถอะ 555 จากนั้นก็ได้ไปลองทำ Pocky ในแบบฉบับของตนเองหรือ “Deco Pocky” นั้นเองครับ ค่อนข้างน่ารักมากๆเลย แถมชิ้นใหญ่ด้วย
ต่อมาเป็น Japan Airline ครับ จะได้เข้าโตเกียวสักที555 ตื่นเต้น แถมเป็นบริษัทที่ชื่นชอบด้วย ยิ่งดีใจไปอีก เราได้ไปดูงานที่สนามบินฮาเนดะครับ จากนั้นนั่งรถไฟฟ้าต่อไปอีก 1 สถานีเพื่อไปตรงสถานที่ดูงาน เราได้มารู้ที่หลังว่า สถานีที่ลง เป็นสถานที่สำหรับดูงานเฉพาะเลย ก็คือเชื่อมไปยังโรงงานโดยเฉพาะ คนญี่ปุ่นทุ่มเทมากครับ สำหรับการเรียนรู้ และยังเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดด้วย รู้สึกสนุกมาก ๆ เลยครับ แต่ละที่ที่ไปก็มีลักษณะแตกต่างกันด้วย ทำให้เห็นการทำงานของคนญี่ปุ่นในหลายรูปแบบ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ฝึกงานไป 2 เดือนก็รู้สึกว่า ทักษะภาษาญี่ปุ่นพัฒนาขึ้นนะครับ ฟังพี่เลี้ยงพูดรู้เรื่องมากขึ้น เริ่มตามความเร็วของคนญี่ปุ่นทัน รู้สึกดีใจมากๆเลย ที่ไม่งงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว 555 ก็ประมาณนี้แหละครับชีวิตการฝึกงานของเรา อาจจะเล่าไม่ค่อยเก่งนะครับ แต่มันเป็นความประทับใจที่อยากบันทึกไว้ ถ้าเขียนอะไรผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยครับ
[CR] [รีวิว] 2 เดือนกับชีวิตเด็กทุนฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่น (internship program by JTECS/METI)
สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้เราก็อยากจะนำประสบการณ์ดี ๆ จากการฝึกงานในต่างประเทศมาแชร์ให้เพื่อนๆได้ฟังกัน ขอแนะนำตัวนะครับ ตอนนี้เราเรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (IB) ที่สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) ครับ ไม่ใช่ดินแดงนะ อิอิ ตอนนี้ก็ขึ้นปี 4 ละครับ
ก็ต้องขอเกริ่นก่อนว่าสาขา IB ของผมจะมีการฝึกงานเป็นระยะเวลา ประมาณ 2 เดือน เพื่อเป็นการฝึกให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์การทำงานจริงก่อนเรียนจบครับ ซึ่งปกตินักศึกษาส่วนมากก็เลือกฝึกงานกับบริษัทในประเทศไทยนี่แหละครับ แต่ที่พิเศษคือปีนี้สถาบันเขาเปิดโอกาสให้มีโครงการทุนฝึกงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสนับสนุนโดย Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) และ Japan-Thailand Economic Cooperation Society (JTECS) เป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือนครับ เราจะเรียกย่อๆกันว่าทุนฝึกงาน หรือทุนJTECS/METI ซึ่งเป็นทุนได้เปล่าเลยครับที่จะมอบให้แก่นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ ทุกสาขา เข้าใจว่ามีจำกัดจำนวนนะครับ แต่ไม่แน่ใจว่ากี่คน (ราว ๆ 10 กว่าคนมั้งครับ) หากผ่านการคัดเลือกก็จะได้รับการจับคู่บริษัท และได้เงินเยนมาก้อนนึงเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตในประเทศญี่ปุ่น ไม่ได้บอกจำนวนนะครับ เพราะกระทู้นี้ไม่ได้เน้นเรื่องเงิน แต่มันเป็นเงินก้อนที่พอที่จะใช้ชีวิตที่นั่นได้อย่างไม่ลำบากเลยล่ะ ยังไม่นับสวัสดิการหลาย ๆ อย่างที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ เช่น ที่พักฟรี ค่าน้ำ-ค่าไฟฟรี ซึ่งทำให้ชีวิตดีขึ้นไปอีก
ซึ่งเราก็ได้สมัครโครงการนี้และสอบผ่านในที่สุด ส่วนบริษัทที่จับคู่ได้ก็คือ บ.World Kogyo Co.,Ltd. ครับ เป็นบริษัททำประตูม้วนผ้าใบเปิด-ปิด อัตโนมัติ เป็นประตูที่นิยมใช้กันในโรงงานเท่านั้น ตอนที่รู้ครั้งแรกก็นึกแบบนี้เลย
“เห้ย ได้ไปอยู่โรงงานหรอวะ แล้วจะรอดมั้ยเนี่ย”
เพราะเราเรียนมาสายบริหาร ไม่ค่อยรู้เรื่องในโรงงาน กลัวไปหมด กลัวไปเอง ก็เลยคิดไปไกลว่าถ้าถูกจับไปอยู่ในโรงงานก็อาจจะไม่ได้ใช้สิ่งที่เรียนมาในการฝึกงาน กลัวไม่รู้เรื่อง กลัวเด๋อ เพราะแบบก็ไปอยู่ญี่ปุ่น ภาษาเราก็ไม่แข็งแรง พอพูดได้แค่ชีวิตประจำวัน ถ้าเจอศัพท์โรงงานหรือศัพท์เทคนิคคือตายแน่ๆ 555+ แต่เราก็ทำใจดีสู้เสือ พยายามทำการบ้าน เปิดเว็บบริษัทศึกษาดูว่าเค้าทำอะไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็จดคำศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวกับโรงงานไปเผื่อได้ใช้ ที่นี้ตัดภาพไปวันเดินทางเลยละกัน หลังจากเคลียร์เรื่องเอกสาร จัดกระเป๋าอะไรเสร็จแล้ว
credit : http://www.worldkogyothai.com/index.php/th/2015-06-28-07-23-02/2015-06-28-07-23-25
วันแรกพอไปถึงญี่ปุ่นก็จะมีเจ้าหน้าที่จาก JTECS มารับครับ และจะพาพวกเราไปส่งตามบริษัทต่างๆ ในเที่ยวบินขาไปพวกเรามากัน 5 คนครับ ถูกจับแยกเมืองหมดเลย แต่เราโชคดีได้ฝึกงานกับเพื่อน เลยกลายเป็น 2 หน่อตะลุยด่านไปด้วยกัน วันแรกที่ไปบริษัท คนจาก JTECS ก็ได้เข้าไปคุยกับคนที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงเรา บอกรายละเอียดขอบเขตการฝึกงานของเรา และอธิบายต่างๆจนเสร็จพิธีแล้วเขาก็กลับไป
“หลังจากนี้แหละคือความท้าทาย”
----------------------------------------------------------------------------------------------------
เราได้เจอกับคุณคามาคุระ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงเรา คุณคามาคุระสามารถพูดอิ้งได้นิดหน่อย เราจึงรู้สึกโล่งอกที่ได้พี่เลี้ยงที่พูดอิ้งได้ จากนั้นพี่เลี้ยงก็พาเราไปชมบริษัท ชมโรงงาน พาไปแนะนำกับพนักงานทุกคน และจบด้วยการพากลับที่พักไปพักผ่อนและจัดของ จบวันแรกไปอย่างใสใสครับ ยังไม่มีอะไรน่ากลัว 555+
พวกเรา 2 คน ได้นอนหอครับ อยู่ห้องเดียวกัน ซึ่งเป็นหอพักที่บริษัทหาไว้ให้ หอพักค่อนข้างอยู่ห่างจากบริษัท จึงต้องใช้เวลาในการเดินค่อนข้างนาน ประมาณ 20-30 นาทีได้ และรอบๆหอพักก็ไม่มีร้านอะไรเลย ย้ำ ไม่มีเลย มีแต่บ้าน บ้าน บ้าน แล้วก็บ้าน ตอนนั้นก็นึกในใจละ ขนาดเซเว่นยังไม่มี จะเอาชีวิตรอดไงเนี่ย แต่ด้วยความเหนื่อยก็เลยขอนอนพักก่อน แล้วค่อยไปปรึกษาพี่เลี้ยงเรื่องการใช้ชีวิตพรุ่งนี้
พวกเราเริ่มงาน 8.00 ครับ และเลิกงาน 17.00 ดังนั้นจึงต้องตื่นเช้า (มาก!) เพื่อเดินเท้าไปบริษัท วันแรกที่ไปบริษัท พี่เลี้ยงได้ให้ยูนิฟอร์มมา ซึ่งเป็นเหมือนเสื้อช็อปวิศวะเลยครับ ในใจเราก็แบบ “เอาแล้ววว! แค่เครื่องแบบก็มีความโรงงานแล้ว จะรอดมั้ยๆๆ” 5555+ แต่ก็ไม่เป็นไรเราอุตส่าห์ได้ทุนมา ก็ต้องเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด คิดบวกครับๆๆ แต่ว่าผิดคาด เพราะว่าเราถูกบรรจุไปอยู่ในแผนก corporate planning ซึ่งมีพี่เลี้ยงเป็นหัวหน้าแผนก และงานส่วนใหญ่ก็คือรับผิดชอบเกี่ยวกับกระบวนการส่งออกสินค้าของบริษัท ประสานงานคนในบริษัท และวางแผน วางกลยุทธ์ให้กับบริษัท ตอนนั้น เราคิดในใจ
“โชคดีจัง ค่อยดูเป็นงานบริหารหน่อย อีกอย่างคือยังอยู่ในขอบเขตของสิ่งที่เรียนมาด้วย”
พี่เลี้ยงก็ให้เรารับผิดชอบ เรื่องการทำเอกสารเพื่อส่งออกสินค้านี่แหละ ง่าย ๆ ก็คือพวก Invoice, Packing list, Shipping instruction ครับ ถือเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ได้ทำงานตรงสายที่เรียนมา หลังจากนี้อุปสรรคก็มีแค่คันจิอย่างเดียว ซึ่งงานก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ แต่แรก ๆ เราก็จะงง ๆ หน่อย ยอมรับเลยว่ามีพลาดบ้างครับ เช่น ดูคันจิผิดบ้าง กรอกตัวเลขสายเรือผิดบ้าง กรอกจำนวนสินค้าผิดบ้าง เลยทำให้เราทราบจุดอ่อนของตัวเองว่ายังไม่แม่นยำเท่าที่ควร ต่อไปจะต้องพัฒนาตัวเองให้ได้ คนญี่ปุ่นเขาเรียกการประเมินตัวเองแบบนี้ว่า Hansei ครับ เพราะถ้าเราไม่ยอมรับจุดบกพร่องแล้วจะพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างไร จริงมั้ย ทำเป็นพูดดีไป จริง ๆ แล้วคือให้พี่เลี้ยงตรวจสอบทุกครั้งก่อนที่จะปริ้นออกมา และถูกนำไปส่งให้กับบริษัทขนส่งที่ทางบริษัทใช้บริการอยู่
(บอกตัวเองว่าสู้ๆทุกวันครับ เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ)
ที่พูดมาข้างบนก็คือจะเป็นงานหลักของเราที่ต้องทำ แต่งานเล็กงานน้อยเราก็อาสาทำหมดทุกอย่างเพราะไม่อยากได้ชื่อว่ามาเป็นภาระบริษัทเขา ก็จะมีกรอกข้อมูลลูกค้าลงคอมฯ ส่งแฟ็ก สแกนเอกสาร พิมพ์งานเป็นภาษาอังกฤษ ส่งอีเมลตอบลูกค้า ทำลายเอกสาร และแปลเอกสารจากภาษาญี่ปุ่น เป็นไทยและอังกฤษครับ อ้อ ลืมบอกไปว่าที่ต้องแปลเป็นไทยเพราะว่า มีบริษัทลูกอยู่ที่ประเทศไทยด้วยครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนญี่ปุ่นค่อนข้างทำงานกันหนักและขยันครับ แต่เวลาเที่ยวเขาก็จัดเต็มเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุก ๆ วันศุกร์ หลังเลิกงานเสร็จทุกคนก็จะไปปาร์ตี้กัน ปาร์ตี้ในแบบฉบับญี่ปุ่นก็คือ การไปจองร้านอาหารแบบเป็นห้อง ๆ ห้องปิดนะครับ กินกันแบบส่วนตัวเลย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเน้นเป็นบุฟเฟต์เครื่องดื่ม ส่วนอาหารก็จะมาเป็นชุด ๆ ครับ แต่ไม่บุฟเฟต์แบบบ้านเรา คนญี่ปุ่นเน้นดื่มครับ แต่ละคนก็ดื่มกันเก่งมาก555 และแน่นอนทุกอย่าง “ ฟรี ! ” เพราะใช้งบบริษัท
ตอนที่ฝึกงานก็ไม่ได้อยู่แค่บริษัทอย่างเดียวนะครับ ทางบริษัทก็มีพาไปดูงานตามโรงงานหรือบริษัทต่างๆด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลย เพราะเป็นการเปิดหูเปิดตาที่ดีมากครับ ที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสไปดูโรงงาน Glico Pia East ครับ เป็นโรงงาน Pocky
ไปดูกระบวนการทำงานของ Pocky ว่ากว่าจะมาเป็นขนมให้เราทานต้องผ่านกระบวนอะไรมาบ้าง และก็ได้นั่งฟังประวัติของ Pocky ตั้งแต่ก็ตั้ง ถึงจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็เถอะ 555 จากนั้นก็ได้ไปลองทำ Pocky ในแบบฉบับของตนเองหรือ “Deco Pocky” นั้นเองครับ ค่อนข้างน่ารักมากๆเลย แถมชิ้นใหญ่ด้วย
ต่อมาเป็น Japan Airline ครับ จะได้เข้าโตเกียวสักที555 ตื่นเต้น แถมเป็นบริษัทที่ชื่นชอบด้วย ยิ่งดีใจไปอีก เราได้ไปดูงานที่สนามบินฮาเนดะครับ จากนั้นนั่งรถไฟฟ้าต่อไปอีก 1 สถานีเพื่อไปตรงสถานที่ดูงาน เราได้มารู้ที่หลังว่า สถานีที่ลง เป็นสถานที่สำหรับดูงานเฉพาะเลย ก็คือเชื่อมไปยังโรงงานโดยเฉพาะ คนญี่ปุ่นทุ่มเทมากครับ สำหรับการเรียนรู้ และยังเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดด้วย รู้สึกสนุกมาก ๆ เลยครับ แต่ละที่ที่ไปก็มีลักษณะแตกต่างกันด้วย ทำให้เห็นการทำงานของคนญี่ปุ่นในหลายรูปแบบ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ฝึกงานไป 2 เดือนก็รู้สึกว่า ทักษะภาษาญี่ปุ่นพัฒนาขึ้นนะครับ ฟังพี่เลี้ยงพูดรู้เรื่องมากขึ้น เริ่มตามความเร็วของคนญี่ปุ่นทัน รู้สึกดีใจมากๆเลย ที่ไม่งงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว 555 ก็ประมาณนี้แหละครับชีวิตการฝึกงานของเรา อาจจะเล่าไม่ค่อยเก่งนะครับ แต่มันเป็นความประทับใจที่อยากบันทึกไว้ ถ้าเขียนอะไรผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยครับ