โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย “ประยุทธ์” สั่งกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ทำโครงสร้างและแผนใช้จ่ายงบใหม่ใน 1 สัปดาห์ ชี้ ปัญหางบขาดความเชื่อมโยง เน้นจ่ายมากกว่าผลสำเร็จนโยบาย พร้อมเพิ่มใช้จ่ายระดับภาค ให้สอดคล้องแผนพัฒนา จ่อใช้ ม.44 เร่งรัด
วันนี้ (10 มิ.ย.) พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ให้ไปจัดทำโครงสร้างและกลไกการทำงาน รวมทั้งแนวทางแก้ไขกฎหมายและระเบียบในการบริหารแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งในระดับชาติ ภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด และอำเภอใหม่ทั้งหมดภายใน 1 สัปดาห์ จากนั้นจะจัดทำรายละเอียดข้อเสนอแผนงาน โครงการ หลักเกณฑ์ และวิธีบริหารงบประมาณที่มีความสอดคล้องกันในทุกระดับต่อไป
“นายกฯ เน้นย้ำว่า ที่ผ่านมา กระบวนการงบประมาณมีปัญหา คือ ขาดความเชื่อมโยงในการวางแผนทุกระดับ เน้นการใช้จ่ายมากกว่ามุ่งผลสำเร็จของงาน ขาดความสอดคล้องกันระหว่างแผนการปฏิบัติกับการจัดสรรงบประมาณ จึงจำเป็นต้องปรับระบบใหม่ เพื่อให้งบประมาณเป็นเครื่องมือการบริหารที่เน้นความสำเร็จของนโยบาย รวดเร็ว โปร่งใส และให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรม” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีกำหนดให้เพิ่มเติมแผนการใช้จ่ายระดับภาค จากเดิมที่มีเพียงระดับกลุ่มจังหวัดและจังหวัดเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนา 6 ภาค ที่ครอบคลุม 18 กลุ่มจังหวัด และจะต้องบริหารงบประมาณโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างจังหวัด การจัดสรรให้เพียงพอต่อความจำเป็น และการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยการเชื่อมโยงการขนส่ง การค้า การท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดและภาค
“รัฐบาลพร้อมใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อเร่งรัดให้การดำเนินการนี้รวดเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งนายกฯ เน้นว่า การจัดสรรงบประมาณจะต้องบูรณาการรวมทุกมิติ ทั้งนโยบายหรือยุทธศาสตร์เฉพาะด้าน (Agenda Based) ภารกิจของส่วนราชการ (Functional Based) และการพัฒนาภาค กลุ่มจังหวัดจังหวัด (Area Based) พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 12 และฉบับต่อๆ ไปด้วย” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การปฏิรูประบบงบประมาณความสำคัญที่ถูกลืม
ประชาชนทุกประเทศในโลกมุ่งหวังที่จะให้รัฐบาลใช้งบประมาณอันเป็นเงินที่เรียกเก็บมาจากประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษี ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยให้ความสำคัญในการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า ประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนเจ้าของเงินงบประมาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดอยู่เสมอและบ่อยครั้งมากในรายการคืนความสุขให้กับประชาชน แต่จากการที่ จขทก.ได้อ่านกระทู้และความเห็นของประชาชนและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ(ส่วนราชการ/องค์กรที่ได้รับงบประมาณในการผลิตหรือให้บริการประชาชน) ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานของรัฐใน PANTIP พบว่ามีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานภาครัฐเมื่อมีกระทู้ที่ถูกประชาชนต่อว่าว่าใช้งบประมาณไม่เป็นประโยชน์ ไม่ประหยัด ฟุ่มเฟือยมักจะเข้ามาให้ความเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องใช้งบประมาณให้มากที่สุดเพื่อว่าในการของบประมาณปีต่อไปจะได้ไม่ถูกปรับลดงบประมาณอันเนื่องมาจากถ้าใช้จ่ายงบประมาณได้น้อยจะถูกปรับลดงบประมาณของปีต่อไป และระบุผลดีของการใช้งบประมาณจะช่วยขับเคลื่อนเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจทรงตัวหรือขยายตัวได้ ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีความเข้าใจว่าการใช้งบประมาณอย่าง ไม่มีประสิทธิผล ไม่มีประสิทธิภาพที่จะก่อเกิดประโยชน์ให้กับประชาชนแต่ใช้จ่ายงบประมาณเพียงเพื่อหน่วยงานมีโอกาสได้รับงบประมาณเท่าเดิมหรือสูงมากขึ้นเป็นสิ่งที่ทำถูกต้องแล้วถือได้ว่าเป็นความล้มเหลวของระบบงบประมาณของประเทศไทย
ในปัจจุบันประเทศไทยระบุว่าใช้ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์อันเป็นระบบงบประมาณที่ให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานหรือผลงานหรือที่กล่าวกันว่า “หน่วยงานต้องนำผลงานมาแลกกับงบประมาณ” ทั้งนี้ ตามแนวทางกำหนดให้ใช้ผลงานของหน่วยงานเป็นองค์ประกอบสูงสุดในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อควบคุม กำกับ และกระตุ้นให้หน่วยงานสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ผลงานสูงขึ้นจึงจะได้รับงบประมาณไปดำเนินงานตามภารกิจมากขึ้นและหน่วยงานที่ผลงานต่ำ ใช้จ่ายงบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่าจะต้องถูกปรับลดงบประมาณลง โดยมีกลไกที่สำคัญ คือ การสร้างหรือกำหนดตัวชี้วัดผลงานที่ถูกต้องเหมาะสมและท้าทายความสามารถของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละภารกิจเพื่อใช้เป็นเกณฑ์วัดหลักในการพิจารณางบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การปฏิรูปงบประมาณที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 กลับไม่สามารถสร้างกลไกในการวัดผลงานของหน่วยงานของรัฐได้อย่างถูกต้องเหมาะสมจนแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการพิจารณางบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ ทั้ง ๆ ที่ ในคู่มือการจัดทำคำของบประมาณได้ระบุหลักเกณฑ์และวิธีการในการสร้างหรือกำหนดตัวชี้วัดไว้โดยเมื่อจัดทำตัวชี้วัดแล้วก็จะแสดงไว้ในเอกสารประกอบ พรบ.งบประมาณประจำปี ทั้งนี้ ตัวชี้วัดหลักที่ใช้วัดผลงานของหน่วยงานสำนักงบประมาณกำหนดไว้ คือ “เป้าหมายการให้บริการของหน่วยงาน” เป็นตัวชี้วัดในระดับผลลัพธ์ที่มุ่งให้ความสำคัญของประโยชน์ที่กลุ่มเป้าหมายได้รับจากผลผลิตหรือบริการที่หน่วยงานจัดทำหรือให้บริการ ซึ่งตัวชี้วัด จะต้องแสดงมิติทั้ง ปริมาณ คุณภาพ เวลา ค่าใช้จ่ายและพื้นที่ดำเนินการ ตัวชี้วัดที่ดีจะต้องอยู่ในลักษณะที่ท้าทายความสามารถ และที่สำคัญ คือ มีอำนาจการจำแนกที่วัดแล้วสามารถแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างผลงานที่ดีและไม่ดีเพื่อใช้ประโยชน์ในการพิจารณาผลงานของหน่วยงานนั้นมาประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ
แต่เมื่อมาศึกษาตัวชี้วัดที่ปรากฎในเอกสารประกอบ พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 จะพบว่าตัวชี้วัดที่ปรากฏในเอกสารประกอบ พรบ.งบประมาณ ส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้เป็นหลักในการพิจารณางบประมาณได้ เช่น ของสำนักงบประมาณ กำหนดตัวชี้วัดเป้าหมายการให้บริการของหน่วยงาน ตัวชี้วัดที่1 เชิงปริมาณ “ร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 1 ฉบับ ” ตัวชี้วัดที่ 2 เชิงคุณภาพ “รัฐสภาเห็นชอบร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 1 ฉบับ” เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่าตัวชี้วัดที่ไม่สามารถจำแนกผลงานของหน่วยงานว่ามีผลงานที่ดีหรือไม่ดี เพราะในทุก ๆ ปี ก็จะต้องมีร่าง พรบ.งบประมาณ 1 ฉบับอยู่แล้ว และอย่างไรก็ตามรัฐสภาก็ต้องมีการให้ความเห็นชอบพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 1 ฉบับ ตัวชี้วัดดังกล่าวจึงเป็นตัวชี้วัดที่ไม่มีความหมายไม่จำเป็นต้องวัด การกำหนดตัวชี้วัดในลักษณะเช่นนี้จึงกลายเป็นเพียงกำหนดไว้ให้มีครบตามองค์ประกอบที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานต้องระบุตัวชี้วัดเป้าหมายการให้บริการของหน่วยงานเพื่อแสดงไว้ในเอกสารประกอบ พรบ.งบประมาณเพียงเท่านั้น ซึ่งในหลาย ๆ หน่วยงานภาครัฐก็กำหนดตัวชี้วัดผลงานในลักษณะที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เมื่อไม่สามารถสร้างกลไกในการวัดผลงานที่ถูกต้องเหมาะสมการใช้จ่ายงบประมาณจึงกลายมาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐอันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะกลายเป็นการสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐที่มุ่งใช้จ่ายงบประมาณให้มากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงอรรถประโยชน์ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการใช้จ่ายงบประมาณกลับเป็นหน่วยงานที่มีโอกาสได้รับงบประมาณมากกว่าหน่วยงานที่พยายามใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัดและคุ้มค่าเนื่องจากไม่มีตัวชี้วัดผลงานของหน่วยงานที่เหมาะสมในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ สภาพการณ์เช่นนี้จึงสร้างความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่สะท้อนให้เห็นได้ชัดจากความเห็นของบุคคลากรภาครัฐในกระทู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องบประมาณส่วนใหญ่จะให้เหตุผลที่จะต้องใช้จ่ายงบประมาณให้มากที่สุดเพื่อจะให้ได้รับงบประมาณในปีต่อไปให้ได้เท่าเดิมหรือมากเพิ่มขึ้น และยิ่งความเห็นเหล่านี้ไม่มีการทำความเข้าใจให้ถูกต้องระบบงบประมาณของไทยก็จะกลายเป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นการใช้จ่ายงบประมาณแทนระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน การบริหารงานภาครัฐก็จะสูญเสียประสิทธิภาพส่งผลต่อประชาชนที่ต้องใช้ผลผลิตและบริการของภาครัฐที่ควรจะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเต็มที่
เรื่องเหล่านี้จึงจำเป็นที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบงบประมาณจะต้องให้ความสำคัญในการปฏิรูประบบงบประมาณโดยการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับบุคลากรภาครัฐในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ และพัฒนากลไกในการตรวจวัดผลงานของหน่วยงานภาครัฐเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณางบประมาณให้กับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ความสำคัญของผลงานไม่ใช้การใช้จ่ายงบประมาณซึ่งสภาพการณ์ในขณะนี้เปรียบเสมือนการขับรถผิดเส้นทางจำเป็นที่จะต้องเลี้ยวกลับหรือหาทางย้อนกลับเส้นทางที่ถูกต้อง และหากปล่อยให้ขับไปในลักษณะนี้ยิ่งนานไปก็จะยิ่งผิดเส้นทางไปไกลและยิ่งจะต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการพารถกลับเข้ามาสู่เส้นทางที่ถูกต้องและความสูญเสียเหล่านี้จะเป็นภาระต่อต้นทุนในการบริหารประเทศที่นับวันจะเพิ่มสูงขึ้นโดยใช่เหตุ
นายกฯ สั่ง ก.น.จ.โละแผนใช้งบให้ทำใหม่ 1 สัปดาห์ ชี้ปมเน้นจ่ายมากกว่าผล จ่อใช้ ม.44 เร่ง
วันนี้ (10 มิ.ย.) พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ให้ไปจัดทำโครงสร้างและกลไกการทำงาน รวมทั้งแนวทางแก้ไขกฎหมายและระเบียบในการบริหารแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งในระดับชาติ ภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด และอำเภอใหม่ทั้งหมดภายใน 1 สัปดาห์ จากนั้นจะจัดทำรายละเอียดข้อเสนอแผนงาน โครงการ หลักเกณฑ์ และวิธีบริหารงบประมาณที่มีความสอดคล้องกันในทุกระดับต่อไป
“นายกฯ เน้นย้ำว่า ที่ผ่านมา กระบวนการงบประมาณมีปัญหา คือ ขาดความเชื่อมโยงในการวางแผนทุกระดับ เน้นการใช้จ่ายมากกว่ามุ่งผลสำเร็จของงาน ขาดความสอดคล้องกันระหว่างแผนการปฏิบัติกับการจัดสรรงบประมาณ จึงจำเป็นต้องปรับระบบใหม่ เพื่อให้งบประมาณเป็นเครื่องมือการบริหารที่เน้นความสำเร็จของนโยบาย รวดเร็ว โปร่งใส และให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรม” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีกำหนดให้เพิ่มเติมแผนการใช้จ่ายระดับภาค จากเดิมที่มีเพียงระดับกลุ่มจังหวัดและจังหวัดเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนา 6 ภาค ที่ครอบคลุม 18 กลุ่มจังหวัด และจะต้องบริหารงบประมาณโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างจังหวัด การจัดสรรให้เพียงพอต่อความจำเป็น และการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยการเชื่อมโยงการขนส่ง การค้า การท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดและภาค
“รัฐบาลพร้อมใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อเร่งรัดให้การดำเนินการนี้รวดเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งนายกฯ เน้นว่า การจัดสรรงบประมาณจะต้องบูรณาการรวมทุกมิติ ทั้งนโยบายหรือยุทธศาสตร์เฉพาะด้าน (Agenda Based) ภารกิจของส่วนราชการ (Functional Based) และการพัฒนาภาค กลุ่มจังหวัดจังหวัด (Area Based) พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 12 และฉบับต่อๆ ไปด้วย” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การปฏิรูประบบงบประมาณความสำคัญที่ถูกลืม
ประชาชนทุกประเทศในโลกมุ่งหวังที่จะให้รัฐบาลใช้งบประมาณอันเป็นเงินที่เรียกเก็บมาจากประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษี ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยให้ความสำคัญในการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า ประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนเจ้าของเงินงบประมาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดอยู่เสมอและบ่อยครั้งมากในรายการคืนความสุขให้กับประชาชน แต่จากการที่ จขทก.ได้อ่านกระทู้และความเห็นของประชาชนและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ(ส่วนราชการ/องค์กรที่ได้รับงบประมาณในการผลิตหรือให้บริการประชาชน) ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานของรัฐใน PANTIP พบว่ามีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานภาครัฐเมื่อมีกระทู้ที่ถูกประชาชนต่อว่าว่าใช้งบประมาณไม่เป็นประโยชน์ ไม่ประหยัด ฟุ่มเฟือยมักจะเข้ามาให้ความเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องใช้งบประมาณให้มากที่สุดเพื่อว่าในการของบประมาณปีต่อไปจะได้ไม่ถูกปรับลดงบประมาณอันเนื่องมาจากถ้าใช้จ่ายงบประมาณได้น้อยจะถูกปรับลดงบประมาณของปีต่อไป และระบุผลดีของการใช้งบประมาณจะช่วยขับเคลื่อนเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจทรงตัวหรือขยายตัวได้ ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีความเข้าใจว่าการใช้งบประมาณอย่าง ไม่มีประสิทธิผล ไม่มีประสิทธิภาพที่จะก่อเกิดประโยชน์ให้กับประชาชนแต่ใช้จ่ายงบประมาณเพียงเพื่อหน่วยงานมีโอกาสได้รับงบประมาณเท่าเดิมหรือสูงมากขึ้นเป็นสิ่งที่ทำถูกต้องแล้วถือได้ว่าเป็นความล้มเหลวของระบบงบประมาณของประเทศไทย
ในปัจจุบันประเทศไทยระบุว่าใช้ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์อันเป็นระบบงบประมาณที่ให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานหรือผลงานหรือที่กล่าวกันว่า “หน่วยงานต้องนำผลงานมาแลกกับงบประมาณ” ทั้งนี้ ตามแนวทางกำหนดให้ใช้ผลงานของหน่วยงานเป็นองค์ประกอบสูงสุดในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อควบคุม กำกับ และกระตุ้นให้หน่วยงานสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ผลงานสูงขึ้นจึงจะได้รับงบประมาณไปดำเนินงานตามภารกิจมากขึ้นและหน่วยงานที่ผลงานต่ำ ใช้จ่ายงบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่าจะต้องถูกปรับลดงบประมาณลง โดยมีกลไกที่สำคัญ คือ การสร้างหรือกำหนดตัวชี้วัดผลงานที่ถูกต้องเหมาะสมและท้าทายความสามารถของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละภารกิจเพื่อใช้เป็นเกณฑ์วัดหลักในการพิจารณางบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การปฏิรูปงบประมาณที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 กลับไม่สามารถสร้างกลไกในการวัดผลงานของหน่วยงานของรัฐได้อย่างถูกต้องเหมาะสมจนแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการพิจารณางบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ ทั้ง ๆ ที่ ในคู่มือการจัดทำคำของบประมาณได้ระบุหลักเกณฑ์และวิธีการในการสร้างหรือกำหนดตัวชี้วัดไว้โดยเมื่อจัดทำตัวชี้วัดแล้วก็จะแสดงไว้ในเอกสารประกอบ พรบ.งบประมาณประจำปี ทั้งนี้ ตัวชี้วัดหลักที่ใช้วัดผลงานของหน่วยงานสำนักงบประมาณกำหนดไว้ คือ “เป้าหมายการให้บริการของหน่วยงาน” เป็นตัวชี้วัดในระดับผลลัพธ์ที่มุ่งให้ความสำคัญของประโยชน์ที่กลุ่มเป้าหมายได้รับจากผลผลิตหรือบริการที่หน่วยงานจัดทำหรือให้บริการ ซึ่งตัวชี้วัด จะต้องแสดงมิติทั้ง ปริมาณ คุณภาพ เวลา ค่าใช้จ่ายและพื้นที่ดำเนินการ ตัวชี้วัดที่ดีจะต้องอยู่ในลักษณะที่ท้าทายความสามารถ และที่สำคัญ คือ มีอำนาจการจำแนกที่วัดแล้วสามารถแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างผลงานที่ดีและไม่ดีเพื่อใช้ประโยชน์ในการพิจารณาผลงานของหน่วยงานนั้นมาประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ
แต่เมื่อมาศึกษาตัวชี้วัดที่ปรากฎในเอกสารประกอบ พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 จะพบว่าตัวชี้วัดที่ปรากฏในเอกสารประกอบ พรบ.งบประมาณ ส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้เป็นหลักในการพิจารณางบประมาณได้ เช่น ของสำนักงบประมาณ กำหนดตัวชี้วัดเป้าหมายการให้บริการของหน่วยงาน ตัวชี้วัดที่1 เชิงปริมาณ “ร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 1 ฉบับ ” ตัวชี้วัดที่ 2 เชิงคุณภาพ “รัฐสภาเห็นชอบร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 1 ฉบับ” เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่าตัวชี้วัดที่ไม่สามารถจำแนกผลงานของหน่วยงานว่ามีผลงานที่ดีหรือไม่ดี เพราะในทุก ๆ ปี ก็จะต้องมีร่าง พรบ.งบประมาณ 1 ฉบับอยู่แล้ว และอย่างไรก็ตามรัฐสภาก็ต้องมีการให้ความเห็นชอบพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 1 ฉบับ ตัวชี้วัดดังกล่าวจึงเป็นตัวชี้วัดที่ไม่มีความหมายไม่จำเป็นต้องวัด การกำหนดตัวชี้วัดในลักษณะเช่นนี้จึงกลายเป็นเพียงกำหนดไว้ให้มีครบตามองค์ประกอบที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานต้องระบุตัวชี้วัดเป้าหมายการให้บริการของหน่วยงานเพื่อแสดงไว้ในเอกสารประกอบ พรบ.งบประมาณเพียงเท่านั้น ซึ่งในหลาย ๆ หน่วยงานภาครัฐก็กำหนดตัวชี้วัดผลงานในลักษณะที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เมื่อไม่สามารถสร้างกลไกในการวัดผลงานที่ถูกต้องเหมาะสมการใช้จ่ายงบประมาณจึงกลายมาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐอันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะกลายเป็นการสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐที่มุ่งใช้จ่ายงบประมาณให้มากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงอรรถประโยชน์ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการใช้จ่ายงบประมาณกลับเป็นหน่วยงานที่มีโอกาสได้รับงบประมาณมากกว่าหน่วยงานที่พยายามใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัดและคุ้มค่าเนื่องจากไม่มีตัวชี้วัดผลงานของหน่วยงานที่เหมาะสมในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ สภาพการณ์เช่นนี้จึงสร้างความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่สะท้อนให้เห็นได้ชัดจากความเห็นของบุคคลากรภาครัฐในกระทู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องบประมาณส่วนใหญ่จะให้เหตุผลที่จะต้องใช้จ่ายงบประมาณให้มากที่สุดเพื่อจะให้ได้รับงบประมาณในปีต่อไปให้ได้เท่าเดิมหรือมากเพิ่มขึ้น และยิ่งความเห็นเหล่านี้ไม่มีการทำความเข้าใจให้ถูกต้องระบบงบประมาณของไทยก็จะกลายเป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นการใช้จ่ายงบประมาณแทนระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน การบริหารงานภาครัฐก็จะสูญเสียประสิทธิภาพส่งผลต่อประชาชนที่ต้องใช้ผลผลิตและบริการของภาครัฐที่ควรจะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเต็มที่
เรื่องเหล่านี้จึงจำเป็นที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบงบประมาณจะต้องให้ความสำคัญในการปฏิรูประบบงบประมาณโดยการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับบุคลากรภาครัฐในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ และพัฒนากลไกในการตรวจวัดผลงานของหน่วยงานภาครัฐเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณางบประมาณให้กับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ความสำคัญของผลงานไม่ใช้การใช้จ่ายงบประมาณซึ่งสภาพการณ์ในขณะนี้เปรียบเสมือนการขับรถผิดเส้นทางจำเป็นที่จะต้องเลี้ยวกลับหรือหาทางย้อนกลับเส้นทางที่ถูกต้อง และหากปล่อยให้ขับไปในลักษณะนี้ยิ่งนานไปก็จะยิ่งผิดเส้นทางไปไกลและยิ่งจะต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการพารถกลับเข้ามาสู่เส้นทางที่ถูกต้องและความสูญเสียเหล่านี้จะเป็นภาระต่อต้นทุนในการบริหารประเทศที่นับวันจะเพิ่มสูงขึ้นโดยใช่เหตุ