[CR] เที่ยวเมืองกรุงฯ 1 วันด้วยเงิน 300 บาท กับ 3 วิถีชีวิตริมน้ำ



          สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวบลูแพลนเน็ต เมื่อกระทู้ที่แล้วเราได้เอาวิธีการกรอก e-Tourist visa ประเทศอินเดียมาฝาก >> https://pantip.com/topic/36523887 แล้วก็ทิ้งท้ายไว้ว่ากระทู้หน้าจะมาเล่าประสบการณ์เที่ยว เลห์ ลาดัคให้ได้อ่านกัน แต่ช่วงนี้ จขกท.ยังไม่มีเวลา เลยขอมาเล่าการ "เที่ยวเมืองกรุงฯ 1 วันด้วยเงิน 300 บาท กับ 3 วิถีชีวิตริมน้ำ" ให้ได้อ่านก่อน ซึ่งรีวิวนี้เป็นการรีวิวครั้งแรกของเรากับเพื่อนๆเมื่อตอนเรียนมหาลัย ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะคะ^^
                              

                                                               “วันเดียว เที่ยวกทม. ไปไหนดีวะแก?”

        นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นของพวกเราทีม  “กลมกลิ้ง”  นิสิตหญิง 3 คน ผู้อ่อนต่อโลก(หรอ?) ที่ได้รับภารกิจจากโครงการ “CU Creative Travel” ให้เราไปเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในกรุงเทพฯและปริมณฑล

พวกเราตัดสินใจกันอยู่นาน สุดท้ายได้คำตอบว่าเราจะไป “ชุมชนวัดกุฎีจีน-ตลาดน้ำตลิ่งชัน-บ้านศิลปินคลองบางหลวง” คำถามต่อมาคือ ไปถูกมั้ย? ตอบเลยว่าไม่! เราจึงได้คอนเสปในการท่องเที่ยวของเราครั้งนี้ นั่นก็คือ “แผนที่ไม่ต้องกาง เพราะทางอยู่ที่ปาก”



       เช้าวันเสาร์ พวกเรานัดเจอกันตั้งแต่เช้า เช้ามากกกก ขึ้นรถเมล์สาย 40 ที่สยาม นั่งไปซักพัก ก็เกิดคำถามแรกของวันคือ “แล้วมันต้องลงตรงไหนวะแก” 555 พวกเราเลยเริ่มทำตามคอนเซป “ทางอยู่ที่ปาก” กับป้ากระเป๋ารถเมล์เป็นคนแรก ป้าก็ใจดีมาก บอกเราอย่างละเอียดยิบ แต่พวกเราจำได้แค่ว่า “พอรถข้ามฝั่งธนฯ ก็ลงป้ายแรกเลยนะลูก”

พอลงรถเมล์ป้ายแรกตามที่ป้าบอก เราก็ข้ามสะพานลอยมาที่โรงเรียนศึกษานารี เดินเลียบไปกับสะพานพระปกเกล้า พอเจอวัดประยูร ก็เดินเข้าไปในซอยเล็กๆ จนเจอโรงเรียนซางตาครู้สศึกษา แล้วก็เลี้ยวเข้าซอยข้างๆโรงเรียนอีกทีก็จะเจอกับโบสถ์ซางตาครู้ส


สิ่งแรกที่สัมผัสได้เมื่อถึงโบสถ์คือ ความเงียบ... คือทั้งโบสถ์มีแค่พวกเราจริงๆ เช้าขนาดนี้คนอื่นคงนอนกันอยู่ เราเลยเดินถ่ายรูปเก็บภาพชิลๆ เพลินๆ

ภายในโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยกระจกสี


จากนั้นพวกเราก็หาจุดหมายแรกของเราคือชุมชนวัดกุฎีจีน ทางเข้าซอยอยู่ข้างๆ โบสถ์เลย มีป้ายบอกทางชัดเจนไม่ต้องกลัวหลง  เข้าซอยกุฎีจีน 3

พอเดินเข้ามาในซอยก็งงอีกครั้ง ไม่รู้ไปไงต่อแต่เราก็ไปเจอร้านขนมชื่อ ‘ร้านป้าอำพรรณ’ ขายขนมฝรั่งกุฎีจีนซึ่งเป็น rare item ของที่นี่เลยก็ว่าได้ นอกจากขนมฝรั่งฯ ก็ยังมีขนมกุดสลัง ขนมก๋วยตั๊ด ที่เป็นความ unique ของกุฎีจีน คนในร้านบอกว่าเป็นขนมวัฒนธรรมโปรตุเกส เราก็เก็บข้อมูลกันไป แต่ก็ไม่ได้ซื้อมาชิม 555

ลัดเลาะชุมชนกุฎีจีน

แล้วเราก็เดินกันต่อแบบงงๆ คืองงจริงๆ ไม่รู้จะเดินไปไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ยืนอยู่เนี่ยคือที่ไหน แต่ไปสะดุดตาที่ประตูสีเขียว สวยๆ ที่เปิดแง้มๆ อยู่ เราก็ไม่รีรอค่ะ รีบเดินเข้าไปส่องตาม

สัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็น ส่องเข้าไปก็เห็นคุณป้าคนนึงยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ และป้าก็หันมาสบตาพวกเรา ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเด็กทำผิดแล้วโดนจับได้ หนูไม่ใช่ขโมยนะคะ แค่ส่องดูเฉยๆ 5555

ป้าคงเห็นหน้าแบ๊วๆ งงๆ ของพวกเรา เลยเดินมาถาม แล้วก็ชวนเราเข้าไปข้างใน ป้าบอกว่าป้าเป็นเจ้าของ พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน ที่กำลังตกแต่งรอเปิดให้ชมเดือนมิถุนาปี59(เราไปตอนเดือนมีนาฯ59) แต่ป้าให้เราเป็นแขกคนแรกๆ ที่ได้เยี่ยมชมเเบบ exclusive นะเหวยยย กรี๊ด ป้าขรา ขอกอดสิบที><

ด้านหน้า ทางเข้าพิพิธภัณฑ์

ชั้นแรกจะเป็นคาเฟ่เล็กๆ ดูทันสมัย แต่พอขึ้นไปชั้นบนกลายเป็นบรรยากาศแบบโบราณ คุณป้าเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยเฉพาะสมัยพระเจ้าตากสินมอบที่ดินชุมชนกุฎีจีน จนเกิดเป็นวิถีชีวิตของกุฎีจีนจนทุกวันนี้ ภายในมีห้องแสดงหัวเรือเนาจำลอง ห้องเเสดงวิถีชีวิตของคนในชุมชน และเรือนแพจำลองของหลวงอัคนีนฤมิตร ซึ่งเป็นช่างถ่ายรูปคนเเรกในไทย
    
หัวเรือเนาจำลอง

ที่ที่พวกเราประทับใจคือบ้านที่จำลองจากเรือนแพของหลวงอัคนีนฤมิตร เพราะให้ความรู้สึกเป็นชาวสยามดั้งเดิม


แล้วคุณป้าก็พาเราเดินมาชมวิวที่ดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์ วิวสวยมาก เห็นวิวชุมชนกุฎีจีนรอบๆ และแม่น้ำเจ้าพระยา คุณป้านำเสนอจุดชมวิวนี้มาก บอกว่าตอนปีใหม่ให้ขึ้นมาดูพลุบนนี้ จะเห็นฉากหลังเป็นวัดอรุณ บอกเลยว่าวิวหลักล้าน ป้าคอนเฟิร์ม!

พวกเราประทับใจคุณป้ามาก คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่เราได้รับฟังเรื่องราวจากคนในท้องถิ่น มันมากกว่าการเดินชมพิพิธภัณฑ์ มากกว่าการไปเที่ยวถ่ายรูปแล้วก็กลับ แต่คือการได้เข้าไปพูดคุยกับคนในชุมชน ที่เราจะได้สัมผัสวิถีชีวิตและเรื่องราวที่หาฟังไม่ได้จากที่อื่น นี่สินะ เสน่ห์ของคำว่า “การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์” พวกเราได้ร่ำลาคุณป้า แล้วไม่ลืมที่จะบอกว่า “พวกเราจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน”

สำหรับใครที่สนใจสามารถเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์และพูดคุยกับคุณป้าได้ หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://baankudichinmuseum.com/ อ้อ! ไม่มีค่าเข้าชมด้วยนะ ยิ้ม


       หลังจากนั้นพวกเราได้มุ่งหน้าไป “ร้านธนูสิงห์” อันเลื่องชื่อของชุมชนนี้
ร้านนี้เป็น 1 ใน 3 บ้านที่ยังคงทำขนมฝรั่งกุฎีจีนซึ่งเป็นขนมประจำชุมชนนี้ขายอยู่ เราเข้าไปสวนทางกับ “พี่โป้ง” ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน สืบทอดการทำขนมนี้เป็นรุ่นที่ 5 แล้ว พี่โป้งให้ข้อมูลว่า “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” เป็นขนมโบราณกว่า 200 ปี ที่มีต้นตำรับมาจากชาวโปรตุเกสที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนกุฎีจีนเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา วัตถุดิบในการทำ คือมีแป้ง ไข่ และน้ำตาล เพียงแค่ 3 อย่างนี้ตีให้ส่วนผสมเข้ากันจนขึ้นฟู โรยด้วยลูกเกด ลูกพลับ ฟักเชื่อม และน้ำตาลทราย แล้วนำไปเทใส่แม่พิมพ์แล้วอบจนขนมสุก พวกเราก็ไม่พลาดสั่งขนมมาชิม พร้อมนั่งชิลๆ กับบรรยากาศสบายๆ ในร้าน

ร้านธนูสิงห์ จุด Check-in ของชุมชนกุฎีจีน

ขนมฝรั่งกุฎีจีน...ใครไปอย่าลืมแวะไปชิมน้าาา


ย่านนี้เป็น 3 ชุมชน 3 ศาสนา(พุทธ คริสต์ อิสลาม) ที่อยู่ติดกัน เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าสูชุมชนศาสนาพุทธ ซึ่งมีศาลเกียนอันกงตั้งอยู่ ภายในศาลไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป พวกเราจึงถ่ายมาได้แต่บรรยากาศข้างนอก ซึ่งให้ความรู้สึกสงบเเละขลังๆ จากนั้นพวกเราก็แวะไหว้พระที่วัดกัลยาณมิตร ก่อนจะข้ามฟากไปท่าเรืออัษฎางค์เพื่อต่อเรือด่วนไปศิริราช เราข้ามฟากโดยใช้เรือข้ามฟากหน้าวัดกัลยาได้เลย ท่าเรือข้ามฟากจะอยู่ข้างๆ ทางชุมชนที่เราเดินผ่านมา

ศาลเจ้าแม่กวนอิมหรือศาลเกียนอันเกง

ไหว้พระ ที่วัดกัลยาณมิตร

ท่าเรือข้ามฟาก จะอยู่ใกล้ๆกับท่าเรือวัดกัลยาฯ

เรามารอเรือด่วนที่ท่ายอดพิมานเพื่อไปตลาดน้ำตลิ่งชัน การขึ้นเรือก็จะมีเรือธงฟ้ากับธงส้ม แต่เรือธงฟ้าจะเเพงกว่าเพราะเป็นเรือนักท่องเที่ยว เราต้องไปทางนนทบุรี สังเกตง่ายๆ คือเรือจะวิ่งต่อไปวัดอรุณ แล้วลงที่ท่ารถไฟหรือท่าโรงพยาบาลศิริราช



พอลงเรือแล้วเดินออกมาก็จะเจอท่ารถสองเเถวเลย จะมีป้ายเขียนอยู่ว่าให้ยืนรอตรงไหน เเต่รถไม่ได้ไปตลาดน้ำทุกคัน ต้องถามพี่คนขับก่อนว่าไปมั้ย ถ้าไปก็ขึ้นได้เลยจ้า

พอมาถึงตลาดน้ำตลิ่งชัน พวกเราก็รีบไปจองเรือก่อนเดี๋ยวไม่ทัน เพราะเรือที่จะไปบ้านศิลปินมีลำเดียวและรอบเดียวเท่านั้น

ข้อมูลเรือเที่ยวก็จะมี 4 แบบ
1. ชั่วโมงเดียวเที่ยวรอบเกาะ 60 บาท                                                                                                                                  2. เที่ยววัดเกาะ สวนกล้วยไม้ 2-3 ชั่วโมง 99 บาท                                                                                                                   
3. เที่ยวบ้านศิลปิน 2-3 ชั่วโมง 99 บาท มีรอบ 13.30 รอบเดียว ซึ่งต้องโทรเช็คกับบ้านศิลปินก่อนว่าวันนั้นมีรอบเเสดงมั้ย                                                                                                                                   4. วันเดียวเที่ยว 3 ตลาด 99 บาท มีรอบ 9.30 รอบเดียว จึงควรมาก่อนเวลาเพื่อจองตั๋วไปเที่ยวด้วยนะคะ

ในตลาดน้ำของกินเยอะมาก บรรยากาศก็เหมือนตลาดน้ำทั่วไปๆ พวกเราเดินชิมขนมไปหลายร้าน พออิ่มท้องเราก็ไปขึ้นเรือตามเวลา พี่คนขับเรือเเว้นมาก น้ำนี่กระเด็นเป็น super splash เลย ไกด์ในเรือก็พูดสร้างบรรยากาศสนุกสนานตลอดทาง มีร้องเพลงให้ผู้โดยสารฟังด้วย บันเทิงมาก 555
สองข้างทางระหว่างนั่งเรือไปคลองบางหลวง

      และเราก็มาถึงบ้านศิลปินคลองบางหลวง แลนมาร์กสุดท้ายของพวกเรา ที่นี่จะเป็นชุมชนที่ยังอนุรักษ์วิถีชีวิตริมน้ำ มีร้านขายของ ขนม อาหาร และก็บ้านศิลปินที่ยังสืบสานหุ่นละครเล็กไว้อยู่ ปกติเค้าจะมีการเเสดง 2 ชุด แต่วันนี้พวกเราโชคดีเพราะมีการแสดง 3 ชุดจ้า มีการแสดงเงาะป่า หนุมานปะทะมัจฉานุ และปิดท้ายด้วยหุ่นละครเล็กไมเคิล แจคสัน




หุ่นละครเล็กต้องใช้คนเชิด 3 คน คนนึงบังคับหัวกับมือข้างซ้าย คนกลางบังคับเท้า ส่วนอีกคนบังคับมือขวาของหุ่น ดูแล้วก็เพลินดี ตอนพี่ๆ เค้าเชิด พวกเราก็พลิ้วไปตามหุ่น


โดยรวมการแสดงสนุก สร้างรอยยิ้มให้คนดูได้ดีมาก พวกเราประทับใจการแสดงชุดไมเคิล แจคสัน มาก รู้สึกว่าเอามาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้ดีมาก

ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ แต่ทำให้เด็กรุ่นใหม่อย่างพวกเราเข้าถึงวัฒนธรรมหลายอย่างมากขึ้น พวกเราเคยรู้สึกว่าการท่องเที่ยว คือการไปสถานที่ที่วิวสวยหรู มีทะเล มีภูเขา หรือการไปต่างประเทศ แต่ทริปนี้ทำให้เรารู้ว่าการท่องเที่ยว คือ “การออกเดินทาง ไปในที่ที่เราไม่รู้จัก” การไปสัมผัสวัฒนธรรมและเรื่องราวที่เราไม่เคยรู้มาก่อน : ) หวังว่าจะชอบกันนะคะ



สุดท้ายฝากติดตาม เป็นกำลังใจ เพจ'ไปทั่วไปทีป' https://www.facebook.com/Everywherewewander/ เพจที่จะพาออกเที่ยวไปทั่วในแบบมั่วๆของพวกเรา3คนด้วยนะคะ กระทู้หน้ารับรองว่าจะพาไปเที่ยว 'เลห์ ลาดัค' แน่นอนค่าา
ชื่อสินค้า:   เที่ยวกทม
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่