.
ผมเพ่งมองป้ายหน้ารถสองแถวอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าป้ายระบุปลายที่เป็นสถานที่เดียวกับที่ผมจะไป ผมก็กวักมือเรียกรถให้จอด และรีบกุลีกุจอวิ่งขึ้นไปหาที่นั่ง ใกล้ๆ ท้ายรถ มีสาวสวยคนหนึ่งขยับที่ให้ผมนั่ง ผมไม่กล้ามองหน้าเธอตรงๆ แต่ก็พอจะสรุปได้ว่า หน้าตาของเธอสวยระดับนางแบบเลยทีเดียว
ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ จิตของผมก็เริ่มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตที่ล้มเหลว ตกงาน ต้องพึ่งเงินคนอื่นใช้ มันช่างดูไร้ศักดิ์ศรีเสียจริงๆ แต่จะคิดมากไปก็เท่านั้น ช่วงเวลาที่ตกงานนี่แหละ ควรมาพัฒนาแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองดีกว่า ข้อเสียหลักใหญ่ๆ ของผมก็คือ เรื่องสมาธิสั้น ชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไร้สาระ บางทีก็คิดเรื่องเครียด ก็ยิ่งทำให้ชีวิตหดหู่เข้าไปใหญ่ วิธีแก้อาจจะต้องฝึกสมาธิให้มากขึ้น ผมเริ่มตั้งสติ มองสิ่งรอบตัว ผมจะต้องหาอะไรมายึดจิตให้นิ่ง
ดอกหญ้าล่องลอยตามแรงลม เมื่อมันลอยเข้ามาในรถสองแถว ก็เคลื่อนที่อย่างไร้ทิศทาง ไม่แปลกเลยที่แถวนี้จะมีดอกหญ้าลอยฟุ้งไปทั่ว แม้ว่าจะมีตึกแถวแออัดยัดเยียด เพราะลึกๆ เข้าไปหลังตึกแถวเหล่านั้นเป็นที่รกร้าง มีต้นกก ต้นธูปฤาษีขึ้นเต็มไปหมด ผมเริ่มฝึกสมาธิด้วยการจ้องมองการเคลื่อนที่ของเจ้าดอกหญ้า พยายามเอามือกวักลมให้มันลอยขึ้น แต่คงทำแบบนี้ได้ไม่นาน เจ้าดอกหญ้าคงมิอาจต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกได้ หากไม่มีแรงลมที่มากพอช่วย จิตของผมเริ่มหลุดจากสมาธิ และจินตนาการให้มันลอยขึ้นไป คงเป็นเหตุบังเอิญ ที่อยู่ๆ มันก็ลอยขึ้นไปตามที่จิตผมจินตนาการ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะแรงลม แต่ลมอะไรมันจะพัดตามใจเราไปเสียทุกครั้ง น่าแปลกจริงๆ
ข้อเสียของผมอีกข้อ ก็คือความขี้อาย ไม่ค่อยกล้าทำอะไร เมื่อสาวสวยที่นั่งข้างผมกดออดให้รถจอด ผมก็เริ่มจะคิดอะไรแปลกๆ ได้ สาวสวยคนนั้นลงจากรถ ผมสะกดรอยตามเธอไปทันที เมื่อถึงหอพักของเธอ ผมก็ส่งเสียงทักทายแนะนำตัว แต่ดูเธอจะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ พูดตอกหน้าผมมาว่า หน้าตาฐานะอย่างผม ไม่มีวันจะได้แอ้มเธอหรอก นอกจากจะเอาสอยดาวจากท้องฟ้ามาให้เธอได้ คำพูดของเธอทำลายความคิดโลกสวยของผมไปทันใด สุดท้ายผมมันก็แค่คนไร้ค่าจริงๆ จะพัฒนาตัวเองไป ก็คงไม่ได้ผล คนอื่นก็ยังดูถูกอยู่ดี ผมนั่งซึมอยู่ตรงนั้นจนดึกดื่น ความรู้สึกมึนไปหมด อารมณ์ตอนนั้นคงเหมือนกับไอ้ไข่ย้อยในภาพยนตร์เรื่องเพื่อนสนิท ตอนที่ถูกดากานดาพูดประโยคเด็ด แต่แล้วเมื่อแหงนมองไปบนท้องฟ้า ผมก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ …
---------------------------------------------------------------------------------
เสียงระเบิดลูกใหญ่ดังสนั่น ทำให้ผมตกใจตื่น หลังจากกลับมาจากหอพักของสาวคนนั้น ความเหนื่อยอ่อนทำให้ผมหลับไปพักใหญ่ ผมลุกออกไปที่ระเบียงหลังห้อง ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ เปิดดูข่าวในทีวี ถึงได้รู้ว่า เกิดเหตุอุกกาบาตพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ตกลงที่หอพักแห่งหนึ่ง มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคน ชื่อ น.ส. เปรี้ยว ศพถูกตัดขาดสองท่อน ภาพหน้าตาของผู้เสียชีวิต ผมเห็นแล้วถึงกับอึ้ง
ผมนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้นกับตัวผม ผมจ้องมองไปยังแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ห่างจากตัวผมประมาณสองสามเมตร แล้วยื่นมือออกไปแล้วทำมือคล้ายๆ จะคว้าแก้วน้ำ และแล้วแก้วน้ำก็เกิดอาการสั่น และลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ
เพล้ง !!! แก้วตกลงกับพื้น เศษแก้วแตกกระจาย มีบางอย่างรบกวนสมาธิของผม หมอกสีขาวค่อยๆ ก่อตัวกลายเป็นรูปร่างของหญิงสาว ผมนึกออกแล้ว หญิงสาวคนนั้นนั่นเอง คนที่ผมตามไปจีบเธอจนถึงหอพัก ความเงียบถูกรบกวนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่แว่วลอยมากับสายลม
”หมดเวรหมดกรรมกันเสียทีนะแอ๋ม กลับมาเป็นเพื่อนรักกันเหมือนเดิมเถอะนะ”
อยากเก็บดาวทั้งฟ้ามาให้เธอ
ผมเพ่งมองป้ายหน้ารถสองแถวอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าป้ายระบุปลายที่เป็นสถานที่เดียวกับที่ผมจะไป ผมก็กวักมือเรียกรถให้จอด และรีบกุลีกุจอวิ่งขึ้นไปหาที่นั่ง ใกล้ๆ ท้ายรถ มีสาวสวยคนหนึ่งขยับที่ให้ผมนั่ง ผมไม่กล้ามองหน้าเธอตรงๆ แต่ก็พอจะสรุปได้ว่า หน้าตาของเธอสวยระดับนางแบบเลยทีเดียว
ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ จิตของผมก็เริ่มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตที่ล้มเหลว ตกงาน ต้องพึ่งเงินคนอื่นใช้ มันช่างดูไร้ศักดิ์ศรีเสียจริงๆ แต่จะคิดมากไปก็เท่านั้น ช่วงเวลาที่ตกงานนี่แหละ ควรมาพัฒนาแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองดีกว่า ข้อเสียหลักใหญ่ๆ ของผมก็คือ เรื่องสมาธิสั้น ชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไร้สาระ บางทีก็คิดเรื่องเครียด ก็ยิ่งทำให้ชีวิตหดหู่เข้าไปใหญ่ วิธีแก้อาจจะต้องฝึกสมาธิให้มากขึ้น ผมเริ่มตั้งสติ มองสิ่งรอบตัว ผมจะต้องหาอะไรมายึดจิตให้นิ่ง
ดอกหญ้าล่องลอยตามแรงลม เมื่อมันลอยเข้ามาในรถสองแถว ก็เคลื่อนที่อย่างไร้ทิศทาง ไม่แปลกเลยที่แถวนี้จะมีดอกหญ้าลอยฟุ้งไปทั่ว แม้ว่าจะมีตึกแถวแออัดยัดเยียด เพราะลึกๆ เข้าไปหลังตึกแถวเหล่านั้นเป็นที่รกร้าง มีต้นกก ต้นธูปฤาษีขึ้นเต็มไปหมด ผมเริ่มฝึกสมาธิด้วยการจ้องมองการเคลื่อนที่ของเจ้าดอกหญ้า พยายามเอามือกวักลมให้มันลอยขึ้น แต่คงทำแบบนี้ได้ไม่นาน เจ้าดอกหญ้าคงมิอาจต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกได้ หากไม่มีแรงลมที่มากพอช่วย จิตของผมเริ่มหลุดจากสมาธิ และจินตนาการให้มันลอยขึ้นไป คงเป็นเหตุบังเอิญ ที่อยู่ๆ มันก็ลอยขึ้นไปตามที่จิตผมจินตนาการ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะแรงลม แต่ลมอะไรมันจะพัดตามใจเราไปเสียทุกครั้ง น่าแปลกจริงๆ
ข้อเสียของผมอีกข้อ ก็คือความขี้อาย ไม่ค่อยกล้าทำอะไร เมื่อสาวสวยที่นั่งข้างผมกดออดให้รถจอด ผมก็เริ่มจะคิดอะไรแปลกๆ ได้ สาวสวยคนนั้นลงจากรถ ผมสะกดรอยตามเธอไปทันที เมื่อถึงหอพักของเธอ ผมก็ส่งเสียงทักทายแนะนำตัว แต่ดูเธอจะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ พูดตอกหน้าผมมาว่า หน้าตาฐานะอย่างผม ไม่มีวันจะได้แอ้มเธอหรอก นอกจากจะเอาสอยดาวจากท้องฟ้ามาให้เธอได้ คำพูดของเธอทำลายความคิดโลกสวยของผมไปทันใด สุดท้ายผมมันก็แค่คนไร้ค่าจริงๆ จะพัฒนาตัวเองไป ก็คงไม่ได้ผล คนอื่นก็ยังดูถูกอยู่ดี ผมนั่งซึมอยู่ตรงนั้นจนดึกดื่น ความรู้สึกมึนไปหมด อารมณ์ตอนนั้นคงเหมือนกับไอ้ไข่ย้อยในภาพยนตร์เรื่องเพื่อนสนิท ตอนที่ถูกดากานดาพูดประโยคเด็ด แต่แล้วเมื่อแหงนมองไปบนท้องฟ้า ผมก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ …
---------------------------------------------------------------------------------
เสียงระเบิดลูกใหญ่ดังสนั่น ทำให้ผมตกใจตื่น หลังจากกลับมาจากหอพักของสาวคนนั้น ความเหนื่อยอ่อนทำให้ผมหลับไปพักใหญ่ ผมลุกออกไปที่ระเบียงหลังห้อง ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ เปิดดูข่าวในทีวี ถึงได้รู้ว่า เกิดเหตุอุกกาบาตพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ตกลงที่หอพักแห่งหนึ่ง มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคน ชื่อ น.ส. เปรี้ยว ศพถูกตัดขาดสองท่อน ภาพหน้าตาของผู้เสียชีวิต ผมเห็นแล้วถึงกับอึ้ง
ผมนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้นกับตัวผม ผมจ้องมองไปยังแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ห่างจากตัวผมประมาณสองสามเมตร แล้วยื่นมือออกไปแล้วทำมือคล้ายๆ จะคว้าแก้วน้ำ และแล้วแก้วน้ำก็เกิดอาการสั่น และลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ
เพล้ง !!! แก้วตกลงกับพื้น เศษแก้วแตกกระจาย มีบางอย่างรบกวนสมาธิของผม หมอกสีขาวค่อยๆ ก่อตัวกลายเป็นรูปร่างของหญิงสาว ผมนึกออกแล้ว หญิงสาวคนนั้นนั่นเอง คนที่ผมตามไปจีบเธอจนถึงหอพัก ความเงียบถูกรบกวนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่แว่วลอยมากับสายลม
”หมดเวรหมดกรรมกันเสียทีนะแอ๋ม กลับมาเป็นเพื่อนรักกันเหมือนเดิมเถอะนะ”