คิดว่าโหดไปมั้ยคะกับเบี้ยปรับ และการยึดทรัพย์ของ กยศ. (เหมือนขูดเลือดกับปูเลยนะคะ)

ขอเกริ่นนิดนึงก่อนนะคะว่า
เราได้กู้เงิน กยศ มาตั้งแต่สมัยเรียน ป. ตรี เป็นปีแรกๆที่เริ่มมีเงินกู้นี้
พอเราจบมาทำงานที่ กทม. เริ่มต้นที่ 7,000 บาท
สมัย 20 กว่าปีที่แล้ว เงินเดือนไม่สูง แต่ค่าครองชีพก็ไม่ต่างกับสมัยนี้มากนัก
ค่าเช่าที่พัก ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทางไปทำงาน ค่ากินอยู่ หักลบแล้วเหลือนิดหน่อย พอให้คุณแม่บ้างบางโอกาสช่วงเทศกาล
เราทำงานได้สามปีกว่าๆ คุณยายที่ช่วยเลี้ยงดูเรามาไม่สบาย เข้าออกไอซียูบ่อยๆ
และไม่มีคนดูแล เพราะคนอื่นๆก็ติดภาระกิจและต้องดูแลครอบครัวตัวเอง
น้าเราเลยบอกว่าจะรวบรวมเงินพี่น้องช่วยกันจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าดูแลคุณยายเรา
แต่ค่าจ้างพยาบาลหรือคนอื่นๆที่จะมาดูแลก็แพงมาก พวกเค้าเห็นเราเพิ่งจบและทำงานได้ไม่นาน เลยถามเราว่าช่วยอยู่ดูแลคุณยายได้มั้ย
เราเคยอยู่กับยายมาตั้งแต่เล็กๆ ปิดเทอมเราก็จะไปนอนบ้านคุณยาย เลยค่อนข้างสนิทกับคุณยายและเราทำงานอยู่ กทม ก็เหลือเงินไม่เท่าไร
เราเลยตอบตกลง
แต่อธิบายนิดนึงนะคะว่า ค่าดูแลคุณยายเรา เค้าไม่ได้ให้เป็นกอบเป็นกำ เพราะคุณยายเราต้องไป รพ เพื่อเช็คสุขภาพเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายตรงนั้นพวกญาติก็ช่วยกันจ่าย ส่วนเงินที่ให้เราคือ แค่พอมีซื้อกินซื้อกินซื้อใช้ มาซื้ออาหารมาทำให้ยายให้ยายเราบ้าง เราก็กินในกระบวนนั้นเลยไม่เดือดร้อน

พอผ่านไปประมาณสองปีคุณยายเราก็เสีย เราก็เริ่มกลับมาทำงาน กทม แต่ทำไม่ถึงปีมีหมายศาลไปที่บ้าน คุณพ่อเราเป็นคนไปเจรจาไกล่เกลี่ย
ดอกเบี้ยปรับจาก 1% เป็น 20% และเบี้ยปรับอีกบานตะไท แต่เราก็ต้องตกลงจ่ายเดือนละ 1,666.60 บาทเป็นเวลา 9 ปี

แรกๆเราก็จ่ายไปตามปรกติ พยายามเก็บๆให้พอจ่ายทุกเดือน แต่มันติดตรงที่ว่า คุณแม่เราเข้า รพ ทุกๆ สามเดือน หลังเริ่มเข้าถี่ขึ้น เป็นแทบจะทุกเดือน ด้วยอาการใจสั่น เวียนหัว หายใจไม่ออก และมักจะเป็นตอนกลางคืน คุณพ่อเราต้องพา รพ กลางดึกตลอด พอตอนสายอีกวันดีขึ้นหมอก็ให้กลับบ้าน บางครั้งก็อยู่ไอซียูเป็นอาทิตย์ แต่กี่ครั้งก็วินิฉัยไม่เจอโรคอะไรหนักมาก เพราะแม่เราเป็น เบาหวาน ความดัน เหมือนคนสูงอายุทั่วไป แต่ทุกครั้งก็จะมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่ายาและพ่อต้องหยุดงานเฝ้าแม่
เป็นแบบนี้เป็นปีที่วนเวียนเข้าออก รพ เราก็เลยต้องช่วยค่าใช้จ่ายคุณพ่อบ้างในบางครั้ง จนทำให้เราไม่สามารถจ่าย กยศ ได้ครบทุกเดือน
พอเราไปจ่ายใหม่ เราถามพนักงานว่า เหลือเท่าไรแล้ว จากที่เคยจ่ายมา เค้าแจงให้ดู คือที่จ่ายๆมา ไปหักแค่ดอกเบี้ยเท่านั้นเอง เงินต้นไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ธนาคารแจ้งว่าอยากลดเบี้ยปรับกับเงินต้นเร็วๆก็ให้โปะทีละเยอะๆเลย เราเลยบอกว่ามีเรื่องอื่นที่ต้องจ่ายอีกคงทำไม่ได้ค่ะ
ปีต่อมา  คุณแม่เราเป็นถี่กว่าเดิม รพ ประจำแม่เราเลยส่งตัวให้ไปที่ รพ ศูนย์ประจำจังหวัด ปรากฏว่า อาจารย์หมอตรวจเจอเส้นเลือดหัวใจตีบ ต้องฉีดสีตรวจอีกที
ทาง รพ ทำบอลลูนให้แม่ ระหว่างนี้เราก็ช่วยค่าใช้จ่ายพ่อเรื่อยๆ เพราะคุณพ่อต้องคอยเฝ้าแม่ช่วงพักฟื้น เราก็จะขาดส่ง กยศ ไปอีกบางช่วง
อีกปีถัดมา คุณแม่เราก็เป็นเหมือนเดิม คุณหมอเลยทำบอลลูนอีกเส้นให้แม่เรา ก็เหมือนเดิม เราก็ขาดๆส่งๆ กยศ อีก
ถัดมาอีกปี ก็ยังเป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำบอลลูนเส้นสุดท้ายไปอีกเหมือนเดิม เราก็ช่วยค่าใช้จ่ายที่บ้านเหมือนเดิม
จากที่คุณแม่เราทำบอลลูนมาแล้วสามเส้น ก็ไม่ใช่จะดีขึ้น ก็มีบางช่วงที่ต้องไป รพ กระทันหัน เพราะอาการใจสั่น หรือหายใจไม่ออก แต่ไม่ได้เป็นหนักเหมือนเมื่อก่อน เมื่อวานก่อนก็ยังต้องนอน รพ อยู่เลยค่ะ เพิ่งออกมาเมื่อวาน เพราะคุณแม่เราเคยรับบริจาคเลือดตอนทำบอลลูน ตอนนี้เลยมีอาการคันและโรคแทรกซ้อนเรื่อยๆ
นับไปนับมา ตั้งแต่คุณพ่อเราไปเจรจาไกล่เกลี่ยว่าตกลงจะจ่ายให้หมดภายใน 9 ปี ตอนนี้ทั้งดอกเบี้ยทั้งต้นทั้งดอก และเบี้ยปรับอยู่ที่ 300,000 จากเงินต้นครั้งแรกที่กู้ 120,600 บาท และอายุความเรากำลังจะสิ้นสุดเร็วๆนี้ ก็คงถูกบังคับคดี

เราอายุ 30 กว่าแล้ว เราบอกเลยว่าเราไม่มีมีปัญญาไปโปะหนี้ก้อนนั้นทั้งหมดภายในเวลาปีนี้แน่ๆ และเราเห็นทาง กยศ ประกาศจะยึดทรัพย์สิน เราก็ปรึกษากับคุณพ่อเราว่าถ้าเค้าจะยึดทรัพย์เราจะทำยังไง คุณพ่อบอกว่า ก็ลองเจรจาต่อรองอีกรอบไม่ได้มั้ย ว่าเราก็อยากจะจ่ายนะ แต่เราไม่มีเงินก้อนเยอะขนาดนั้น
หรือถ้าหักดอกเบี้ยที่ทบต้นออก อนุโลมให้เหลือแค่ยอดเงินนะวันแรกที่เริ่มจ่าย คิดว่าน่าจะมีคนอยากจ่ายอีกเยอะ
เราไม่เคยคิดเบี้ยวนะคะ เราพยายามจ่ายเวลาที่มีเงินเหลือพอ แต่มันไม่ได้หักเงินต้ไปเลย
เราอยากจ่ายให้หมดนะคะ ค่อยๅผ่อนไป แต่ถ้าเบี้ยปรับเยอะ และต้องจ่ายทีเดียวเป็นก้อนเราไม่มีปัญญาโปะหรอกค่ะ

เรากว่าอย่างนั้นนะคะ เพราะเราคิดว่ามีอีกคนที่อยากจะจ่ายแต่จ่ายบ้างไม่มีจ่ายบ้าง ทบต้นทบดอกบานตะไท หมดกำลังใจในการจ่ายเป็นแถบๆ บางคนปล่อยทิ้งเลยเอาเงินไปจ่ายที่จำเป็นก่อนดีกว่า บางคนบอกว่าไหนๆก็โดนเบี้ยปรับเยอะแล้วก็เอาไว้ก่อน เพราะไม่มีเงินก้อนไปโปะ ก็เหมือนเป็นการเทน้ำลงบนกองทรายเปล่าๆ เพื่อนเราคนนึงเงินต้น 8 หมื่น จ่ายบ้างไม่จ่ายบ้าง เกือบสิบกว่าปี ทุกวันนี้ยอดแสนกว่าไปแล้ว บอกท้อมากจ่ายไม่หมดสักที

มีใครเป็นแบบเราบ้างมั้ยคะ ที่จ่ายไปบ้างแล้วหยุดจ่ายๆกลายเป็นหนี้ท่วมหัว หรือมีใครโดนยึดทรัพย์ไปแล้วบ้างคะ จะได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ถูก

อยากให้ กยศ เห็นใจสักนิดนะคะ ถ้าพวกที่กู้เงินมา มีเงินเหลือเฟือจริงๆคงไม่ไปกู้เงินมาเรียนหรอกค่ะ หลักแสนสมัยนี้สำหรับบางคนอาจจะดูน้อยมาก แต่สำหรับเราในสมัยก่อนแล้วเทียบเท่ากับหลักล้านสมัยนี้เลยก็ว่าได้

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
สามีเราน่าจะรุ่นๆคุณ
เพราะอายุใกล้40 และเค้าเริ่มต้นเงินเดือนที่ 7-8000 เหมือนกันค่ะ มาจาก ตจว ต้องเช่าอยู่

สามีกู้ กยศ ระหว่างที่ทำงาน และเจอแพคเกจตกงานติดต่อกันเป็นเดือนจนต้องกินข้าวเปล่าคลุกมาม่านั้น รวมถึงจ่ายหนี้แทนพ่อแม่ ไม่รู้เดือนละเท่าไหร่ แต่ยอดน่าจะล้านกว่าบาท

เค้าไม่เคยเบี้ยว กยศ สักครั้งเลยค่ะ พี่แกจ่ายตลอด คือ ความรับผิดชอบมันคือหน้าที่ รับเงินเค้ามาแล้ว เป็นลูกหนี้ก็ต้องจ่ายเจ้าหนี้ นี่เป็นค่าใช้จ่ายแรกที่เค้ากันจากรายรับเลยค่ะ หลังจากนั้น ให้พ่อแม่ ค่ากินของใช้ส่วนตัวพี่แกก็วางเป็นลำดับสุดท้าย

เราไม่รู้รายละเอียดนักแต่สามีพูดเสมอว่า กยศ ถือเป็นเจ้าหนี้ที่โอเคมาก เพราะดอกต่ำมาก เค้าจ่ายตรงตลอด แล้วพอเราฟังยอดที่จ่ายแต่ละปี คือมันก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรเลย แต่หลายคนก็ไม่จ่ายเพราะ เอาตังไปฟุ่มเฟือย ผ่อนไอโฟน ไปญี่ปุ่น ซื้อหลุยส์ เสร็จแล้วก็บอกไม่มีเงินวนไป ตบท้ายเบี้ยวเค้า ดอกงอกก็บอกเค้าใจร้ายงั้นงี้ (คนให้ยืมเงินเป็นคนใจร้ายซะงั้น ตลก!)

คุณก็เป็นหนึ่งในคนที่เบี้ยวเค้า ถามว่าน่าเห็นใจมั้ย ถ้าคุณร่ายเหตุผลพวกนี้มาก็น่าเห็นใจค่ะ แต่คุณมีความรับผิดชอบมั้ย เวลาเกือบ20ปีก็พิสูจน์แล้วว่าไม่มีค่ะ คุณน่าเห็นใจจริง แต่รุ่นน้องๆก็น่าเห็นใจเช่นกัน วันนี้เค้าอาจจะกู้ไม่ผ่าน แม่เค้าอาจจะป่วยเหมือนแม่คุณอยู่ก็ได้  แต่ก็อดเรียน เพราะเงินในกองทุนไม่พอ แบบนี้ก็เรียกได้ว่าคุณโหดและใจร้ายเหมือนกันค่ะ
ความคิดเห็นที่ 7
คือ...ก็อยากให้ จขกท. มองในมุมกลับบ้างนะครับ
จขกท. มีโอกาสทางการศึกษา  สามารถเล่าเรียนจนจบออกมาหางานทำได้  ก็ด้วย "เงินกู้" ตัวนี้จาก กยศ.
ซึ่งเงื่อนไขต่าง ๆ ในการผ่อนคืนเงินกู้  ก็น่าจะจัดได้ว่าสบาย ๆ ที่สุดใน 3 โลกแล้วมั้งครับ
มันเป็น "สำนึกและความรับผิดชอบ" ของตัว จขกท. ที่ "ควรจะ" ผ่อนจ่ายเงินคืนให้กับกองทุนตามเวลาที่กำหนดไว้
เรียนจบมาก็น่าจะอายุ 20 หน่อย ๆ  นี่ปาเข้าไปอายุจะ 40 แล้ว  ร่วม ๆ 20 ปี เลยนะครับ
ถ้ามีแก่ใจจะผ่อนจ่ายบ้าง  มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง  นอกจากจะไม่ใส่ใจซะมากกว่า
พอสุดท้าย  เงินมันทบไปทบมาจนบานปลายไปไกล  ก็มาโอดครวญว่าโหดอย่างโน้นโหดอย่างนี้
ถ้าทุกคนที่กู้ กยศ. อ้างแบบนี้เหมือนกันหมด  อีกหน่อยก็คงไม่ต้องมีโครงการแบบนี้กันแล้ว
ความคิดเห็นที่ 11
ไม่คิดว่าโหดค่ะ ตลอดระยะเวลา 20 ปีคุณได้พยายามทำอะไรบ้าง

ถามว่าการที่คุณออกมาดูแลยาย ดูแลแม่ดีไหม ดีมาก แต่ทั้งนี้คุณก็ต้องรู้ด้วยซิ ว่าคุณมีภาระตรงนี้ที่ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน ทำไมตอนที่ญาติพี่น้องขอให้คุณมาดูแลยายที่ป่วย เพราะเห็นว่าคุณเพิ่งเรียนจบ ตอนนั้นคุณไม่บอกว่ามีหนี้ กู้เรียน ขอให้ทุกคนช่วยจ่ายด้วย เพราะเราเชื่อว่า ต่อปีที่จ่าย กยศ. ยังน้อยกว่าค่าจ้าง จ้างพยาบาลมาดูแลยายคุณด้วยซ้ำ

เพราะปีแรกๆ กยศ. จ่ายน้อยมากเลยน่ะ เก็บเดือนละ 200-300 ยังเหลือเลยด้วยซ้ำ เราไม่รู้ว่าต้นคุณเท่าไหร่น่ะ ของเราต้นเกือบๆ 200,000 ปีแรกจ่าย 2,000 มาขึ้นปีที่ 6 ที่ 7 นั้นแหละถึงจะขึ้นเป็นหลักหมื่นต่อปี

อย่าเอาภาระที่มีมาอ้างว่าเพราะมีปัญหาแบบนั้น แบบนี้ ทำให้คุณไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ จนดอกเบี้ยมันทบต้น เรื่องลามไปจนจะโดนยึดทรัพย์แบบตอนนี้เลย เพราะระยะเวลาของคุณก็ไม่ใช่น้อยๆ น่ะ ตั้ง 20 ปี ไม่ใช่ 20 เดือน ถ้า 20 เดือนขึ้นโหดขนาดทบต้นทบดอกแล้วคุณมาตั้งกระทู้ เราจะเชียร์และเห็นด้วยกับคุณว่ามันโหดไป แต่นี้ไม่ใช่

เพราะคนอื่นๆ เขาก็มีภาระเหมือนกัน บางคนอาจจะหนักกว่าคุณด้วยซ้ำ ทำงานมีเงินเดือนก็จริง แต่ต้องเลี้ยงพ่อแม่ ส่งน้องเรียนอีก 2 คน ส่งดอกเบี้ยหนี้นอกระบบอีกเดือนละ 6,000 บาทต่อเดือน หนี้ กยศ. อีก คุณคิดว่าเขาหนักไหม คุณคิดว่าแต่ละเดือนๆ คนนี้ต้องหาเงินให้ได้เท่าไหร่ถึงจะพอ แต่ว่าเขาก็ดิ้นรนหาเงินมาส่ง กยศ. ได้ทุกเดือนไม่เคยขาด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่