อยู่ออสเตรเลียมา 7 ปี กำลังคิดจะกลับไปอยู่ไทย ขอคำแนะนำหน่อยครับ

อัพเดต: ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบนะครับ น้ำใจคนไทยเป็นสิ่งที่หาที่ไหนไม่ได้จริงๆ ผมตามตอบทุกคนไม่ไหวนะครับ ตอนตั้งกระทู้ไม่คิดว่าจะมีคนตอบเกิน 10 คนด้วยซ้ำ ตอนนี้เกินร้อยแล้ว แต่ผมอ่านทุกคำตอบ ตอนนี้เหมือนจะได้คำตอบแล้วว่าจะเอายังไง ขอขอบคุณอีกครั้งครับ

=============================================================


ผมอายุ 30 แล้วครับ มาอยู่ Gold Coast ตั้งแต่ปี 2010 มาแบบนักเรียนเพื่อมาเรียนภาษาอังกฤษแค่ 6 เดือน ไปๆ มาๆ กลายเป็น 7 ปีไปแล้ว

แต่ผมคิดว่าผมเริ่มหมดรักกับประเทศนี้แล้ว มีหลายปัจจัย แต่ช่วงหลังมานี้เจออาการ homesick เล่นงานเป็นหลัก ทุกวันนี้ทำงานเป็นเชฟ ซึ่งก็เริ่มเหนื่อยกับงานสายนี้

มีแต่คนบอกให้อยู่ต่อ เพราะผมมีใบเชฟ Certificate 3 กับ 4 และกำลังจะจบ Diploma ด้านเดียวกัน สามารถต่อไปทำงานเอาสิทธิเป็นผู้พักอาศัยถาวร (permanent resident)ได้ แต่ก็ใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-4 ปี ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรถ้าไม่ได้อยากอยู่ที่นี่

ผมมองว่าตัวเองไม่มีเวลามากขนาดนั้น เวลาที่จะทำในสิ่งที่ไม่ได้รักเท่าไหร่ในประเทศที่ไม่ค่อยจะรักเท่าไหร่เหมือนกัน

ที่บ้านพ่อแม่ที่ใต้มีธุรกิจส่วนตัว มีสวน มีที่ดินมากมาย ที่พร้อมจะยกให้(ถ้าผมพร้อมที่จะสานต่อ) แต่ใจผมอยากไปลองทำงานในกรุงเทพดูสักพัก อยากทำงานนั่งโต๊ะในออฟฟิศ เพราะผมเริ่มเบื่อกับการยืนวันละ 8-10 ชั่วโมง

ผมมีวุฒิป.ตรีจากเอแบค พร้อมทั้ง Certificate อีกเป็นกระบุงจากช่วงที่เรียนโน่นเรียนนี่สะเปะสะในเวลา 7 ปีที่ออสเตรเลีย  ภาษาอังกฤษดี ฟังพูดอ่านเขียนดีหมด คะแนน IELTS 7.5

คุณว่าถ้าผมกลับไทยผมควรจะกลับไปตั้งหลักยังไงดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
อายุแค่ 30 เท่านั้นเอง อยู่มาได้ตั้ง 7 ปีแล้ว ทนๆ อีก 2-4 ปี เอาพีอาร์ไว้เล่นๆ เป็นทางเลือก
2-4 ปี ไม่ใช่เวลานานเลย เผลอๆ ลืมๆ แป๊บเดียวแหละ

ไม่ต้องอะไรหรอก เราเพิ่งฉลองปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ กันมาสดๆ ร้อนๆ รู้สึกว่า เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานใช่ไหม?
คุณรู้สึกแบบนั้นบ้าง เช่นกันหรือเปล่า? แต่นี่ในความเป็นจริง คือเดือนที่ 6 ของปี เดือนมิถุนายน เดือน June แล้ว ไวมากเลย

ช่วงนี้คุณคงแค่เบื่อๆ จำเจ ซ้ำซาก กับสิ่งเดิมๆ ที่ทำมาตลอดหลายปี

แนะนำให้หยุดทำงานสัก 1-2 เดือน ถ้าสามารถทำได้

จากนั้นออกเดินทาง ไปแอฟริกา หรือ ไปละตินอเมริกา หรือ เที่ยวทางแถบเอเชียก็ได้
แล้วทบทวนว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆ  

คุณมาถามคนในนี้ ทุกคนได้แต่ให้คำแนะนำ

แต่จริงๆ แล้ว คุณต้องถามความต้องการของตนเอง ถามใจตนเอง และ เลือกที่ตนเองอยากทำ

ถ้าเราเป็นคุณ ช่วงนี้เราจะแค่หยุดงานเพื่อเที่ยว เพื่อเติมพลัง พอเที่ยวจบ กลับไปอยู่ออสเตรเลียต่อจนได้พีอาร์



***คุณเคยทำงานอิสระ อยู่ในสังคมที่ ปท ออสเตรเลีย ถ้าหากกลับมาทำงานออฟฟิสที่ไทย คุณจะทนไม่ได้ต่อวัฒนธรรมองค์กร
ทัศนะคติหลายๆ อย่างของคนส่วนใหญ่ในสังคม และ ของเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ สังคมออฟฟิสไทยส่วนใหญ่ คุณจะรับได้ไหม
ต่อให้คุณทำงานบริษัทข้ามชาติ แล้วมีผู้บังคับบัญชาสายตรงเป็นฝรั่งด้วย แต่กระนั้นก็ตามคุณก็ยังต้องทำงานร่วมกับคนไทย
ซึ่งอาจจะไม่เคยผ่านเมืองนอกเมืองนามาก่อน หรือ อาจจะเคยผ่านเมืองนอก หรือ อาจจะมีการศึกษาดีมาก แต่ระบบความคิดยังไทยมากอยู่
หรือ ถูกวัฒนธรรมองค์กรแบบไทยๆ กลืนกิน สิ่งเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคไหมถ้าคุณกลับมาทำงานที่ไทย ถามตัวเองดู

การไปอยู่ออสเตรเลียมา 7 ปี แล้วจะกลับมาอยู่มาทำงานที่ไทย คุณต้องมาตั้งต้นใหม่ หมดเลย
และ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 6 เดือน ถึง 1 ปี ในการกลับมาปรับตัวให้เข้ากับสังคมไทย
สภาพแวดล้อมที่ไทย

โกลด์ โคสท์ แตกต่างจากกรุงเทพฯ มากๆ ส่วนตัว เราไม่ชอบโกลด์ โคสท์ เราชอบกรุงเทพฯ มากกว่า

กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่สนุก ทันสมัย มีสีสัน มีความตื่นเต้น มีความวุ่นวาย มี ฯลฯ เยอะ
แต่การจะอยู่ในกรุงเทพฯ ได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่แล้วไม่หงุดหงิด
คุณจะต้องใช้ทักษะในการดำรงชีวิตสูงมากๆ ต้องมีความอดทน อดกลั้น สูงมาก
ต้องอดทนอดกลั้นกับคน และ กับสภาพแวดล้อม และ ต้องมีเงิน ถึงจะอยู่สบาย




***ประเทศไทยทุกวันนี้ อยู่ยากขึ้นทุกวัน เราต้องออกเดินทางไป ตปท ทุกเดือน ได้อยู่เมืองไทยเดือนละหนสองหน
หลายๆ ครั้ง เรายังเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และ สังคมไทยในทางขาลง
โดยเฉพาะระดับมารยาท ระดับความคิด ของคนในสังคม ความไร้ระเบียบ ความเห็นแก่ตัวที่มีมากขึ้น


การแข่งขันชิงดีชิงเด่น อวดร่ำอวดรวยสูง การเบ่งบานของสังคมโซเชี่ยลมีเดี่ยที่คนไทยส่วนใหญ่ใช้กันแบบผิดๆ
วัฒนธรรมแย่ๆ เช่นการอัดคลิป ถ่ายรูปประจานกันทางโซเชี่ยลฯ เหยียบคนที่ล้ม มีส่วนทำให้สังคมมีคุณภาพด้อยลงมากๆ
สังคมที่คน "ส่วนใหญ่" เปราะบาง อ่อนไหว ตื่นตูม มือใครยาวสาวได้สาวเอา แบ่งพรรคแบ่งพวก ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง
ใช้อารมณ์ มากกว่าเหตุผล เอะอะอะไรก็ก้มกราบ บ้านเมืองไร้ขื่อแป กฏระเบียบใช้บังคับจริงไม่ได้  คนชอบแถ ใช้ตรรกะประหลาดๆ เอาตัวรอด
คนไม่พูดความจริง


สังคมที่อุดมไปด้วยศรีธนญชัย การใส่หน้ากาก การแทงข้างหลัง ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ
คนในสังคมอยู่กันอย่างไม่ไว้ใจกันเอง ระบบอาวุโส ระบบอุปถัมภ์ การประจบเลียแข้งเลียขา ฯลฯ คุณจะได้เจอครบหมด


หรือ ถ้ายังไม่ได้กลับมาเจอของจริง ลองอ่านกระทู้ในพันทิปดู เพื่ออัพเดทสังคมไทย และ ความคิดของคนไทยบางส่วนดูก็ได้
และ ติดตามข่าวคราวความเป็นไปในด้านต่างๆ ของ ปท ไทย จากเว็บข่าวไทย

จากพันทิป ก็ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เราเจอกระทู้หนึ่ง ที่ จขกท มาปรับทุกข์ ขอความคิดเห็นเรื่องโดนตำหนิ ในการที่เป็นคนมือไม้ไม่อ่อน
เราอ่านแล้ว เห็นใจ เพราะสังคมไทยทุกวันนี้ หลายๆ คนเอาประเพณีการไหว้ที่สวยงาม และ ควรทำอย่างถูกกาละเทศะ มาใช้กันจนพร่ำเพรื่อ
หลักๆ คือ เอามาเป็นเชิงสัญลักษณ์ในการกดขี่ข่มเหงผู้อื่นให้ยอมศิโรราบนั่นเอง ใช้อำนาจชั่วคราวเอามาควบคุมผู้อื่นนั่นเอง

หรือ อีกกระทู้หนึ่ง มีคนมาถามว่า ถ้าหากขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงาน จะโดนคนที่ๆ ทำงานดูถูกหรือไม่

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คุณจะไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นในสังคมของ ปท ที่เจริญแล้ว เพราะเขาให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์มากกว่า

แค่ตัวอย่างนิดหน่อยนี้ คงทำให้เห็นสภาพสังคมที่ยังไม่พัฒนา และ ยังคิดแบบมีเหตุผลไม่ได้ ได้มากขึ้นใช่ไหม





***ปท ไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เปลี่ยนไปเยอะ คนต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้นด้วย ทั้งคนจาก ปท ไกลๆ และ
โดยเฉพาะคนจาก ปท เพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซี่ยนด้วยกัน ที่เข้ามาอยู่ มาทำงานทั้งแบบถูกกฏหมาย และ ไม่ถูกกฏหมาย
บางครั้งไปร้านอาหาร คุณอาจจะไม่เจอพนักงานคนไทยเลย




***7 ปีที่อยู่ออสเตรเลีย คุณได้กลับมาเมืองไทยบ้างหรือไม่ (ในกระทู้เขียนว่า ไปๆ มาๆ หมายถึง ไปๆ มาๆ ระหว่างเอสเตรเลีย
และ ไทย ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาใช่ไหม? หรือ คุณเขียนในเชิงว่า ไปๆ มาๆ อยู่มา 7 ปีแล้ว?   )

นอกจากจะมาเรียนที่เอแบคแล้ว แล้วก่อนไปอยู่ออสเตรเลีย คุณเคยทำงานใน กทม มาก่อนหรือเปล่า


หรือ ไม่อีกที ใบประกาศนียบัตรที่มีอยู่หลายใบ ปริญญาจากเอแบค บวกกับ ทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษ และ ประสบการณ์ในการใช้ชีวิต
ประสบการณ์ในการทำงานในต่างแดน คุณเอาไปหางานที่ ปท อื่นๆ สิ

เราเพิ่งกลับมาจากแถบแอฟริกา เจอคนไทยไปทำงานแถวนั้นพอสมควร
หรือ คุณไปหางานแถวละตินอเมริกา แถวแคริบเบี้ยน แถวตะวันออกกลาง

หรือ บ้านอยู่ใต้ คุณก็ไปหางานออฟฟิสแถวสิงคโปร์ทำ
เสาร์-อาทิตย์ ก็บินกลับมาอยู่ที่ใต้มาดูแลสวน จ้างคนงานทำ
ส่วนจันทร์-ศุกร์อยู่ออฟฟิสที่สิงคโปร์





***อีกปัจจัยที่สำคัญในการตัดสินใจคือ ตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน คุณใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนานาชาติ สังคมอินเตอร์
ที่มีความหลากหลาย เปิดกว้าง สามารถมีอิสระได้ในทางความคิด มีอิสระในการใช้ชีวิตหรือไม่

หรือว่า ตอนที่ใช้ชีวิตในต่างแดน คุณใช้ชีวิตอยู่แต่ในสังคมของคนไทย ไม่ได้แตกต่างจากการอยู่ในไทยมากนัก
จุดนี้สำคัญยิ่ง

เรารู้จักคนไทยเยอะแยะมาก ที่ไปใช้ชีวิตในต่างแดน เช่น ไปเรียน ไปทำงาน หรือ แต่งงานไปอยู่ แต่ระบบความคิดยัง
ไม่อินเตอร์ ยังค่อนข้างแคบ เพราะใช้ชีวิตอยู่แต่ในสังคมที่เหมือนกับที่เมืองไทย

คนไทยบางคนที่เรารู้จัก ที่เป็นนักเรียนนอก หรือ ที่ทำงานกับฝรั่ง แต่ไม่ชอบฝรั่ง ไม่ชอบเมืองนอกก็มี
แต่เขาก็ทน ทนเรียน ทนอยู่ ทนทำงาน เพื่อรายได้ที่มากกว่า เพื่อการศึกษา เพื่อนยกระดับสถานะภาพทางสังคมที่เมืองไทย
และ เพื่ออะไรอีกหลายๆ อย่าง

คือ ต้องดูไลฟ์สไตล์ ดูความคิด ดูความชอบของตนเองด้วย ก่อนที่จะตัดสินใจว่า จะอยู่เมืองนอกต่อ หรือ จะกลับเมืองไทย

อายุ 30 ชีวิตยังมีโอกาสหาประสบการณ์ได้อีกไกลนัก และ โลกสมัยนี้ยิ่งไร้พรมแดนขึ้นทุกวัน



***การจะเป็นประชากรโลกที่มีคุณภาพได้นั้น เราต้องไม่ลืมชาติกำเนิด ไม่ลืมประเทศบ้านเกิดของเรา
แต่ทั้งนี้ก็ต้องสามารถปรับตัวให้มีความเป็นสากล คิดแบบสากลให้ได้ด้วย แบบที่เขาเรียกว่าเป็น โกลบ้อล ซิติเซ่น นั่นเอง








ความคิดเห็นที่ 81
เริ่มยังไงดี...เอาเป็นว่า ทุกอย่างที่ผมจะเขียนต่อไปนี่เป็นประสบการตรงจากตัวผมเอง และก้อเป็นความคคิดส่วนตัวของผมเองนะครับไม่ได้จะดูถูกดูหมิ่นอะไรใครหรือประเทศไทยแต่อย่างไดทุกประการผมอาจจะพูดแรงไปหน่อยนะครับกับบางเรื่องผมโตที่นี่ ผมคิดว่าบางเรื่องคนไทยเองรู้แต่ไม่อยากยอมรับความเป็นจริงปล่อยเลยตามเลย ปันหามันเลยเกิด

คือผมอยู่ melbourne มาประมาน 13 ปีได้ตั้งแต่ university ปี 1 จนจบ Multimedia and Animation Degree แล้วมาหางานทำ ได้งานเป็นช่างถ่ายภาพแต่งงานอู่ 3 ปี + ทำร้านอาหารไปด้วยไม่เคยคิดว่าจะกลับจนกระทั้ง ปีสุดท้ายอาการเริ่มออก...คือเบื่อมากเบื่อทุกอย่างที่เปนออส อยากจะกลับไทย ทางบ้านก้อถามอยู่หลายหนว่าจะกลับมาแล้วจะอยู่ได้หลอ ผมเองก้อนอนยันยืนยันว่าได้ชีวิตต้องมีการเปลียนแปลง....ทั้งๆที่ตอนนั้นถือ visa TR อยู่แล้ว จะได้ PR แล้ว....แต่เลือกที่จะกลับ

กลับมาไทยก้อกระดี้กระด้าได้อยู่ประมาน 6 เดือน....ความจริงเริ่มปรากด....คำถามแรกที่ถามตัวเองคือ

*****ผมกลับมาทำไม*****

และก็เข้าใจกระจ่างแท้กับประโยคที่ว่า culture shock ก้อตอนนั้น...ผมลืมบอกไปว่าผมยังโชคดีที่ได้ทำงานในบริษัทต่างชาติ
แต่ทุกอย่างก้อไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคาดหวังเอ้าไว้ เพราะอะไร ผมเลยมานั่งคิดทบทวน อยู่เป็นเวลาเกือบปี จนแยกแยะออกมาได้ประมานนี้ว่า

1. สังคมที่แตกต่าง - ออส เป็นประเทศ ทีมีความ multi culture มาก -อย่างน้อยก้อที่ melbourne- ไม่ใช่มีแค่ native เท่านั้นแต่มีทั้ง chinese japanese korean indo Sg EU US....นานๆประเทศ ดังนั้นเกือบทุกอย่าง รวมทั้งความคิด ขอเน้น ความคิด* เลยเปิดกว้าง ทุกคนยอมรับในทุกๆสิ่งที่ทุกคนเปน.....ต่างกับพี่ไทยังไง ทุกคนคงถามเพราะไทยก้อมีคนมากหน้าหลายตา....แต่ไทยเป็นประเทศที่ชอบบบบทำตามคนอื่นแต่ไม่ยอมรับในสิ่งที่เค้าเป็น อย่างที่หลายๆท่านบอก...ใส่หน้ากาหากัน อยากเป็นเหมือนเกาหลีบ้าง อเมริกาบ้าง ทั้งๆที่ีบ้างคนไม่ได้อยากเป็นแต่ทำเพราะ กระแสสังคม....ดังนั้น เรื่องการพูดการจา ไม่ต้องสืบ จะได้อะไร ออกความคิดเห็นอะไรมันแน่นอนที่จะมีกำแพงแก้ว 1000ชั้น อยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะด้วยประการใดก้อตาม ความอิสรนั้นจึงมีน้อยมากกกถึงน้อยที่สุด จนบางครั้งผมคิดว่ามันหายไปไหนแล้ว
คำถามคือ....คุนรับได้ไหมกับการที่คุนมีสิทเท่ากันแต่พูดอะไรเสรีไม่ได้?

2. ระเบียบวินัย ไม่ต้องลงลึกเอาแค่เปลือกนอกง่ายๆที่ทุกคนเห็น การจราจร ... ผมนี่สงสารนะครับ ไม่ว่าจะเปนรัฐบาลได้ก้อโดนกันท้วนหน้า เรื่องรถติดใน กทม. ทำไมถึงแก้ไม่หาย ไม่ต้องว่าใครหลอกครับ เป็นเราคนในกรุงนี้และ ด้วยความที่พี่ไทยของเราเป็นประเทศที่รักสบายจนลืมตัว รักสบายจนกลายเป็นความเห็นแก่ตัวน่าจะถูกมากกว่า เลนเค้ามีสองเลน ผมจะทำให้เป็นสาม พอไปไม่ได้ก้อติดแล้วก้อต่อไปเป็นทอดๆๆๆๆๆๆ ยาวเป็นหางว่าว พอพี่ตำรวจมาก้อยัดเงิน แล้วก้อจบๆไป มันก้อเป็นซะอย่างนี้ ... ผมเองนี้ขับรถใน กทม. ใช้เวลา 2 ชม.อย่างน้อยไปทำงานตอนเช้า บอกเลยครับ เกือบเข้าไปหาหมอจิตแพทแล้วละครับ เครียดมาก กับการขับรถแค่ 10 กม แต่ใช้เวลา 2 ชม.
ซึ่งที่ออส ต่างอย่างไง จขกท คงรู้ดี law คือ สูงสุด ไม่ว่าจะใหย่มาจากไหนก้ออยู่ใต้ law ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าที่นี่รถไม่ติด ติดครับ ติดมากบางวัน แต่ เค้าด้วยความที่ คนเค้ามีระเบียบวินัย การจราจรจึงไม่สาหัสเท่าพี่ไทย ขับรถตามกฏระเบียบ แป็บๆก้อได้ไปเอง...
คำถามคือ....คุนรับได้ไหมถ้าคุนเป็นคนรักษาระเบียบวินัยแต่คนรอบๆคุนเป็นแก่ตัว

3. ทำใจคน.... ใครบอกว่าพี่ไทยเป็นคนน้ำใจงาม ผมนี่ค้านตัวโก่ง(อย่างน้อยก้อใน กทม. คนแร้งน้ำใจมากครับ) เอาง่ายๆเรื่องข้ามถนนผมไม่เข้าใจครับว่าจะทำมาทำไมทางม้าลาย ผมยืนรอเกือบสิบนาทีกว่าจะได้ข้ามแถมพอจะข้ามโดนบีบแตใส่ -.- ผมทำผิดอะไร ผมนี่เคยเกือบถูกรถชน หน้า รพ.จุฬาจะข้ามถนนไปสวนลุมไปออกกำลังกายบางท่านคงทราบดี ว่าตรงนั้นจะมีปุ่มกดให้คนข้ามแล้วจะเป็นไฟเเขียว...ผมนี่ดีใจมากกก พอจะข้ามเท่านั้นแหละพี่ท่าน ใส่เกียหมา  ผ่าไฟแดง เกือบได้ไปนอน รพ.แทนวิ่งแล้ววั้นนั้น


4.สภาพอากาศ นี่สำคัน คือผมอยู่ที่ ออสนี่ไม่เคยได้เหยีบ รพ. ครับ กลับไปไทย 2 ปี เข้า รพ.ยังกะสวนสนุก ป่วยแล้วป่วยเล่า ไม่รู้ด้วยคุนหมอท่านย้อมแมวบ้างรึเปล่าก้อไม่รู้ แต่เข้าหนักมากอะครับ มลพิษเยอะสุดๆ ผมอาจจะอ่อนแอก้อได้ผมไม่ทราบแต่ไม่เคยเป็นอย่างนี่ตอนอยู่ที่ออสเลย
คำถามคือ....คุนรับได้ไหม กับการที่คุนต้องเจอมลพิษ แย่ๆทุกวัน

แค่นี้ก้อแค่บางส่วนนะครับ ที่ผมคิดไว้ มีอีกหลายมุมแต่จะยาวเกิน
เรื่องบางเรื่องที่ผมยกขึ้นมามันอาจจะดูไร้สาระ บางท่านคงคิดว่าเรื่องแค่นี้ทำไมถึงเอามาใส่ใจ
แต่ผมเจอทุกๆวัน มันก้อกลายเป็นเรื่องที่ไม่เล็กนะครับ
และอีกอย่างครับผมว่าเรื่องเล็กๆเหล่านี้แหละที่มันสือให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ในสังคมคน กทม. ผมว่าไม่ต้องคิดจะแก้ไขอะไรในเรื่องใหย่ๆหลอครับ ถ้าเรื่องแค่นี้มันยังเป็นปันหาอยู่...ความคิดส่วนตัวนะครับ

ผมนี่เครียดมากจนนั่งร้องไห้กับแม่2-3ครั้ง บอกว่าผมไม่มีความสุขเลยที่แล้วมา แม่ก้อถามว่าทำไมถึงไม่ชอบบ้านเกิดตัวเอง
ผมไม่เคยเกียจเมืองไทยนะครับ แต่ผทคิดว่า กทม. มันไม่น่าอยู่แล้วนะครับเดี๋ยวนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเยอะ มาก ในความคิดผมนะครับ

ตอนนี้ผมย้ายกลับมาอยู่ ที่ออสแล้วนะครับ กลับมาตั้งต้นใหม่ สุขภาพดีขึ้ยเยอัเลยครับ กลับมา 6 เดือนแล้ว แล้วคราวนี้ก้อคงไม่กลับไปไหนจนกว่าจะได้ Citizen นะครับ

ทั้งหมดนี้ก้ออยากจะฝากให้ จขกท ไว้ได้อ่านนะครับว่าอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจอะไร ประเทศไทยไม่ไปไหนหลอกครับ คุนยังกลับไปเยี่ยมได้เสมอ คิดถถึงบ้านเดี๋ยวนี้ก้อมีline face time google duo skype เยอะแยะให้ใช้ คิดดีๆนะครับไม่อยากให้เป็นเหมือนผม เพราะกลับไปแล้วจะกลับมามันยากมากนะครับ

ขอบคุนครับและหวังว่ามันคงช่วย จขกท ตัดสิ่นใจอะไรได้บ้างนะครับ
ความคิดเห็นที่ 10
เข้าใจครับ จบเอแบค ที่บ้านมีฐานะดี  ทำไมต้องมาเป็นพ่อครัวยืน 8-10 ชั่วโมงหน้าเตาร้อนๆ กับกลิ่นเหม็น(จริงๆหอมนะ555)ทั้งวัน

เข้าใจว่าหากต้องการกลับไปออสเตรเลีย จะทำวีซ่ากี่ครั้งก็ผ่านไม่ยากจึงไม่เห็นความสำคัญของ PR.
แต่อยากบอกว่า ทำไว้เป็นทางเลืกก็ดีครับ

มนุษย์เราจะรู้สึกปลอดภัย และมีความสุขที่มีทางเลือก
และจะทุกข์ในวันที่ไม่มีทางเลือก แม้ทางที่ต้องเดินนั้นมันจะดีอยู่แล้วก็ตาม

ทั้งนี้ทุกอย่างอยู่ที่ใจคุณเอง ให้คนอื่นเลือกทางให้ ถ้ามันผิดจะไปโทษใคร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่