สวัสดีและขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน คือเคยแต่ตามอ่านเรื่องราวของคนอื่น พอมาถึงตอนนี้อยากลองขอความคิดเห็นจากหลายๆท่านผู้ที่พอมีประสบการณ์หรือวิสัยทัศน์ที่มากกว่าเพราะ จขกท ค่อนข้างอยู่ในช่วงสับสนและเลือกไม่ได้ (ขออนุญาติใช้ภาษาอังกฤษแทรกนะคะเพื่อความลื่นไหล อย่าว่ากระแดะเลยนะ และตอนนี้พิมพ์เสร็จแล้วรู้สึกว่ามันค่อนข้างยาว บอกไว้ก่อนนะ)
ก่อนเข้าประเด็นขอเล่าBackground คร่าวๆก่อนเพื่อให้รู้ว่าเรามีความเป็นมาอย่างไรประกอบการให้คำปรึกษา และเผื่อเป็นการแชร์ประสบการณ์การทำงานต่างประเทศแบบคร่าวๆให้เพื่อนๆได้ฟังกัน เราอยู่ที่ออสเตรเลียได้5ปีกว่าแล้วอยู่ซิดนีย์ ตอนแรกก็มา Work&Holiday ได้หนึ่งปีแล้วก็กลับมาเรียนต่อปริญญาโท จบMaster of Commerce, HR & Marketing
ตัวเองส่วนตัวเป็นคนค่อนข้างทะเยอทะยานในแง่ของการพยายามขวนขวายโอกาสให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น ไม่กลัวความลำบาก กล้าเสี่ยง ชอบผจญภัย ชอบเรียนรู้โลกใหม่ๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆได้ไม่ยาก พยายามเอาตัวเองออกมาจาก Comfort Zone จากครอบครัว สังคมแบบเดิมๆ ชอบความท้าทาย และสนุกกับการได้เอาตัวเองออกมาเผชิญกับโลกข้างนอก สู้ด้วยตัวเอง ทำงานได้ดีเมื่ออยู่ภายใต้ความกดดัน ก่อนมาที่นี่ ตอนเรียนป ตรี ก็มีโอกาสได้ไป Work & Travel ที่อเมริกา สุดแสนจะลำบาก แต่ไม่เข็ดไปถึงสามรอบ บอกก่อนว่าที่บ้านไม่มีฐานะเลย แม่เปิดร้านอาหารเล็กๆ เวลาไปโครงการแบบนี้คือเหมือนขอยืมเงินแม่ก่อนแล้วก็ทำงานเก็บเงินมาใช้เค้าคืน ถึงได้ไปหลายรอบ ตัดภาพมาที่ชีวิตที่ออส ปีแรกอย่างลำบาก (เช่นเคย)แต่สนุก มาปีแรกก็ทำงานเก็บเงินอย่างหนักหน่วงเพราะอยากเรียนโท (ในอนาคตอาจจะทำรีวิวถึงชีวิตเด็กเวิคฮอลิเดย์ทำอย่างไรให้เก็บเงินเรียนป โทเมืองนอกได้ แบบแทบไม่ได้ทำร้านไทยและวิธีการเอาตัวรอด) ตอนนั้นคิดว่าอยากมีอนาคตดีๆ และคิดว่าวุฒิป ตรี คือสิ่งที่ชอบแต่ยังไม่ใช่สำหรับอนาคต ไม่รู้ผิดหรือถูกเอาเงินที่ทำมาลงทุนกับการเรียนต่อ มาตอนนี้มองกลับไปก็ไม่ได้คิดว่าตัดสินใจผิดอะไร ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีการลงทุนอะไรดีเท่ากับการลงทุนกับการศึกษาและความรู้
เงินที่เก็บได้ตอนมาปีแรกก็ยังไม่ได้ครอบคลุมค่าเทอมทั้งหมด แต่ จขกท วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้วว่าถ้าจะให้รอดต้องมีเท่าไหร่ ใช้เท่าไหร่ เก็บเท่าไหร่ ให้ตัวเองไม่เดือดร้อนและมีสมาธิกับการเรียน ในระหว่างที่เรียนไปก็ทำงานเต็มเวลาไปด้วยตลอด ชีวิตตั้งแต่จบ ป ตรี ไม่เคยขอเงินพ่อแม่อีก ตั้งแต่มาเวิคฮอลิเดย์และจนส่งตัวเองเรียนป โทเมืองนอกจบ คือการหามาด้วยตัวเองทุกบาททุกสตางค์ รับผิดชอบตัวเอง ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าบ้าน ค่ากิน ที่สำคัญ ค่าเทอม มาถึงตรงนี้จึงอยากยืนยันว่าใครอยากทำงานเก็บเงินเองเรียนป โทเมืองนอก เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องมุมานะ อดทน พยายาม และ commit จริงๆ
เรียนจบรัฐบาลก็ให้วีซ่าทำงานสองปีหาประสบการณ์หลังเรียนจบโท มาถึงตอนนี้ก็เอาอีกและ บอกตัวเองว่าพอแล้วกับการทำงานคาเฟ่เพื่อให้ได้เงินไปวันๆ ถึงเวลากับการหาประสบการณ์งานออฟฟิศแบบCorporate world จริงจังสักที แต่...ประเด็นคือ จขกทไม่มีประสบการณ์ทำงานมาจากไทยเลย จบป ตรีก็ไปตรงนู้นทีที่อเมริกา แล้วก็มาตรงนี้ทีที่ออส การที่จะได้งานออฟฟิศที่ออสสำหรับบางคนที่เค้ามีประสบการณ์มานานยังเรียกว่ายากมากๆ อันนี้คือเรียกได้ว่าจบใหม่เลย เป็นต่างชาติ Non-native speaker ไม่มีวีซ่าเป็น PR ถึงตรงนี้ก็รายละเอียดเยอะกับการทำอย่างไรให้ได้เข้าทำงานกับบริษัทต่างชาติที่แข่งกับต่างชาติจริงๆ ไม่ใช่งานที่ต้องใช้ภาษาไทยหรือบริษัทคนไทย (คิดไว้ว่าจะเขียนเรื่องตรงนี้เหมือนกันเผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่น) สุดท้ายก็ได้งานจริงจังงานแรก สัมภาษณ์ผ่านได้ไปทำงานเป็น Intern ฟรีๆ สามเดือน ใช่แล้วคะไม่ได้เงิน ให้กับบริษัท Executive Search specialising in Financial services industry (เผื่อใครไม่รู้ Executive Search คือ บริษัทจัดหาผู้บริหาร CEO CIO หรือตำแหน่งงานในระดับหัวหน้างานและตำแหน่งSenior ต่างๆ) งานนี้คือที่สุด ได้เรียนรู้เยอะมากกกกกเพราะหนึ่งคืองานออฟฟิศงานแรก สองทำงานกะต่างชาติแบบ Very High Professional ของจริงเนื่องด้วยกลุ่มลูกค้าคือถือว่าPowerful มากในออสเตรเลีย สามด้วยตัวงานและเนื้องาน ที่ต้องDeal& Communicate กับบุคคลระดับท๊อปๆของวงการธุรกิจของAustralia ทำให้ต้องพยายามพัฒนาตัวเองและถีบตัวเองให้มากที่สุด ให้เค้ายอมรับและไม่ให้เค้าเสียใจที่รับเรามา ไม่ให้เค้าคิดว่าเราทำไมได้เพราะเราเป็นเอเชียหรือเพราะเราไม่พูดอังกฤษเป็นภาษาหลัก เอาง่ายๆไม่อยากให้เค้ามาดูถูกได้นั่นเอง ผลคือเจ้านายชอบผลงานและเห็นความพยายามจึง Offer ให้ทำงานต่อเป็น Team support & Market researcher แต่เพราะเค้าไม่มีตำแหน่ง Full time ว่าง จึงได้ทำแบบ Part time 3 วันต่อสัปดาห์ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ทำมาเรื่อยๆเก็บประสบการณ์มาได้หนึ่งปีได้ไว้วางใจให้รับผิดชอบงานมากขึ้น สุดท้ายบริษัทมีปัญหาการเมืองภายในกับบริษัทแม่ เจ้านายผู้ก่อตั้งสาขาลาออกและบริษัทแม่ไม่คิดจะเอาสาขานี้ไว้ จึงได้เวลาหางานใหม่ วีซ่าก็นับถอยหลังลงเรื่อยๆ นั่นหมายถึงความยากมากขึ้นในการหางาน เพราะงานส่วนใหญ่เวลาเค้าโทรมาเค้าจะถามก่อนเลยว่าถือ PR ไหม ถ้าไม่มี แล้ววีซ่าเหลือน้อยบริษัทส่วนใหญ่คือตัดเลย เค้าไม่อยากมานั่งSponsorใคร
จขกท ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนก็ได้งานที่สอง งานนี้ทำกับบริษัทกล้องรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นที่ทุกคนน่าจะรู้จัก เข้าไปทำ on Full time 3 months contract ในตำแหน่ง Service Administrator องค์กรใหญ่มากกก และทุกคนคือออสซี่ ถือเป็น ปสก ที่ดีมากๆอีกครั้งที่ได้เข้ามาทำใน Scale บริษัทใหญ่แบบนี้ และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ถึงตอนนี้คือคิดว่าทำไปเรื่อยๆให้หมดคอนแทรค เพราะเดี๋ยวก็กลับไทยแล้วเพราะวีซ่าหมด ทำๆไปพักหนึ่ง เจ้านายก็มาบอกว่าทำงานดีจะต่อคอนแทรคให้อีกสองเดือนสนใจไหม ซึ่งแน่นอนก็ต้องเซย์เยส
ทีนี้ในเวลาเดียวกันมีอีกบริษัทเข้ามาติดต่อซึ่งคือบริษัทที่ทำอยู่ปัจจุบัน ก็ผ่านการสัมภาษณ์รอบแรกๆ สอบอะไรต่างๆนานา (เดี๋ยวจะพยายามเขียนกระทู้การสัมภาษณ์งานกับบริษัทที่ออสเตรเลียทั้งหมดทั้งที่สมหวังและไม่ได้) จนพอรู้ว่าจะได้เข้ารอบลึกๆ จึงตัดสินใจบอกเจ้านายว่าวีซ่าจะหมดอีกสี่เดือนนะ คือไม่อยากให้เค้าเสียเวลากับเรา ถ้าไม่คิดจะทำวีซ่า เราก็บอกให้เค้าไปดูข้อมูลมาเพราะมันคือเรื่องใหญ่ เจ้านายก็โอเค บริษัทนี้ออกแนว Family business จึงค่อนข้างซัพพอร์ตลูกจ้าง สุดท้ายก็ได้งานนี้ เป็น Sale Support Administrator (Permanent full time) จึงเป็นงานฟูลไทมงานแรกที่ได้ทำ บริษัทสัญชาตินิวซีแลนด์ ทำงานกะคนนิวและออสล้วนๆ เราคือเอเชียและ non native speaker คนเดียวในบริษัท
ทำมาได้สองเดือนก็มีความสุขดีแรกๆคือชอบมากกกเพราะเหมือนเป็นบริษัทแรกที่เราได้ Shine เต็มตัว ได้ contribute เป็นตัวจริง งานยุ่ง ได้เรียนรู้งานด้าน CRM และด้าน Sales บริษัทเป็น Wholesaler ดีไซน์และนำเข้า Modern office furniture เป็น B2B ขายส่งมีบริษัทรายใหญ่ๆเป็นลูกค้า บริษัทโตเร็วมาก และโอกาสโต โอกาสขยายทีมมีสูงมาก ทีนี้ประเด็นคือมาถึงตอนนี้มันถึงเวลาที่ต้องเดินเรื่องวีซ่าเนื่องจากเหลือแค่สองเดือนก็คุยกับเจ้านาย และเอเจ้น เป็นระยะ โชคไม่ดีที่ออส Immigrationเพิ่งออกกฏมาว่าเค้าจะตัดและปรับเปลี่ยนตัววีซ่าทำงานที่เรากำลังจะสมัคร ก็เหมือนจะทำไม่ได้ จึงต้องเปลี่ยนแนวทาง และเหมือนว่าถ้าเราจะทำวีซ่าทำงานอยู่จะต้องทำตัวที่เราต้องย้ายไปอยู่ที่อีกออฟฟิศนึงซึ่งเป็นเมืองที่ออกมาจากเมลเบินประมาน ชม กว่า ข้อดีคือถ้าวีซ่าผ่านเราจะได้ PR เลยทันที แต่ต้องทำงานกับเค้าสองปี ไม่งั้นถูกเอาวีซ่าคืน เพราะฉะนั้นช้อยส์นี้เราต้องทำกับเจ้านายนี้เป็นเวลาสามปีอย่างต่ำ แต่เราต้องออกค่าวีซ่าเองเนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าเจ้านายต้องออก ตัวเค้าก็ไม่ได้เตรียมใจว่าต้องออก เพราะงานตำแหน่งเราเค้าก็จ้างคนออสก็ได้เค้าก็ไม่ได้เตรียมตัวมาออกค่าใช้จ่ายเป็นหมื่นๆเหรียญตรงนี้
พอถึงจุดนี้เรามานั่งถามตัวเองจริงๆว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการจริงๆไหมก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปเพราะไม่ใช่เงินน้อยๆและนึกถึงโอกาสอื่นๆที่เราจะเสียไป กับบางคนเค้าหาวิธีหลายอย่างเพื่อให้ได้อยู่ที่นี่และเป็นคนที่นี่ แต่เราไม่แน่ใจว่าเราต้องการแบบนั้นไหม
เราเกิดอาการ Self-doubt เพราะความรู้สึกตอนนี้คือเราอยู่นี่มานานพอสมควรและอิ่มตัวมากๆกับชีวิตที่ออส ทั้งเหงา และโดดเดี่ยว เราเพิ่งเลิกกับแฟนเมื่อหกเดือนที่แล้ว คบกันจริงจังมาสองปีกว่า ตอนนี้คือคิดถึงสังคมเพื่อนและครอบครัวที่ไทย Mix emotion มันเหมือนกับไฟในตัวมันมอด ความตื่นเต้นในการใช้ชีวิตอยู่ในที่ใหม่ๆมันไม่มีแล้ว มันเหมือนกับกลับมาอยู่ในComfort zone อีกครั้ง เราไม่ได้มีเพื่อนมากที่นี่ เพื่อนที่เป็นบัดดี้ไปไหนมาไหนด้วยคือไม่มี เพราะคนๆนั้นคือแฟนเก่าเรา เรากลัวว่าการย้ายไปนอกเมลเบินมันจะยิ่งทำให้เรา Depress เพราะไม่มีใครเลย ไม่รู้จักใครเลยเข้าไปใหญ่เป็นเมืองไซส์กลางไม่ใหญ่เหมือนเมลเบินหรือซิดนีย์
ส่วนตัวคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับองค์กรการทำงานแบบคนไทย อีกช้อยส์นึงที่เราคิดไว้คือการพยายามหางานทำที่สิงคโปร์/ฮ่องกง เอาตัวเองไปอยู่ที่ใหม่ และเป็นที่ที่ดูมีโอกาสในความก้าวหน้าในด้านการงานมากกว่าที่ออส ยังได้ใช้ภาษา ใกล้ไทย และเป็นวัฒนธรรมการทำงานแบบ International ที่เราชอบ ที่ออสเรามองไม่เห็นว่าวันหนึ่งจะได้ขึ้นไปตำแหน่งสูงๆแบบที่เราอาจจะหาได้ในไทยหรือในเอเชีย ประเด็นคือเราก็ยังไม่มีงานในมือ ไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะได้ ถ้าเลือกทางนี้คือทิ้งการทำวีซ่าที่นี่ โอกาสในการได้PR และประสบการณ์การทำงานที่ออส ก็คงต้องเริ่มมุ่งมั่นหางาน MNC ในไทย หรือ ในสิงอย่างจริงจัง รายได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แน่นอนถ้าทำงานในไทยรายได้จะน้อยลงมาก ที่สิงเท่าที่ดูเหมือนรายได้จะหายไป 40%แต่ค่าใช้จ่ายก็ลดลงมานิดนึง
เรื่องตัวงาน งานที่ทำอยู่ไม่ใช่ ultimate goal แต่คือทำได้และยังสนุกยังอยากเรียนรู้อยู่ สุดท้ายแล้วยังอยากลองทำในสาย HR/ Recruitmentแบบที่เรียนจบมา เราอายุ 28 ตอนนี้รู้สึกเหมือนสะเปะสะปะ ทำหลาย industry แต่ไม่solid สักอย่าง เป้าหมายระยะยาวของเราคือการได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานในระดับManagement เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ อยากลองได้ไปทำงานในที่ต่างๆรอบโลกเหมือนที่เด็กฝรั่งได้มีโอกาสทำกัน (ดูเหมือนฝันไกล แต่เราก็มุ่งมั่นว่าอยากทำให้มันเป็นจริง) เราเคยเจอคนไทยที่เป็น Chief Marketing Officer ของบริษัทการเงินรายใหญ่มากที่ออส คือเค้าเป็น Inspirational ที่ดีมาก
มาถึงจุดนี้คือคุยหลายคนมากแล้ว ลิสต์ข้อดีข้อเสีย มาคิดและไตร่ตรอง ก็เลยอยากลองเอามาถามเพื่อนๆที่นี่ดูว่ามีความเห็นอย่างไร
ขอถามความเห็นเรื่องการทำงานในต่างประเทศ พร้อมแชร์ประสบการณ์การทำงานออฟฟิศในออสเตรเลียแบบคร่าวๆ
ก่อนเข้าประเด็นขอเล่าBackground คร่าวๆก่อนเพื่อให้รู้ว่าเรามีความเป็นมาอย่างไรประกอบการให้คำปรึกษา และเผื่อเป็นการแชร์ประสบการณ์การทำงานต่างประเทศแบบคร่าวๆให้เพื่อนๆได้ฟังกัน เราอยู่ที่ออสเตรเลียได้5ปีกว่าแล้วอยู่ซิดนีย์ ตอนแรกก็มา Work&Holiday ได้หนึ่งปีแล้วก็กลับมาเรียนต่อปริญญาโท จบMaster of Commerce, HR & Marketing
ตัวเองส่วนตัวเป็นคนค่อนข้างทะเยอทะยานในแง่ของการพยายามขวนขวายโอกาสให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น ไม่กลัวความลำบาก กล้าเสี่ยง ชอบผจญภัย ชอบเรียนรู้โลกใหม่ๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆได้ไม่ยาก พยายามเอาตัวเองออกมาจาก Comfort Zone จากครอบครัว สังคมแบบเดิมๆ ชอบความท้าทาย และสนุกกับการได้เอาตัวเองออกมาเผชิญกับโลกข้างนอก สู้ด้วยตัวเอง ทำงานได้ดีเมื่ออยู่ภายใต้ความกดดัน ก่อนมาที่นี่ ตอนเรียนป ตรี ก็มีโอกาสได้ไป Work & Travel ที่อเมริกา สุดแสนจะลำบาก แต่ไม่เข็ดไปถึงสามรอบ บอกก่อนว่าที่บ้านไม่มีฐานะเลย แม่เปิดร้านอาหารเล็กๆ เวลาไปโครงการแบบนี้คือเหมือนขอยืมเงินแม่ก่อนแล้วก็ทำงานเก็บเงินมาใช้เค้าคืน ถึงได้ไปหลายรอบ ตัดภาพมาที่ชีวิตที่ออส ปีแรกอย่างลำบาก (เช่นเคย)แต่สนุก มาปีแรกก็ทำงานเก็บเงินอย่างหนักหน่วงเพราะอยากเรียนโท (ในอนาคตอาจจะทำรีวิวถึงชีวิตเด็กเวิคฮอลิเดย์ทำอย่างไรให้เก็บเงินเรียนป โทเมืองนอกได้ แบบแทบไม่ได้ทำร้านไทยและวิธีการเอาตัวรอด) ตอนนั้นคิดว่าอยากมีอนาคตดีๆ และคิดว่าวุฒิป ตรี คือสิ่งที่ชอบแต่ยังไม่ใช่สำหรับอนาคต ไม่รู้ผิดหรือถูกเอาเงินที่ทำมาลงทุนกับการเรียนต่อ มาตอนนี้มองกลับไปก็ไม่ได้คิดว่าตัดสินใจผิดอะไร ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีการลงทุนอะไรดีเท่ากับการลงทุนกับการศึกษาและความรู้
เงินที่เก็บได้ตอนมาปีแรกก็ยังไม่ได้ครอบคลุมค่าเทอมทั้งหมด แต่ จขกท วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้วว่าถ้าจะให้รอดต้องมีเท่าไหร่ ใช้เท่าไหร่ เก็บเท่าไหร่ ให้ตัวเองไม่เดือดร้อนและมีสมาธิกับการเรียน ในระหว่างที่เรียนไปก็ทำงานเต็มเวลาไปด้วยตลอด ชีวิตตั้งแต่จบ ป ตรี ไม่เคยขอเงินพ่อแม่อีก ตั้งแต่มาเวิคฮอลิเดย์และจนส่งตัวเองเรียนป โทเมืองนอกจบ คือการหามาด้วยตัวเองทุกบาททุกสตางค์ รับผิดชอบตัวเอง ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าบ้าน ค่ากิน ที่สำคัญ ค่าเทอม มาถึงตรงนี้จึงอยากยืนยันว่าใครอยากทำงานเก็บเงินเองเรียนป โทเมืองนอก เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องมุมานะ อดทน พยายาม และ commit จริงๆ
เรียนจบรัฐบาลก็ให้วีซ่าทำงานสองปีหาประสบการณ์หลังเรียนจบโท มาถึงตอนนี้ก็เอาอีกและ บอกตัวเองว่าพอแล้วกับการทำงานคาเฟ่เพื่อให้ได้เงินไปวันๆ ถึงเวลากับการหาประสบการณ์งานออฟฟิศแบบCorporate world จริงจังสักที แต่...ประเด็นคือ จขกทไม่มีประสบการณ์ทำงานมาจากไทยเลย จบป ตรีก็ไปตรงนู้นทีที่อเมริกา แล้วก็มาตรงนี้ทีที่ออส การที่จะได้งานออฟฟิศที่ออสสำหรับบางคนที่เค้ามีประสบการณ์มานานยังเรียกว่ายากมากๆ อันนี้คือเรียกได้ว่าจบใหม่เลย เป็นต่างชาติ Non-native speaker ไม่มีวีซ่าเป็น PR ถึงตรงนี้ก็รายละเอียดเยอะกับการทำอย่างไรให้ได้เข้าทำงานกับบริษัทต่างชาติที่แข่งกับต่างชาติจริงๆ ไม่ใช่งานที่ต้องใช้ภาษาไทยหรือบริษัทคนไทย (คิดไว้ว่าจะเขียนเรื่องตรงนี้เหมือนกันเผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่น) สุดท้ายก็ได้งานจริงจังงานแรก สัมภาษณ์ผ่านได้ไปทำงานเป็น Intern ฟรีๆ สามเดือน ใช่แล้วคะไม่ได้เงิน ให้กับบริษัท Executive Search specialising in Financial services industry (เผื่อใครไม่รู้ Executive Search คือ บริษัทจัดหาผู้บริหาร CEO CIO หรือตำแหน่งงานในระดับหัวหน้างานและตำแหน่งSenior ต่างๆ) งานนี้คือที่สุด ได้เรียนรู้เยอะมากกกกกเพราะหนึ่งคืองานออฟฟิศงานแรก สองทำงานกะต่างชาติแบบ Very High Professional ของจริงเนื่องด้วยกลุ่มลูกค้าคือถือว่าPowerful มากในออสเตรเลีย สามด้วยตัวงานและเนื้องาน ที่ต้องDeal& Communicate กับบุคคลระดับท๊อปๆของวงการธุรกิจของAustralia ทำให้ต้องพยายามพัฒนาตัวเองและถีบตัวเองให้มากที่สุด ให้เค้ายอมรับและไม่ให้เค้าเสียใจที่รับเรามา ไม่ให้เค้าคิดว่าเราทำไมได้เพราะเราเป็นเอเชียหรือเพราะเราไม่พูดอังกฤษเป็นภาษาหลัก เอาง่ายๆไม่อยากให้เค้ามาดูถูกได้นั่นเอง ผลคือเจ้านายชอบผลงานและเห็นความพยายามจึง Offer ให้ทำงานต่อเป็น Team support & Market researcher แต่เพราะเค้าไม่มีตำแหน่ง Full time ว่าง จึงได้ทำแบบ Part time 3 วันต่อสัปดาห์ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ทำมาเรื่อยๆเก็บประสบการณ์มาได้หนึ่งปีได้ไว้วางใจให้รับผิดชอบงานมากขึ้น สุดท้ายบริษัทมีปัญหาการเมืองภายในกับบริษัทแม่ เจ้านายผู้ก่อตั้งสาขาลาออกและบริษัทแม่ไม่คิดจะเอาสาขานี้ไว้ จึงได้เวลาหางานใหม่ วีซ่าก็นับถอยหลังลงเรื่อยๆ นั่นหมายถึงความยากมากขึ้นในการหางาน เพราะงานส่วนใหญ่เวลาเค้าโทรมาเค้าจะถามก่อนเลยว่าถือ PR ไหม ถ้าไม่มี แล้ววีซ่าเหลือน้อยบริษัทส่วนใหญ่คือตัดเลย เค้าไม่อยากมานั่งSponsorใคร
จขกท ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนก็ได้งานที่สอง งานนี้ทำกับบริษัทกล้องรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นที่ทุกคนน่าจะรู้จัก เข้าไปทำ on Full time 3 months contract ในตำแหน่ง Service Administrator องค์กรใหญ่มากกก และทุกคนคือออสซี่ ถือเป็น ปสก ที่ดีมากๆอีกครั้งที่ได้เข้ามาทำใน Scale บริษัทใหญ่แบบนี้ และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ถึงตอนนี้คือคิดว่าทำไปเรื่อยๆให้หมดคอนแทรค เพราะเดี๋ยวก็กลับไทยแล้วเพราะวีซ่าหมด ทำๆไปพักหนึ่ง เจ้านายก็มาบอกว่าทำงานดีจะต่อคอนแทรคให้อีกสองเดือนสนใจไหม ซึ่งแน่นอนก็ต้องเซย์เยส
ทีนี้ในเวลาเดียวกันมีอีกบริษัทเข้ามาติดต่อซึ่งคือบริษัทที่ทำอยู่ปัจจุบัน ก็ผ่านการสัมภาษณ์รอบแรกๆ สอบอะไรต่างๆนานา (เดี๋ยวจะพยายามเขียนกระทู้การสัมภาษณ์งานกับบริษัทที่ออสเตรเลียทั้งหมดทั้งที่สมหวังและไม่ได้) จนพอรู้ว่าจะได้เข้ารอบลึกๆ จึงตัดสินใจบอกเจ้านายว่าวีซ่าจะหมดอีกสี่เดือนนะ คือไม่อยากให้เค้าเสียเวลากับเรา ถ้าไม่คิดจะทำวีซ่า เราก็บอกให้เค้าไปดูข้อมูลมาเพราะมันคือเรื่องใหญ่ เจ้านายก็โอเค บริษัทนี้ออกแนว Family business จึงค่อนข้างซัพพอร์ตลูกจ้าง สุดท้ายก็ได้งานนี้ เป็น Sale Support Administrator (Permanent full time) จึงเป็นงานฟูลไทมงานแรกที่ได้ทำ บริษัทสัญชาตินิวซีแลนด์ ทำงานกะคนนิวและออสล้วนๆ เราคือเอเชียและ non native speaker คนเดียวในบริษัท
ทำมาได้สองเดือนก็มีความสุขดีแรกๆคือชอบมากกกเพราะเหมือนเป็นบริษัทแรกที่เราได้ Shine เต็มตัว ได้ contribute เป็นตัวจริง งานยุ่ง ได้เรียนรู้งานด้าน CRM และด้าน Sales บริษัทเป็น Wholesaler ดีไซน์และนำเข้า Modern office furniture เป็น B2B ขายส่งมีบริษัทรายใหญ่ๆเป็นลูกค้า บริษัทโตเร็วมาก และโอกาสโต โอกาสขยายทีมมีสูงมาก ทีนี้ประเด็นคือมาถึงตอนนี้มันถึงเวลาที่ต้องเดินเรื่องวีซ่าเนื่องจากเหลือแค่สองเดือนก็คุยกับเจ้านาย และเอเจ้น เป็นระยะ โชคไม่ดีที่ออส Immigrationเพิ่งออกกฏมาว่าเค้าจะตัดและปรับเปลี่ยนตัววีซ่าทำงานที่เรากำลังจะสมัคร ก็เหมือนจะทำไม่ได้ จึงต้องเปลี่ยนแนวทาง และเหมือนว่าถ้าเราจะทำวีซ่าทำงานอยู่จะต้องทำตัวที่เราต้องย้ายไปอยู่ที่อีกออฟฟิศนึงซึ่งเป็นเมืองที่ออกมาจากเมลเบินประมาน ชม กว่า ข้อดีคือถ้าวีซ่าผ่านเราจะได้ PR เลยทันที แต่ต้องทำงานกับเค้าสองปี ไม่งั้นถูกเอาวีซ่าคืน เพราะฉะนั้นช้อยส์นี้เราต้องทำกับเจ้านายนี้เป็นเวลาสามปีอย่างต่ำ แต่เราต้องออกค่าวีซ่าเองเนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าเจ้านายต้องออก ตัวเค้าก็ไม่ได้เตรียมใจว่าต้องออก เพราะงานตำแหน่งเราเค้าก็จ้างคนออสก็ได้เค้าก็ไม่ได้เตรียมตัวมาออกค่าใช้จ่ายเป็นหมื่นๆเหรียญตรงนี้
พอถึงจุดนี้เรามานั่งถามตัวเองจริงๆว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการจริงๆไหมก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปเพราะไม่ใช่เงินน้อยๆและนึกถึงโอกาสอื่นๆที่เราจะเสียไป กับบางคนเค้าหาวิธีหลายอย่างเพื่อให้ได้อยู่ที่นี่และเป็นคนที่นี่ แต่เราไม่แน่ใจว่าเราต้องการแบบนั้นไหม
เราเกิดอาการ Self-doubt เพราะความรู้สึกตอนนี้คือเราอยู่นี่มานานพอสมควรและอิ่มตัวมากๆกับชีวิตที่ออส ทั้งเหงา และโดดเดี่ยว เราเพิ่งเลิกกับแฟนเมื่อหกเดือนที่แล้ว คบกันจริงจังมาสองปีกว่า ตอนนี้คือคิดถึงสังคมเพื่อนและครอบครัวที่ไทย Mix emotion มันเหมือนกับไฟในตัวมันมอด ความตื่นเต้นในการใช้ชีวิตอยู่ในที่ใหม่ๆมันไม่มีแล้ว มันเหมือนกับกลับมาอยู่ในComfort zone อีกครั้ง เราไม่ได้มีเพื่อนมากที่นี่ เพื่อนที่เป็นบัดดี้ไปไหนมาไหนด้วยคือไม่มี เพราะคนๆนั้นคือแฟนเก่าเรา เรากลัวว่าการย้ายไปนอกเมลเบินมันจะยิ่งทำให้เรา Depress เพราะไม่มีใครเลย ไม่รู้จักใครเลยเข้าไปใหญ่เป็นเมืองไซส์กลางไม่ใหญ่เหมือนเมลเบินหรือซิดนีย์
ส่วนตัวคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับองค์กรการทำงานแบบคนไทย อีกช้อยส์นึงที่เราคิดไว้คือการพยายามหางานทำที่สิงคโปร์/ฮ่องกง เอาตัวเองไปอยู่ที่ใหม่ และเป็นที่ที่ดูมีโอกาสในความก้าวหน้าในด้านการงานมากกว่าที่ออส ยังได้ใช้ภาษา ใกล้ไทย และเป็นวัฒนธรรมการทำงานแบบ International ที่เราชอบ ที่ออสเรามองไม่เห็นว่าวันหนึ่งจะได้ขึ้นไปตำแหน่งสูงๆแบบที่เราอาจจะหาได้ในไทยหรือในเอเชีย ประเด็นคือเราก็ยังไม่มีงานในมือ ไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะได้ ถ้าเลือกทางนี้คือทิ้งการทำวีซ่าที่นี่ โอกาสในการได้PR และประสบการณ์การทำงานที่ออส ก็คงต้องเริ่มมุ่งมั่นหางาน MNC ในไทย หรือ ในสิงอย่างจริงจัง รายได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แน่นอนถ้าทำงานในไทยรายได้จะน้อยลงมาก ที่สิงเท่าที่ดูเหมือนรายได้จะหายไป 40%แต่ค่าใช้จ่ายก็ลดลงมานิดนึง
เรื่องตัวงาน งานที่ทำอยู่ไม่ใช่ ultimate goal แต่คือทำได้และยังสนุกยังอยากเรียนรู้อยู่ สุดท้ายแล้วยังอยากลองทำในสาย HR/ Recruitmentแบบที่เรียนจบมา เราอายุ 28 ตอนนี้รู้สึกเหมือนสะเปะสะปะ ทำหลาย industry แต่ไม่solid สักอย่าง เป้าหมายระยะยาวของเราคือการได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานในระดับManagement เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ อยากลองได้ไปทำงานในที่ต่างๆรอบโลกเหมือนที่เด็กฝรั่งได้มีโอกาสทำกัน (ดูเหมือนฝันไกล แต่เราก็มุ่งมั่นว่าอยากทำให้มันเป็นจริง) เราเคยเจอคนไทยที่เป็น Chief Marketing Officer ของบริษัทการเงินรายใหญ่มากที่ออส คือเค้าเป็น Inspirational ที่ดีมาก
มาถึงจุดนี้คือคุยหลายคนมากแล้ว ลิสต์ข้อดีข้อเสีย มาคิดและไตร่ตรอง ก็เลยอยากลองเอามาถามเพื่อนๆที่นี่ดูว่ามีความเห็นอย่างไร