.
.
.
"ผมเบื่องานที่ทำ"
.....
ผมเฝ้าบอกตัวเองอยู่อย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว
เล่าให้ฟังก่อนนะครับ ว่าผมเรียนจบด้านถ่ายภาพ
ระหว่างเรียนก็รับงานถ่ายรูปขำๆ หาเงินกินขนมเล่นๆ ระหว่างอยู่ต่างประเทศ
พอเรียนจบก็กลับมาช่วยงานที่บ้านเป็นธุรกิจด้านสื่อสิ่งพิมพ์ และพวก Export Sculpture
ระหว่างที่ทำงานไปผมก็รู้สึกว่าผมไม่ชอบสไตล์งานแบบนี้
ประกอบกับมีเพื่อนชวนร่วมหุ้นเปิด Production House ถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอสำหรับงานโฆษณา
ผมทำมันตั้งแต่จัดพร็อพ ลงโลเกชั่น เป็น AE เป็นช่างภาพ จัดไฟ จนถึงตัดต่อ
ผมรู้สึกสนุกและหลงใหลในงานโฆษณามาก
จึงขอที่บ้านเรียนต่อด้านโฆษณาที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่มี ณเดชเป็นพรีเซนเตอร์ โดยเลิกขอเงินจากที่บ้านแล้ว
ระหว่างเรียนผมก็ยังทำงาน Production House อยู่แต่ทีมเริ่มใหญ่ขึ้น ผมไม่ต้องลงหน้างานเหมือนแต่ก่อนแล้ว
บางวันเรียนเสร็จ ก็ขับรถไป Pitching งานต่อ โคตรเหนื่อยแต่สนุกมาก
หลังเรียนจบ Production House เริ่มอิ่มตัวแล้ว
เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนเริ่มแตกไลน์ไปทำบริษัทของตัวเองบ้าง กลับไปเรียนต่อบ้าง
ผมจึงออกเดินทางหาความท้าทายใหม่ให้กับชีวิตด้วยการไปสมัครเป็น AM (Account Manager) ที่เอเจนซี่โฆษณาต่างชาติแห่งหนึ่ง
พอเข้ามาอยู่ในธุรกิจโฆษณาเต็มตัวแล้วผมกลับรู้สึกว่ามันไม่สนุกอย่างที่คิดเลย
งานท้าทายจริง แต่ก็เหนื่อยกับคนและ Culture บางอย่างของเอเจนซี่
เหนื่อยกับลูกค้า เหนื่อยกับทีม เหนื่อยกับหลายๆ สิ่ง
.
"หรือกูไม่เหมาะกับที่นี่วะ ?"
.
...
ผมตั้งคำถามนี้กับเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัย ม.ปลาย
แต่ด้วยโอกาสที่เจ้านายหยิบยื่นให้ ด้วยอายุกับประสบการณ์ ผมคงไม่ได้เป็น AM ถ้าเจ้านายไม่ให้โอกาส
และนั่นก็ทำให้ผมกดดันตัวเองจากความคาดหวังของเจ้านาย
ผมรู้สึกว่า ... ถ้าผมตัดสินใจลาออก นั่นเท่ากับผมแพ้
จะกลับไปจับงาน Production House เหมือนเดิมก็กลัวจะไม่สำเร็จ
เพราะมันผ่านช่วง Peak ของงานตรงนั้นมาแล้ว แม้ว่าเพื่อนอีกสองคนจะชวนให้กลับมาลองทำต่อด้วยกัน
จะกลับไปทำงานที่บ้านก็กลัวจะถูกมองว่าไม่โตเสียที ต้องกลับมากินเงินเดือนที่บ้าน
ผมเริ่มขายงานกับครีเอทีฟที่เป็นโลเกชั่นต่างประเทศมากขึ้น
เพราะผมลาพักร้อนไปจนหมดแล้ว จึงต้องหาทางไปเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนผู้คนที่พบเจอ
เอาจริงๆ มันมาถึงจุดที่เหนื่อยจนเผลอหลับคาพวงมาลัยรถกลางสี่แยกมาแล้ว
....
ผมเริ่มกลับมาหยิบกล้องแล้วออกไปถ่ายรูปบ่อยขึ้น
มีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็พาตัวเองไปพักใจที่ริมทะเล
"การมีใครสักคนข้างๆ ชีวิตจะช่วยให้ดีขึ้นนะ" - เพื่อนสนิทผมบอก
ผมใช้ชีวิตคนเดียวแบบนี้มาห้าปีกว่า ผมก็รู้สึกว่ามันสบายตัวดี
ไม่ต้องรอใคร อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องคอยรายงานใคร ชีวิตแบบนี้มันเหมาะกับคนอย่างผมแล้ว
เรื่องเซ็กส์ ผมก็มีความสัมพันธ์แบบ Friend with Benefit กัยหมอคนนึงอยู่แล้ว
ดังนั้นผมจึงไม่ได้เรียกร้องหรือโหยหาการมีแฟน ซ้ำยังกลับมองว่ามันคือภาระ
.
.
.
ความเครียดค่อยๆ ทับถมกันเรื่องๆ จนก่อตัวเป็นโรคซึมเศร้า
ด้วยพื้นฐานของความเป็นคน Perfectionism ผมจึงเครียดกับการทำงานมากจนสุดท้ายก็ต้านมันไว้ไม่อยู่
...
....
......
ผมตัดสินใจฆ่าตัวตาย
โชคดีที่ชีวิตผมยังมีเพื่อน และพาผมไปล้างท้องที่โรงพยาบาลได้ทัน
ก่อนที่ผมจะถูกส่งตัวเข้าไปบำบัดสภาพจิตใจในสถาบันจิตเวชแห่งหนึ่ง
ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลแม้ว่าความเครียดจะน้อยลง แต่ความกังวลกลับเพิ่มมากขึ้น
ผมทิ้งงานมาแบบที่ไม่ได้บอกใคร และผมไม่สามารถติดต่อใครได้เลย
ทีมจะเป็นยังไงบ้าง ? เจ้านายจะตามหาผมไหม ? ลูกค้าจะติดต่อผมยังไง ใครดูแลแอคเค้าท์แทน
ผมอยู่ที่สถาบันจิตเวชด้วยระยะเวลา 5 สัปดาห์ก่อนจะขอคุณหมอออกมา
ถึงแม้ว่าคุณหมอจะให้ผมพักงานยาวๆ แต่ผมกลับพักได้ประมาณสองอาทิตย์
เป็นสองอาทิตย์ที่ได้ชาร์จแบตให้กับชีวิต
ผมพาตัวเองไปหลีเป๊ะ ไปเขาหลัก ไปหมู่เกาะสุรินทร์ ไปหมู่เกาะอ่างทอง ข้ามฝั่งไปมาเลเซีย
ก่อนที่สุดท้ายเจ้านายจะโทรมาตามให้กลับไปทำงานต่อ
"พี่แล้วแต่เฮ่ยนะ ถ้าเฮ่ยยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดว่ายังไหวก็อยากให้กลับมาร่วมทีมกัน"
- เจ้านายพูดผ่านสายโทรศัพท์
ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่สองวันก่อนจะโทรกลับไป
.
.
.
ทุกวันนี้ผมยังต้องรับประทานยาและพบจิตแพทย์เป็นประจำอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปี
ทุกวันนี้ผมกลับเข้ามาทำงานที่เอเจนซี่โฆษณาเดิม กับทีมใหม่
ผมเพิ่งพาทีมไปถ่ายงานที่ญี่ปุ่นและกำลังจะไปต่อที่ฝรั่งเศส
ว่ากันว่า
หลังพายุร้าย ท้องฟ้าจะสดใส
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกทีผมก็มีกล้องพกอยู่ข้างกายในชีวิตประจำวัน
ในกระเป๋าทำงานผมมีพาสปอร์ตเล่มหนาพกอยู่ตลอดเวลา
ผมโหยหาการท่องเที่ยว ผมโหยหาท้องทะเล ผมโหยหาดาดฟ้าตึกสูง
.... และผมก็ออกเดินทางทุกครั้งที่มีเวลา ....
......
มองย้อนกลับไปในวันนั้น
ถ้าวันนั้นเพื่อนช่วยผมไว้ไม่ทัน ผมไม่รู้ว่าจะมีใครเสียใจกับการจากใจของผมไหม ?
แต่ผมรู้แน่ๆ ว่าตัวผมเองจะต้องเสียใจที่พลาดโอกาสดีๆ ไป
ถ้าวันนี้คุณรู้สึกว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายกับคุณเหลือเกิน
เชื่อผมเถอะครับว่าความทุกข์มันอยู่กับเราไม่นานหรอก เดี๋ยวมันก็จากไป
...
... ความสุขก็เช่นกัน ...
: )
อย่าเพิ่งยอมแพ้หรือหมดหวัง
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันพรุ่งนี้ที่เปิดประตูออกไป จะมีอะไรรอเราอยู่บ้าง
และไม่แน่ว่าใครสักคนอาจจะยืนรอคุณอยู่ที่ตรงนั้นก็ได้
....
.... ในวันที่ผมกำลังจะแพ้ ....
.
.
"ผมเบื่องานที่ทำ"
.....
ผมเฝ้าบอกตัวเองอยู่อย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว
เล่าให้ฟังก่อนนะครับ ว่าผมเรียนจบด้านถ่ายภาพ
ระหว่างเรียนก็รับงานถ่ายรูปขำๆ หาเงินกินขนมเล่นๆ ระหว่างอยู่ต่างประเทศ
พอเรียนจบก็กลับมาช่วยงานที่บ้านเป็นธุรกิจด้านสื่อสิ่งพิมพ์ และพวก Export Sculpture
ระหว่างที่ทำงานไปผมก็รู้สึกว่าผมไม่ชอบสไตล์งานแบบนี้
ประกอบกับมีเพื่อนชวนร่วมหุ้นเปิด Production House ถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอสำหรับงานโฆษณา
ผมทำมันตั้งแต่จัดพร็อพ ลงโลเกชั่น เป็น AE เป็นช่างภาพ จัดไฟ จนถึงตัดต่อ
ผมรู้สึกสนุกและหลงใหลในงานโฆษณามาก
จึงขอที่บ้านเรียนต่อด้านโฆษณาที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่มี ณเดชเป็นพรีเซนเตอร์ โดยเลิกขอเงินจากที่บ้านแล้ว
ระหว่างเรียนผมก็ยังทำงาน Production House อยู่แต่ทีมเริ่มใหญ่ขึ้น ผมไม่ต้องลงหน้างานเหมือนแต่ก่อนแล้ว
บางวันเรียนเสร็จ ก็ขับรถไป Pitching งานต่อ โคตรเหนื่อยแต่สนุกมาก
หลังเรียนจบ Production House เริ่มอิ่มตัวแล้ว
เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนเริ่มแตกไลน์ไปทำบริษัทของตัวเองบ้าง กลับไปเรียนต่อบ้าง
ผมจึงออกเดินทางหาความท้าทายใหม่ให้กับชีวิตด้วยการไปสมัครเป็น AM (Account Manager) ที่เอเจนซี่โฆษณาต่างชาติแห่งหนึ่ง
พอเข้ามาอยู่ในธุรกิจโฆษณาเต็มตัวแล้วผมกลับรู้สึกว่ามันไม่สนุกอย่างที่คิดเลย
งานท้าทายจริง แต่ก็เหนื่อยกับคนและ Culture บางอย่างของเอเจนซี่
เหนื่อยกับลูกค้า เหนื่อยกับทีม เหนื่อยกับหลายๆ สิ่ง
.
"หรือกูไม่เหมาะกับที่นี่วะ ?"
.
...
ผมตั้งคำถามนี้กับเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัย ม.ปลาย
แต่ด้วยโอกาสที่เจ้านายหยิบยื่นให้ ด้วยอายุกับประสบการณ์ ผมคงไม่ได้เป็น AM ถ้าเจ้านายไม่ให้โอกาส
และนั่นก็ทำให้ผมกดดันตัวเองจากความคาดหวังของเจ้านาย
ผมรู้สึกว่า ... ถ้าผมตัดสินใจลาออก นั่นเท่ากับผมแพ้
จะกลับไปจับงาน Production House เหมือนเดิมก็กลัวจะไม่สำเร็จ
เพราะมันผ่านช่วง Peak ของงานตรงนั้นมาแล้ว แม้ว่าเพื่อนอีกสองคนจะชวนให้กลับมาลองทำต่อด้วยกัน
จะกลับไปทำงานที่บ้านก็กลัวจะถูกมองว่าไม่โตเสียที ต้องกลับมากินเงินเดือนที่บ้าน
ผมเริ่มขายงานกับครีเอทีฟที่เป็นโลเกชั่นต่างประเทศมากขึ้น
เพราะผมลาพักร้อนไปจนหมดแล้ว จึงต้องหาทางไปเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนผู้คนที่พบเจอ
เอาจริงๆ มันมาถึงจุดที่เหนื่อยจนเผลอหลับคาพวงมาลัยรถกลางสี่แยกมาแล้ว
....
ผมเริ่มกลับมาหยิบกล้องแล้วออกไปถ่ายรูปบ่อยขึ้น
มีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็พาตัวเองไปพักใจที่ริมทะเล
"การมีใครสักคนข้างๆ ชีวิตจะช่วยให้ดีขึ้นนะ" - เพื่อนสนิทผมบอก
ผมใช้ชีวิตคนเดียวแบบนี้มาห้าปีกว่า ผมก็รู้สึกว่ามันสบายตัวดี
ไม่ต้องรอใคร อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องคอยรายงานใคร ชีวิตแบบนี้มันเหมาะกับคนอย่างผมแล้ว
เรื่องเซ็กส์ ผมก็มีความสัมพันธ์แบบ Friend with Benefit กัยหมอคนนึงอยู่แล้ว
ดังนั้นผมจึงไม่ได้เรียกร้องหรือโหยหาการมีแฟน ซ้ำยังกลับมองว่ามันคือภาระ
.
.
.
ความเครียดค่อยๆ ทับถมกันเรื่องๆ จนก่อตัวเป็นโรคซึมเศร้า
ด้วยพื้นฐานของความเป็นคน Perfectionism ผมจึงเครียดกับการทำงานมากจนสุดท้ายก็ต้านมันไว้ไม่อยู่
...
....
......
ผมตัดสินใจฆ่าตัวตาย
โชคดีที่ชีวิตผมยังมีเพื่อน และพาผมไปล้างท้องที่โรงพยาบาลได้ทัน
ก่อนที่ผมจะถูกส่งตัวเข้าไปบำบัดสภาพจิตใจในสถาบันจิตเวชแห่งหนึ่ง
ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลแม้ว่าความเครียดจะน้อยลง แต่ความกังวลกลับเพิ่มมากขึ้น
ผมทิ้งงานมาแบบที่ไม่ได้บอกใคร และผมไม่สามารถติดต่อใครได้เลย
ทีมจะเป็นยังไงบ้าง ? เจ้านายจะตามหาผมไหม ? ลูกค้าจะติดต่อผมยังไง ใครดูแลแอคเค้าท์แทน
ผมอยู่ที่สถาบันจิตเวชด้วยระยะเวลา 5 สัปดาห์ก่อนจะขอคุณหมอออกมา
ถึงแม้ว่าคุณหมอจะให้ผมพักงานยาวๆ แต่ผมกลับพักได้ประมาณสองอาทิตย์
เป็นสองอาทิตย์ที่ได้ชาร์จแบตให้กับชีวิต
ผมพาตัวเองไปหลีเป๊ะ ไปเขาหลัก ไปหมู่เกาะสุรินทร์ ไปหมู่เกาะอ่างทอง ข้ามฝั่งไปมาเลเซีย
ก่อนที่สุดท้ายเจ้านายจะโทรมาตามให้กลับไปทำงานต่อ
"พี่แล้วแต่เฮ่ยนะ ถ้าเฮ่ยยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดว่ายังไหวก็อยากให้กลับมาร่วมทีมกัน"
- เจ้านายพูดผ่านสายโทรศัพท์
ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่สองวันก่อนจะโทรกลับไป
.
.
.
ทุกวันนี้ผมยังต้องรับประทานยาและพบจิตแพทย์เป็นประจำอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปี
ทุกวันนี้ผมกลับเข้ามาทำงานที่เอเจนซี่โฆษณาเดิม กับทีมใหม่
ผมเพิ่งพาทีมไปถ่ายงานที่ญี่ปุ่นและกำลังจะไปต่อที่ฝรั่งเศส
ว่ากันว่า
หลังพายุร้าย ท้องฟ้าจะสดใส
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกทีผมก็มีกล้องพกอยู่ข้างกายในชีวิตประจำวัน
ในกระเป๋าทำงานผมมีพาสปอร์ตเล่มหนาพกอยู่ตลอดเวลา
ผมโหยหาการท่องเที่ยว ผมโหยหาท้องทะเล ผมโหยหาดาดฟ้าตึกสูง
.... และผมก็ออกเดินทางทุกครั้งที่มีเวลา ....
......
มองย้อนกลับไปในวันนั้น
ถ้าวันนั้นเพื่อนช่วยผมไว้ไม่ทัน ผมไม่รู้ว่าจะมีใครเสียใจกับการจากใจของผมไหม ?
แต่ผมรู้แน่ๆ ว่าตัวผมเองจะต้องเสียใจที่พลาดโอกาสดีๆ ไป
ถ้าวันนี้คุณรู้สึกว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายกับคุณเหลือเกิน
เชื่อผมเถอะครับว่าความทุกข์มันอยู่กับเราไม่นานหรอก เดี๋ยวมันก็จากไป
...
... ความสุขก็เช่นกัน ...
: )
อย่าเพิ่งยอมแพ้หรือหมดหวัง
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันพรุ่งนี้ที่เปิดประตูออกไป จะมีอะไรรอเราอยู่บ้าง
และไม่แน่ว่าใครสักคนอาจจะยืนรอคุณอยู่ที่ตรงนั้นก็ได้
....