ผ่านร้อนผ่านหนาวกับ 4 ฤดูในฮาร์บิน มอสโคแห่งตะวันออก

สวัสดีค่ะ อ้อมนะค้า (ยังจำกันได้อ้ะป่าววว ><) วันนี้จะกลับมาเล่าประสบการณ์ที่ได้มาเรียนภาษา ณ แดนมังกรตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานะค้า
          จากกระทู้ที่แล้ว (www.dek-d.com/board/view/3732424) เราได้เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของที่นี่ (เน้นเรื่องกินเป็นหลัก -..-)  แต่ครั้งนี้จะขอเน้นเรื่องการเรียนการสอนเนอะ ว่าที่นี่เค้าเรียนกันยังไง เรียนอะไรกันบ้าง ล้ะมหาลัยจัดกิจกรรมสนุกๆอะไรบ้างให้พวกเรา พร้อมเสิร์ฟประสบการณ์ความหนาวแบบสุดขั้วหัวใจของเมืองฮาร์บิน (อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ -30 องศาเซลเซียส) ความฟินของฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง และช่วงหน้าร้อนของเมืองนี้ที่อุณหภูมิพอๆกะบ้านเรา (ตอนช่วงหน้าฝน 555 --- ประมาณ 30 องศา) มาดูกันดีกว่าว่าเราอยู่ได้ยังงายยยยยย
          ด้วยความที่ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน อากาศอบอุ่นกำลังดี  มหาลัยเลยจัดทริปให้พวกเราไปปิกนิคกันที่ “เกาะพระอาทิตย์” หรือ 太阳岛 แต่ละคนก็เตรียมอาหารกลางวันกันไปเอง (มหาลัยออกค่ารถและค่าเข้าเกาะให้ --- ถ้าไปเองต้องจ่ายค่าเข้าประมาณคนละ 30หยวน) ที่เกาะนั้นจะคล้ายๆกับสวนสาธารณะบวกกับสวนสนุกย่อมๆ มีสระน้ำขนาดใหญ่ให้ถีบเรือเป็ดได้ด้วย ธรรมชาติสวยมากๆ แฮปปี้ ซึ่งเกาะนี้ติดอันดับหนึ่งในสิบของเกาะในจีนที่มีวิวสวยงามและมีขนาดใหญ่ ซึ่งพอไปล้ะก็คิดว่าสวยมากจิงๆ นอกจากได้ชมวิวแล้ว ยังได้เล่นเครื่องเล่นอีก ดี๊ดี ตอนนั้นไปเล่นเฮอร์ริเคนกับพี่ๆคนไทยด้วย หนุกดี 5555 ล้ะก็ได้ไปดูโซนต่างๆที่เค้าเอาสัตว์เลี้ยงมาโชว์ เช่น พวกกวาง กระรอก หงส์ขาวและดำ
          ก่อนอื่นขอเท้าความสั้นๆก่อนเนอะว่าเราเรียนอยู่ที่ไหนอะไรยังไง
[รูปนี้ถ่ายจากห้องที่พักอยู่ ตึกข้างๆเป็นหอของเด็กจีน ป.โท ป.เอก หน้าหอจะเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ไว้นั่งชิลๆ ...ส่วนลานที่มีคนเยอะๆคือลานกีฬากลางแจ้ง มีทั้งสนามบาส สนามเทนนิสและสนามวอลเลย์]


          ตอนนี้เราเรียนภาษาอยู่ที่เมืองฮาร์บิน ณ มหาวิทยาลัย  Harbin Institute of Technology [哈尔滨工业大学 ] ที่นี่จะเปิดสอนตั้งแต่คลาสระดับต้น  (A, B, C, C+) ระดับกลาง (D, E) และระดับสูง (F, G) แต่ละคลาสก็จะมีเด็กนักเรียนประมาณ 15 คน (ยิ่งคลาสสูงเด็กยิ่งน้อย) ในแต่ละปีก็จะมีทั้งภาคการศึกษาระยะยาว และระยะสั้น แบ่งเป็น
          คอร์สระยะยาว (ประมาณ 4 เดือนครึ่ง) :ภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วง (ประมาณวันที่ 1 กันยายน - 20 ธันวาคม) และ ฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงวันที่ 1 มีนาคม - 20มิถุนายน)
          คอร์สระยะสั้น (ประมาณ 1 เดือน):ภาคการศึกษาฤดูหนาว (ช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม) และภาคการศึกษาฤดูร้อน (ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม)

เตรียมตัวมาฮาร์บิน :
          ก่อนจะมาที่นี่เราขอคำปรึกษาจากพี่ๆเพจ study in harbin ซึ่งมีพี่คนไทยคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำและดำเนินการให้ฟรี เราให้พี่เค้าช่วยจัดการเรื่องกับทางมหาลัยให้ก่อน แล้วค่อยมาจ่ายค่าเรียนด้วยตัวเองตอนมาถึง พี่เอ็มช่วยดูแลทุกอย่างเลย ทั้งจองตั๋วเครื่องบิน (แบบตั๋วนักเรียนได้น้ำหนัก 46 กิโลกรัม)  ให้คำแนะนำเรื่องวีซ่าและการสมัครเรียน ตอนแรกก็แอบกังวลใจนะว่าจะโดนหลอกมั๊ย แต่คือตอนสมัครก็ไม่ได้จ่ายเงินเนอะ (คิดว่าคงไม่มีไรเสียหาย) ล้ะก็แค่รอรับเอกสารที่บ้าน มหาลัยก็จะส่งมาให้ทาง DHL ซึ่งก่อนส่งพี่เค้าจะแจ้งเลข tracking number มาให้เราก่อนเลยตามเอกสาร พอได้เอกสารก็มั่นใจแล้วว่าไม่โดนหลอกแน่นอน อิอิ  
          วันแรกที่มาถึงพี่เอ็มก็มารับที่สนามบิน และพาเข้าหอ (หอพักนะจ้ะ ม้ะใช่เรืองหอ อิอิ --- มุกห้าบาทสิบบาทก็ยังจะเล่น 555) ตื่นเช้ามาวันแรกก็เริ่มทริปเลยจ้า  พี่เอ็มจะพาไปซื้อของใช้ที่จำเป็นก่อนหลังจากนั้น พาไปสอนการนั่งรถเมย์ รถไฟฟ้าใต้ดินและจะบอกว่าป้ายไหนมีสถานที่สำคัญอะไรบ้าง ตอนมาแรกตื่นเต้นม๊วกๆ แต่ก็รู้สึกอุ่นใจนะ เหมือนมีพี่คอยดูแล

          เอาล่ะ !เรามาเริ่มกันที่หน้าร้อนเนอะ ตอนเรามาถึง อุณหภูมิประมาณ 25-30 องศา อากาศกำลังดี ช่วงนี้ดอกบานสวยมากกก
[ดอกไม้หน้าร้อน]


[บรรยากาศการละทะเบียนวันแรก คนแน่นม๊วกกก หลากหลายสัญชาติมากๆ มีทั้งหัวดำหัวทองละลานตาไปหมด  อิอิ ]


การแบ่งคลาสในแต่ละชั้นเรียนก็จะแบ่งเป็น

         คลาสระดับต้น :A, B, C, C+ (ใช้หนังสือ 汉语教程)

          โดยคลาสระดับ A จะเริ่มเรียนกันตั้งแต่พื้นฐาน ก.ไก่-ฮ.นกฮูก ...เอ้ย! ไม่ใช่ ><  เริ่มเรียนตั้งแต่พื้นฐานพินยิน การออกเสียง คัดตัวอักษรจีน ฯลฯ วิชาที่เรียนก็จะมี 4 วิชาคือ วิชาเรียนรวม ..จะเน้นไวยากรณ์  (综合课) , วิชาการฟัง (听力课) , วิชาการพูด (口语课) และวิชาการอ่าน (阅读课) หนังสือที่เรียนก็หน้าตาเป็นแบบนี้....

[หนังสือเรียนคลาส A]


          คลาส  B ก็จะเรียนยากขึ้นมาอีกนิดนึง ในบทเรียนก็จะไม่มีพินอินให้อ่านล้ะ ตัวจีนล้วนๆ แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิดน้า คลาสนี้เป็นคลาสแรกที่เรามาเริ่มต้นเรียนที่นี่ แต่ตอนนั้นเรียนแบบ แทรกคอร์ส คือมาตอนช่วงปลายเดือนพฤษภาฯ (เค้าจะปิดเทอมกันล้ะ นี่เพิ่งมา - -’) ช่วงนั้นมาใหม่ๆ ก็ยังฟังคนจีนพูดไม่ค่อยออก ทักษะการฟังง่อยมาก แล้วคืออาจารย์พูดเร็วมากเว่อร์ ฟังไม่ค่อยจะทัน (อยากจิล้องหั้ยยย T^T) แต่อยู่ไปๆก็ปรับตัวได้เอง ^^ ซึ่งเลเวลการพูดของอารจารก็ขึ้นอยู่กับระดับชั้นยิ่งสูงยิ่งติดจรวด ซึ่งตอนแรกๆเราอาจฟังไม่ทันแต่ผ่านไปสองอาทิตเริ่มปรับตัวได้เอง
          โชคดีมากที่เรามาทันตอนช่วงกีฬาสีของที่นี่ เค้าให้นักเรียนต่างชาติเดินขบวนพาเหรดด้วย เราเลยได้เห็นบรรยากาศกีฬาสีของอาตี๋ อาหมวยกัน ^_^ บรรยากาศก็แทบไม่ต่างจากที่บ้านเรา
[กีฬาสีของพี่จีน]

          ผ่านไปประมาณสัปดาห์นึงมหาลัยก็พาไปปีนเขาที่ 帽儿山 วันนั้นอากาศดีมากๆ พวกเรานั่งรถกันไปตั้งแต่เช้า ประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงที่หมาย บรรยากาศดีมากอ่ะ ฤดูใบไม้ผลิดีอย่างนี้นี่เอง รอบตัวมีแต่ต้นไม้เขียวๆ ดอกไม้สีสันสดใส เห็นแล้วมันสดชื่นดีจัง *0* พอปีนเขาเหนื่อยแล้วก็แวะพักกินข้าวเที่ยงที่เตรียมกันมา ล้ะก็ลุยต่อ ! ความพีคคือตอนลงเขาเนี่ยแหละ คือลงแบบธรรมดาไม่ชอบ มันไม่เก๋ นั่งสไลเดอร์ดีกว่า เป็นไงล่ะ รู้เลย 5555 โคตรเสียวอ่ะ แต่สนุกนะ ^^
[สะพานวัดใจ คือสูงมากอ่ะ ตอนเดินบนนี้แล้วใจมันหวิวๆ]

[วิวสวยป้ะล้า ที่เห็นเป็นแท่งๆตั้งอยู่บนเขาอีกฟากนึงคือ กังหันลม]

[น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา แหวกว่ายประทุมมาอยู่ไหวไหว]

          พอช่วงปิดเทอมเราก็กลับไทยไป เพื่อเตรียมมาเรียนต่อที่นี่สำหรับปีนึง แต่ก่อนจะเริ่มเรียนคอร์สระยะยาวเราลงเรียนซัมเมอร์ก่อนเดือนนึง ก็ลงคอร์ส B班อีกเหมือนเดิมเพราะรู้สึกเทอมที่แล้วยังไม่ค่อยได้อะไรมากเท่าไหร่ เหมือนกำลังอยู่ในช่วงปรับตัว
          คอร์สระยะสั้นของคลาส B จะเน้นทักษะการพูด เรียนแค่หนังสือ 口语课 (วิชาการพูด) คอร์สนี้เด็กเกาหลีจะเยอะเป็นพิเศษ อย่างเพื่อนในห้องเรามี 18 เป็นเกาหลีซะ 15 คน -0- นอกจากเรียนแล้ว เค้าก็จัดกิจกรรมให้เราทำเยอะมาก เช่น สอนทำเกี๊ยว พอทำเสร็จก็เอาเกี๊ยว (ที่คุณป้าแม่ครัวทำ) มานั่งกินด้วยกัน (...หน้าตาเกี๊ยวที่พวกเราห่อคงดูแย่เกินไป 555) นอกจากนั้นก็ยังมีสาธิตการทำอาหารพื้นถิ่นของที่นี่ด้วย เช่น กัวปาวโร่ว (锅包肉) อารมณ์ประมาณหมูชุบแป้งทอดราดด้วยน้ำจิ้มสามรส เปรี้ยวๆหวานๆ อีกเมนูนึงที่ชอบคือไก่น้ำแดง (大盘鸡) น่องไก่ชิ้นโตๆราดด้วยน้ำปรุงสูตรพิเศษ ไก่นี่เหมือนจะละลายในปาก มันนุ่มมากกก แฮปปี้ (เสียดายที่ไม่มีรูป T^T)
          นอกจากจะจัดกิจกรรมให้เราทำภายในมหาลัยแล้ว ก็ยังพาเราไปออกทริปด้วย ที่เราชอบที่สุดก็คือตอนไปที่ UNIT 731 หรือ 731 部队 ค่ายทดลองที่นำ “มนุษย์” มาทดลองทางชีวภาพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น การเอามีดมากรีดหน้าอกเชลย (โดยไม่ใช้ยาชาและยาสลบ) เพื่อดูการทำงานของหัวใจ คือมันแย่มาก มันหดหู่ไปหมด ออกมาแล้วก็จะรู้สึกอึนๆ เหมือนอยากจะร้อง แต่ก็ร้องไม่ออก
[ค่ายนรก โรงงานแห่งความตาย UNIT731]


          อีกที่นึงมหาลัยพาไปก็คือที่ “พิพิธภัณฑ์เบียร์แห่งเมืองฮาร์บิน” (哈尔滨啤酒博物馆) ไปดูประวัติความแป็นมาว่ากว่าจะมาเป็นเบียร์ฮาร์บินนี่มันไปไงมาไง ดูขั้นตอนการผลิตเบียร์ (ตอนเดินผ่านนี่หอมกลิ่นข้าวที่เอามาหมักเบียร์มาก) สุดท้ายก็มีเบียร์สดให้กิน (อร่อยมั้ยไม่รู้ เพราะไม่ได้กิน ><)
[เบียร์ที่มีต้นกำเนิดมาแล้วกว่าร้อยปี : เบียร์ฮาร์บิน]


          ด้วยความที่ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน อากาศอบอุ่นกำลังดี  มหาลัยเลยจัดทริปให้พวกเราไปปิกนิคกันที่ “เกาะพระอาทิตย์” หรือ 太阳岛 แต่ละคนก็เตรียมอาหารกลางวันกันไปเอง (มหาลัยออกค่ารถและค่าเข้าเกาะให้ --- ถ้าไปเองต้องจ่ายค่าเข้าประมาณคนละ 30หยวน) ที่เกาะนั้นจะคล้ายๆกับสวนสาธารณะบวกกับสวนสนุกย่อมๆ มีสระน้ำขนาดใหญ่ให้ถีบเรือเป็ดได้ด้วย ธรรมชาติสวยมากๆ แฮปปี้ ซึ่งเกาะนี้ติดอันดับหนึ่งในสิบของเกาะในจีนที่มีวิวสวยงามและมีขนาดใหญ่ ซึ่งพอไปล้ะก็คิดว่าสวยมากจิงๆ นอกจากได้ชมวิวแล้ว ยังได้เล่นเครื่องเล่นอีก ดี๊ดี ตอนนั้นไปเล่นเฮอร์ริเคนกับพี่ๆคนไทยด้วย หนุกดี 5555 ล้ะก็ได้ไปดูโซนต่างๆที่เค้าเอาสัตว์เลี้ยงมาโชว์ เช่น พวกกวาง กระรอก หงส์ขาวและดำ






[เกาะพระอาทิตย์]
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่