ข้อคิดจากหนังฉลาดเกมส์โกง: "อย่าดีแต่โทษเด็กว่าไม่มี Moral Ethical เพราะความเพิกเฉยของผู้ใหญ่คือการสนับสนุนให้เด็กโกง"
ตอนนี้ผมเรียนปริญญาเอกทางด้านการศึกษาที่สหรัฐอเมริกา ผมเพิ่งกลับมาเมืองไทยช่วงซัมเมอร์และได้มีโอกาสดูหนังที่ใคร ๆ ก็พูดถึงจนเต็มฟีดในเฟสบุ๊คช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ผมกำลังพูดถึงภาพยนตร์เรื่องฉลาดเกมส์โกง โดยผู้กำกับนัฐวุฒิ พูนพิริยะ จากค่ายหนัง GDH
หนังดีสมคำนิยม เขียนบทดี การนำเสนอดี และให้คติสอนใจดีทั้งแก่พ่อแม่ผู้ปกครองและแก่ตัวเด็กเอง เป็นหนังที่ผู้ปกครองที่มีลูกควรพามาดูเป็นอย่างยิ่ง พามาดูให้เด็กรู้จักคิดว่า “โตขึ้นอย่าโกง”
ผมเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนคงจะเดากันออกแล้วว่าข้อสอบ STIC ในหนังนั้นหมายถึงข้อสอบอะไรในเรื่องจริง เรื่องราวในหนังนั้นอาจสร้างมาจากเรื่องจริงและพยายามเขียนเรื่องให้จบแบบมีคติเตือนใจ คนโกงในที่สุดก็โดนจับได้ ส่วนเด็กที่ทำผิดก็ยอมรับผิดและสารภาพต่อทางศูนย์สอบ จบแบบนี้ดี พ่อแม่ผู้ปกครองครูบาอาจารย์จะได้เอาหนังเรื่องนี้เป็นสื่อสำหรับสอนลูก ๆ และนักเรียนของตน
ฉลาดเกมส์โกงเป็นหนังที่จบดีสามารถเอาไว้สอนเด็กได้ แต่ในความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเรื่องราวมันไม่ได้จบลงเช่นนั้น ผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบด้านการสอบและการรับเด็กเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาส่วนใหญ่เพิกเฉยและคิดว่ามันเป็นปัญหาทางด้าน Moral Ethical ของเด็กเท่านั้น แท้ที่จริงความเพิกเฉยของผู้ใหญ่นั้นเองที่เป็นบ่อเกิดของปัญหาอันเป็นแผลพุพองในระบบอุดมศึกษาของไทย
ผมทำโรงเรียนกวดวิชาเล็ก ๆ ที่สยามดิสคอฟเวอรี่กับน้องชายเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่ช่วยเแนะแนวและเตรียมตัวเด็กเข้าโปรแกรมอินเตอร์ จุฬาฯ และธรรมศาสตร์ ในช่วงปี 2556 และ 2557 มีเด็กวิ่งเข้ามาร้องไห้เกี่ยวกับปัญหาการทุจริตสอบกันบ่อยมากโดยเฉพาะข้อสอบ SAT (Scholastic Aptitude Test) ที่จัดขึ้นโดย College Board สหรัฐอเมริกา เด็กวิ่งเข้ามาร้องไห้เพราะเด็กที่ขยันเรียนกันอย่างเต็มที่ได้คะแนนน้อยกว่าพวกที่ไม่เรียนเลยแต่สามารถทุจริตสอบและได้คะแนนสอบสูงลิ่วจนมีที่นั่งเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย
ผมกับน้องชายรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะการทุจริตสอบนั้นมีให้เห็นในหลายสนามสอบทั่วประเทศไทย โดยมีลักษณะวิธีการทุจริตคล้าย ๆ กัน เรารู้สึกเสียใจกับเด็กที่ขยันเรียนแต่ต้องมาเสียเปรียบเด็กที่โกง เรารู้สึกเสียใจกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศที่อาจจะได้เด็กโกงเข้าไปในมหาวิทยาลัยของตน หลังจากฟังปัญหาไปสักระยะผมจึงอยากศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงกลโกงที่แท้จริง เราจึงตัดสินใจส่งคนเข้าไปสอบจริงในศูนย์สอบที่มีการกล่าวขานว่าโกงข้อสอบกันได้ง่ายอย่างเอิกเกริก ด้วยหวังว่าหากเราเข้าใจกลโกงดังกล่าว เราจะสามารถส่งข้อมูลไปเตือนศูนย์สอบทั่วประเทศไทยรวมไปถึง College Board สหรัฐอเมริกา
หลังจากที่ส่งคนไปสอบในวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ในศูนย์สอบที่คิดว่าจะมีปัญหาในกรุงเทพฯ ผมได้ทราบถึงรายละเอียดวิธีการโกงดังนี้
ข้อสอบ SAT มีหลายบทใช้เวลาสอบประมาณ 4 ชั่วโมง นักเรียนไม่สามารถนั่งสอบทีเดียว 4 ชั่วโมงได้ ดังนั้นทาง College Board จึงให้นักเรียนทั้งหมดเบรคได้ 2 รอบระหว่างการสอบ กล่าวคือทำข้อสอบส่วนที่ A เสร็จแล้วก็เบรคครั้งที่ 1 เพื่อเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำได้ จากนั้นก็ทำข้อสอบส่วนที่ B เมื่อทำเสร็จก็เบรคเป็นครั้งที่ 2 ก่อนที่จะกลับเข้าไปทำข้อสอบส่วนที่ C อันเป็นส่วนสุดท้าย การเบรคทั้งสองครั้งนี้เองที่เกิดการทุจริตกันมากที่สุดกล่าวคือนักเรียนจะออกมาคุยเกี่ยวกับข้อสอบที่ได้ทำมา นักเรียนที่ทำข้อสอบได้จะส่งผ่านคำตอบไปให้ผู้อื่น เมื่อเบรคเสร็จก็สามารถกลับเข้าไปในห้องสอบเพื่อเขียนลงในกระดาษคำตอบได้ทันที ตัวอย่างเช่น เมื่อทำข้อสอบส่วน A เสร็จและออกมาพัก นักเรียนก็จะออกมาคุยกันเกี่ยวกับข้อสอบในส่วน A และจำคำตอบส่วน A ให้ได้ พอกรรมการคุมสอบเรียกกลับเข้าไปทำข้อสอบส่วน B นักเรียนก็แอบฝนคำตอบของส่วน A ที่ผ่านมาแล้วได้ทันที ทั้งนี้กระดาษคำตอบของส่วน A-B-C อยู่บนเล่มเดียวกันไม่ได้มีการเปลี่ยนกระดาษคำตอบระหว่างเบรคแต่ประการใด
ความเพิกเฉยของผู้ใหญ่ 4 ประเด็น
(1) ความเพิกเฉยของผู้คุมสอบ - ในทางทฤษฎีแล้ว College Board จะไม่อนุญาติให้เด็กกลับไปทำข้อสอบหรือกลับไปใส่คำตอบในส่วนที่ผ่านไปแล้ว แต่ศูนย์สอบในประเทศไทยหลายศูนย์ก็เพิกเฉยในประเด็นนี้ บางศูนย์สอบมีขนาดใหญ่มากแต่มีผู้คุมสอบจำนวนน้อยทำให้ไม่สามารถตรวจสอบผู้เข้าสอบจำนวนมากได้อย่างทั่วถึง บางศูนย์สอบก็มีผู้คุมสอบที่ไม่เอาใจใส่ถึงขั้นเอาคอมพิวเตอร์เข้าไปทำงานในห้องสอบขณะคุมสอบก็มี ทำให้นักเรียนสามารถพลิกกลับไปทำข้อสอบและใส่คำตอบในส่วนที่ผ่านไปแล้วได้อย่างไม่ยากนัก
(2) ความเพิกเฉยของผู้อำนวยการศูนย์สอบ - เราจะเห็นได้ว่าผู้อำนวยการศูนย์สอบในหนังเรื่องฉลาดเกมส์โกงมีความจริงจังในการตามผู้ทุจริตอันเป็นตัวเอกของเรื่องมาลงโทษแม้ว่าผู้ทุจริตจะอยู่ในห้องน้ำก็ตาม แต่ในความเป็นจริงศูนย์สอบที่เมืองไทยหลายแห่งได้เพิกเฉยต่อการพูดคุยและส่งผ่านคำตอบระหว่างเบรคครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 สถานที่ซึ่งมีการลอกข้อสอบมากที่สุดคือห้องน้ำเพราะไม่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลหรือหากมีเจ้าหน้าที่ดูแลก็ทำได้ไม่ทั่วถึง ทำให้นักเรียนสามารถพูดคุยและถ่ายคำตอบได้ง่าย ๆ
(3) ความเพิกเฉยของผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นศูนย์สอบและเจ้าหน้าที่ของ College Board สหรัฐอเมริกา - หลังจากที่ผมได้ข้อมูลการทุจริตดังกล่าว ผมได้เขียนจดหมายเรียนเชิญผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นศูนย์สอบทั้งสิ้น 15 โรงเรียนและเจ้าหน้าที่ College Board เพื่อเข้ามาพูดคุยหาทางแก้ไขและป้องกันการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นร่วมกัน ผลที่ได้คือผมได้รับการติดต่อกลับจากผู้บริหารโรงเรียนเพียง 2 โรงเท่านั้น อีก 13 โรงที่เหลือรวมไปถึง College Board เพิกเฉยไม่ติดต่อกลับมาแต่ประการใด คิดง่าย ๆ หากผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นศูนย์สอบให้ความใส่ใจในการคุมสอบและจัดสรรจำนวนคนให้เพียงพอการทุจริตก็จะกระทำได้ยากขึ้น เช่นกันหาก College Board เปลี่ยนกระดาษคำตอบทุกครั้งที่เบรค ผู้สอบก็กลับมาเติมคำตอบย้อนหลังไม่ได้
(4) ความเพิกเฉยของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาของไทย - ในเรื่องนี้ผมต้องขอเกริ่นให้เข้าใจว่ามหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาที่เขาใช้ผลสอบ SAT ในการรับเด็กเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยนั้น คะแนน SAT เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการคัดเลือก โดยคณะกรรมการคัดเลือกจักพิจารณาส่วนประกอบอื่น ๆ ของผู้สมัครด้วย อาทิ Statement of Proposal เกรดเฉลี่ย ประสบการณ์และความสามารถพิเศษ กิจกรรมระหว่างเรียน ภาวะความเป็นผู้นำ ฯลฯ อันเป็นส่วนสำคัญในการคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสมที่สุดกับโปรแกรมการเรียนในมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่านักเรียนที่ได้คะแนน SAT ในระดับปานกลางขึ้นไปแต่มีจุดเด่นอื่น ๆ ก็สามารถที่จะเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกาได้เฉกเช่นเดียวกันกับนักเรียนที่ได้คะแนนสูงลิ่ว ในทางกลับกันโปรแกรมอินเตอร์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยของไทยยังคงดูที่คะแนน SAT เป็นหลักโดยเพิกเฉยต่อจุดเด่นอื่น ๆ ในตัวของนักเรียน สุดท้ายก็ได้แต่เด็กที่ทำข้อสอบเก่งที่สุดเข้าไปในมหาวิทยาลัยของตนเท่านั้น ส่วนจะผ่านการสอบมาอย่างไร ด้วยวิธีการไหน ผมว่าหนังได้อธิบายไว้เป็นอย่างดี
ความเพิกเฉยทั้ง 4 ประเด็นเป็นสิ่งที่ผมเห็นหลักฐานอย่างชัดเจนจึงนำขึ้นมาวิพากย์ แต่ยังมีประเด็นรองอื่น ๆ ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน อาทิ (1) การเข้ามาสอบแทนกันโดยใช้บัตรประชาชนปลอมบางคนเป็นรุ่นพี่บางคนเป็นถึงครูก็มาสอบแทนนักเรียน (2) การหย่อนยานในการตรวจใบเข้าสอบของเจ้าหน้าที่ (3) การที่ College Board ไม่ได้พิมพ์รูปผู้สอบในใบผลคะแนน SAT อันเป็นการเปิดช่องโหว่ในการทุจริตตอนยื่น Admission เหล่านี้เป็นกลโกงที่ยังเกิดขึ้นในวงการการศึกษาไทย
ตอนนี้หนังเรื่องฉลาดเกมส์โกงสร้างรายได้ทะลุร้อยล้าน ทั้งเด็กและผู้ปกครองต่างมีความสุขและได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้กันทั้งประเทศ ผลของหนังทำให้ผู้ใหญ่ในแวดวงการศึกษาลุกขึ้นมาถกถึงประเด็นปัญหากันอย่างกว้างขวางในช่วงสองสามสัปดาห์แรก ผมดีใจที่ปัญหาที่ผมและนักเรียนของผมเจอเมื่อ 3 ปีก่อน ได้ถูกนำมาตีแผ่และเป็นประเด็นให้บุคลากรในวงการการศึกษาไทยได้หยิบยกขึ้นมาถกเพื่อหาทางแก้ไข แต่ผมก็หวั่นใจว่านี่จะเป็นเพียงไฟไหม้ฟางและในที่สุดผู้ใหญ่ทุกท่านก็จะเพิกเฉยเช่นเดิมต่อไปโดยปล่อยให้เด็ก ๆ โกงกันอย่างเอิกเกริกและโทษที่เด็กไม่มี Moral Ethical เท่านั้น ผมอยากให้ผู้ใหญ่ทุกคนโดยเฉพาะ (1) ผู้คุมสอบ (2) ผู้อำนวนการศูนย์สอบ (3) ผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นศูนย์สอบ (4) เจ้าหน้าที่ College Board และ (5) ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาของไทย ต่างได้มีโอกาสวิเคราะห์ปัญหานี้พร้อมทั้งร่วมกันทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่และหาวิธีการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการโกงสอบและการรับเด็กเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของไทย ผู้ใหญ่ทุกท่านต้องไม่เพิกเฉยเพราะความเพิกเฉยของผู้ใหญ่คือการสนับสนุนให้เด็กโกงนั่นเอง
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโกง: ac3344@columbia.edu
ประวัติผู้เขียน: linkedin.com/in/chaiwinij
Photo Cr: ฉลาดเกมส์โกง
ข้อคิดจากหนังฉลาดเกมส์โกง: "อย่าดีแต่โทษเด็กว่าไม่มี Moral Ethical เพราะความเพิกเฉยของผู้ใหญ่คือการสนับสนุนให้เด็กโกง"
ตอนนี้ผมเรียนปริญญาเอกทางด้านการศึกษาที่สหรัฐอเมริกา ผมเพิ่งกลับมาเมืองไทยช่วงซัมเมอร์และได้มีโอกาสดูหนังที่ใคร ๆ ก็พูดถึงจนเต็มฟีดในเฟสบุ๊คช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ผมกำลังพูดถึงภาพยนตร์เรื่องฉลาดเกมส์โกง โดยผู้กำกับนัฐวุฒิ พูนพิริยะ จากค่ายหนัง GDH
หนังดีสมคำนิยม เขียนบทดี การนำเสนอดี และให้คติสอนใจดีทั้งแก่พ่อแม่ผู้ปกครองและแก่ตัวเด็กเอง เป็นหนังที่ผู้ปกครองที่มีลูกควรพามาดูเป็นอย่างยิ่ง พามาดูให้เด็กรู้จักคิดว่า “โตขึ้นอย่าโกง”
ผมเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนคงจะเดากันออกแล้วว่าข้อสอบ STIC ในหนังนั้นหมายถึงข้อสอบอะไรในเรื่องจริง เรื่องราวในหนังนั้นอาจสร้างมาจากเรื่องจริงและพยายามเขียนเรื่องให้จบแบบมีคติเตือนใจ คนโกงในที่สุดก็โดนจับได้ ส่วนเด็กที่ทำผิดก็ยอมรับผิดและสารภาพต่อทางศูนย์สอบ จบแบบนี้ดี พ่อแม่ผู้ปกครองครูบาอาจารย์จะได้เอาหนังเรื่องนี้เป็นสื่อสำหรับสอนลูก ๆ และนักเรียนของตน
ฉลาดเกมส์โกงเป็นหนังที่จบดีสามารถเอาไว้สอนเด็กได้ แต่ในความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเรื่องราวมันไม่ได้จบลงเช่นนั้น ผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบด้านการสอบและการรับเด็กเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาส่วนใหญ่เพิกเฉยและคิดว่ามันเป็นปัญหาทางด้าน Moral Ethical ของเด็กเท่านั้น แท้ที่จริงความเพิกเฉยของผู้ใหญ่นั้นเองที่เป็นบ่อเกิดของปัญหาอันเป็นแผลพุพองในระบบอุดมศึกษาของไทย
ผมทำโรงเรียนกวดวิชาเล็ก ๆ ที่สยามดิสคอฟเวอรี่กับน้องชายเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่ช่วยเแนะแนวและเตรียมตัวเด็กเข้าโปรแกรมอินเตอร์ จุฬาฯ และธรรมศาสตร์ ในช่วงปี 2556 และ 2557 มีเด็กวิ่งเข้ามาร้องไห้เกี่ยวกับปัญหาการทุจริตสอบกันบ่อยมากโดยเฉพาะข้อสอบ SAT (Scholastic Aptitude Test) ที่จัดขึ้นโดย College Board สหรัฐอเมริกา เด็กวิ่งเข้ามาร้องไห้เพราะเด็กที่ขยันเรียนกันอย่างเต็มที่ได้คะแนนน้อยกว่าพวกที่ไม่เรียนเลยแต่สามารถทุจริตสอบและได้คะแนนสอบสูงลิ่วจนมีที่นั่งเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย
ผมกับน้องชายรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะการทุจริตสอบนั้นมีให้เห็นในหลายสนามสอบทั่วประเทศไทย โดยมีลักษณะวิธีการทุจริตคล้าย ๆ กัน เรารู้สึกเสียใจกับเด็กที่ขยันเรียนแต่ต้องมาเสียเปรียบเด็กที่โกง เรารู้สึกเสียใจกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศที่อาจจะได้เด็กโกงเข้าไปในมหาวิทยาลัยของตน หลังจากฟังปัญหาไปสักระยะผมจึงอยากศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงกลโกงที่แท้จริง เราจึงตัดสินใจส่งคนเข้าไปสอบจริงในศูนย์สอบที่มีการกล่าวขานว่าโกงข้อสอบกันได้ง่ายอย่างเอิกเกริก ด้วยหวังว่าหากเราเข้าใจกลโกงดังกล่าว เราจะสามารถส่งข้อมูลไปเตือนศูนย์สอบทั่วประเทศไทยรวมไปถึง College Board สหรัฐอเมริกา
หลังจากที่ส่งคนไปสอบในวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ในศูนย์สอบที่คิดว่าจะมีปัญหาในกรุงเทพฯ ผมได้ทราบถึงรายละเอียดวิธีการโกงดังนี้
ข้อสอบ SAT มีหลายบทใช้เวลาสอบประมาณ 4 ชั่วโมง นักเรียนไม่สามารถนั่งสอบทีเดียว 4 ชั่วโมงได้ ดังนั้นทาง College Board จึงให้นักเรียนทั้งหมดเบรคได้ 2 รอบระหว่างการสอบ กล่าวคือทำข้อสอบส่วนที่ A เสร็จแล้วก็เบรคครั้งที่ 1 เพื่อเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำได้ จากนั้นก็ทำข้อสอบส่วนที่ B เมื่อทำเสร็จก็เบรคเป็นครั้งที่ 2 ก่อนที่จะกลับเข้าไปทำข้อสอบส่วนที่ C อันเป็นส่วนสุดท้าย การเบรคทั้งสองครั้งนี้เองที่เกิดการทุจริตกันมากที่สุดกล่าวคือนักเรียนจะออกมาคุยเกี่ยวกับข้อสอบที่ได้ทำมา นักเรียนที่ทำข้อสอบได้จะส่งผ่านคำตอบไปให้ผู้อื่น เมื่อเบรคเสร็จก็สามารถกลับเข้าไปในห้องสอบเพื่อเขียนลงในกระดาษคำตอบได้ทันที ตัวอย่างเช่น เมื่อทำข้อสอบส่วน A เสร็จและออกมาพัก นักเรียนก็จะออกมาคุยกันเกี่ยวกับข้อสอบในส่วน A และจำคำตอบส่วน A ให้ได้ พอกรรมการคุมสอบเรียกกลับเข้าไปทำข้อสอบส่วน B นักเรียนก็แอบฝนคำตอบของส่วน A ที่ผ่านมาแล้วได้ทันที ทั้งนี้กระดาษคำตอบของส่วน A-B-C อยู่บนเล่มเดียวกันไม่ได้มีการเปลี่ยนกระดาษคำตอบระหว่างเบรคแต่ประการใด
ความเพิกเฉยของผู้ใหญ่ 4 ประเด็น
(1) ความเพิกเฉยของผู้คุมสอบ - ในทางทฤษฎีแล้ว College Board จะไม่อนุญาติให้เด็กกลับไปทำข้อสอบหรือกลับไปใส่คำตอบในส่วนที่ผ่านไปแล้ว แต่ศูนย์สอบในประเทศไทยหลายศูนย์ก็เพิกเฉยในประเด็นนี้ บางศูนย์สอบมีขนาดใหญ่มากแต่มีผู้คุมสอบจำนวนน้อยทำให้ไม่สามารถตรวจสอบผู้เข้าสอบจำนวนมากได้อย่างทั่วถึง บางศูนย์สอบก็มีผู้คุมสอบที่ไม่เอาใจใส่ถึงขั้นเอาคอมพิวเตอร์เข้าไปทำงานในห้องสอบขณะคุมสอบก็มี ทำให้นักเรียนสามารถพลิกกลับไปทำข้อสอบและใส่คำตอบในส่วนที่ผ่านไปแล้วได้อย่างไม่ยากนัก
(2) ความเพิกเฉยของผู้อำนวยการศูนย์สอบ - เราจะเห็นได้ว่าผู้อำนวยการศูนย์สอบในหนังเรื่องฉลาดเกมส์โกงมีความจริงจังในการตามผู้ทุจริตอันเป็นตัวเอกของเรื่องมาลงโทษแม้ว่าผู้ทุจริตจะอยู่ในห้องน้ำก็ตาม แต่ในความเป็นจริงศูนย์สอบที่เมืองไทยหลายแห่งได้เพิกเฉยต่อการพูดคุยและส่งผ่านคำตอบระหว่างเบรคครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 สถานที่ซึ่งมีการลอกข้อสอบมากที่สุดคือห้องน้ำเพราะไม่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลหรือหากมีเจ้าหน้าที่ดูแลก็ทำได้ไม่ทั่วถึง ทำให้นักเรียนสามารถพูดคุยและถ่ายคำตอบได้ง่าย ๆ
(3) ความเพิกเฉยของผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นศูนย์สอบและเจ้าหน้าที่ของ College Board สหรัฐอเมริกา - หลังจากที่ผมได้ข้อมูลการทุจริตดังกล่าว ผมได้เขียนจดหมายเรียนเชิญผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นศูนย์สอบทั้งสิ้น 15 โรงเรียนและเจ้าหน้าที่ College Board เพื่อเข้ามาพูดคุยหาทางแก้ไขและป้องกันการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นร่วมกัน ผลที่ได้คือผมได้รับการติดต่อกลับจากผู้บริหารโรงเรียนเพียง 2 โรงเท่านั้น อีก 13 โรงที่เหลือรวมไปถึง College Board เพิกเฉยไม่ติดต่อกลับมาแต่ประการใด คิดง่าย ๆ หากผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นศูนย์สอบให้ความใส่ใจในการคุมสอบและจัดสรรจำนวนคนให้เพียงพอการทุจริตก็จะกระทำได้ยากขึ้น เช่นกันหาก College Board เปลี่ยนกระดาษคำตอบทุกครั้งที่เบรค ผู้สอบก็กลับมาเติมคำตอบย้อนหลังไม่ได้
(4) ความเพิกเฉยของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาของไทย - ในเรื่องนี้ผมต้องขอเกริ่นให้เข้าใจว่ามหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาที่เขาใช้ผลสอบ SAT ในการรับเด็กเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยนั้น คะแนน SAT เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการคัดเลือก โดยคณะกรรมการคัดเลือกจักพิจารณาส่วนประกอบอื่น ๆ ของผู้สมัครด้วย อาทิ Statement of Proposal เกรดเฉลี่ย ประสบการณ์และความสามารถพิเศษ กิจกรรมระหว่างเรียน ภาวะความเป็นผู้นำ ฯลฯ อันเป็นส่วนสำคัญในการคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสมที่สุดกับโปรแกรมการเรียนในมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่านักเรียนที่ได้คะแนน SAT ในระดับปานกลางขึ้นไปแต่มีจุดเด่นอื่น ๆ ก็สามารถที่จะเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกาได้เฉกเช่นเดียวกันกับนักเรียนที่ได้คะแนนสูงลิ่ว ในทางกลับกันโปรแกรมอินเตอร์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยของไทยยังคงดูที่คะแนน SAT เป็นหลักโดยเพิกเฉยต่อจุดเด่นอื่น ๆ ในตัวของนักเรียน สุดท้ายก็ได้แต่เด็กที่ทำข้อสอบเก่งที่สุดเข้าไปในมหาวิทยาลัยของตนเท่านั้น ส่วนจะผ่านการสอบมาอย่างไร ด้วยวิธีการไหน ผมว่าหนังได้อธิบายไว้เป็นอย่างดี
ความเพิกเฉยทั้ง 4 ประเด็นเป็นสิ่งที่ผมเห็นหลักฐานอย่างชัดเจนจึงนำขึ้นมาวิพากย์ แต่ยังมีประเด็นรองอื่น ๆ ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน อาทิ (1) การเข้ามาสอบแทนกันโดยใช้บัตรประชาชนปลอมบางคนเป็นรุ่นพี่บางคนเป็นถึงครูก็มาสอบแทนนักเรียน (2) การหย่อนยานในการตรวจใบเข้าสอบของเจ้าหน้าที่ (3) การที่ College Board ไม่ได้พิมพ์รูปผู้สอบในใบผลคะแนน SAT อันเป็นการเปิดช่องโหว่ในการทุจริตตอนยื่น Admission เหล่านี้เป็นกลโกงที่ยังเกิดขึ้นในวงการการศึกษาไทย
ตอนนี้หนังเรื่องฉลาดเกมส์โกงสร้างรายได้ทะลุร้อยล้าน ทั้งเด็กและผู้ปกครองต่างมีความสุขและได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้กันทั้งประเทศ ผลของหนังทำให้ผู้ใหญ่ในแวดวงการศึกษาลุกขึ้นมาถกถึงประเด็นปัญหากันอย่างกว้างขวางในช่วงสองสามสัปดาห์แรก ผมดีใจที่ปัญหาที่ผมและนักเรียนของผมเจอเมื่อ 3 ปีก่อน ได้ถูกนำมาตีแผ่และเป็นประเด็นให้บุคลากรในวงการการศึกษาไทยได้หยิบยกขึ้นมาถกเพื่อหาทางแก้ไข แต่ผมก็หวั่นใจว่านี่จะเป็นเพียงไฟไหม้ฟางและในที่สุดผู้ใหญ่ทุกท่านก็จะเพิกเฉยเช่นเดิมต่อไปโดยปล่อยให้เด็ก ๆ โกงกันอย่างเอิกเกริกและโทษที่เด็กไม่มี Moral Ethical เท่านั้น ผมอยากให้ผู้ใหญ่ทุกคนโดยเฉพาะ (1) ผู้คุมสอบ (2) ผู้อำนวนการศูนย์สอบ (3) ผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นศูนย์สอบ (4) เจ้าหน้าที่ College Board และ (5) ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาของไทย ต่างได้มีโอกาสวิเคราะห์ปัญหานี้พร้อมทั้งร่วมกันทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่และหาวิธีการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการโกงสอบและการรับเด็กเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของไทย ผู้ใหญ่ทุกท่านต้องไม่เพิกเฉยเพราะความเพิกเฉยของผู้ใหญ่คือการสนับสนุนให้เด็กโกงนั่นเอง
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโกง: ac3344@columbia.edu
ประวัติผู้เขียน: linkedin.com/in/chaiwinij
Photo Cr: ฉลาดเกมส์โกง